“อาเหมย ข้าจะเดินทางแล้ว ข้ามาลาเจ้า” น้ำเสียงแว่วหวานของฮูหยินของจูหยวนจางนามว่าหลิวหลีที่เดินเคียงข้างกันมากับจูหยวนจางเอ่ยขึ้นมาทางเฉินเจียวเหมย
“จะเดินทางแล้วหรือ ข้าไปด้วย” จบคำของเฉินเจียวเหมยนางรีบวิ่งออกไปแล้วพุ่งตัวขึ้นรถม้าที่นางแน่ใจว่าเป็นของสหายของนางในทันที
จูหยวนจางและหลิวหลีถึงกับงุนงง
จ้าวจิ่นหลงที่รู้สาเหตุของการพุ่งตัวไปอย่างนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไป
ฮึ่ม! นาง...นาง...
น่าตายนัก!
นางหนีเขาอีกแล้ว...
ตามถนนหนทางทอดยาวสายหนึ่งกำลังมีรถม้าคันขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กกำลังเคลื่อนตัวไปตามทางโดยมีบุรุษหนุ่มสองคนกำลังควบม้าให้เดินเคียงข้างไปกับรถม้าเพื่อดูแลคุ้มภัยให้สตรีที่กำลังนั่งอยู่ภายในของรถม้าคันนี้
หนึ่งบุรุษนามว่าจูหยวนจางนั้น เขามีหน้าที่คอยดูแลภรรยาของเขาที่กำลังนั่งอยู่ในรถม้าคันนี้ หน้าที่นี้ย่อมเป็นของเขาหาใช่ของผู้ใดอื่นไม่ มันย่อมเป็นหน้าที่ของเขาแต่เพียงผู้เดียว
แต่... กับบุรุษอีกคนที่ขี่ม้าเคียงกันมา เขามีหน้าที่อันใด ไยต้องมาร่วมทางกับเขา จูหยวนจางยังคงไม่ไว้วางใจใครบางคนที่อาจจะมาเกี้ยวภรรยาของเขาตามวิสัยที่หึงหวงภรรยาคนงามแบบเต็มขั้น
“ไยมองข้าอย่างนั้น” จ้าวจิ่นหลงเอ่ยถามตามตรงขณะที่ขี่ม้าติดตามขบวนของจูหยวนจางกับภรรยาของเขามาด้วยกันนี้เขารู้สึกได้ถึงสายตาอันร้อนแรงหึงหวงภรรยาคนงามของคนผู้นี้ได้เป็นอย่างดี เขาไม่แปลกใจ
“ท่านต้องการสิ่งใด” จูหยวนจางถามขึ้นด้วยสายตาคลางแคลงใจฉายชัดกลิ่นน้ำส้มเปรี้ยวรุนแรงชัดเจน
“ไม่ใช่ภรรยาของท่านก็แล้วกัน” จ้าวจิ่นหลงเอ่ยตอบออกไปอย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่
แค่เพียงสตรีน่าตายบางคนที่บังอาจหนีเขาครั้งแล้วครั้งเล่านั่น นอกจากนั้นก็ไม่มีใครทำให้เขาต้องรู้สึกเสียอารมณ์ได้อย่างนี้
ทั้งเสียอารมณ์ ทั้งเสียเกียรติ ทั้งเสียเชิงชายอย่างยิ่งยวด
ฮึ! นางต้องรับผิดชอบ
ภายในรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ตามทางคันนี้มีสองสตรีกำลังนั่งอยู่ในนั้น
หนึ่งในสตรีสองนางนี้คือเฉินเจียวเหมย นางกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่สุดในชีวิตสตรีของนาง
มันเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่อาจจะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้
นางเสียบริสุทธิ์ให้กับบุรุษแปลกหน้า
นางเสียบริสุทธิ์ให้กับบุรุษไปแล้วทั้งๆ ที่นางยังมิเคยได้มีคนรัก ทั้งยังมิได้แต่งงาน
หากว่าวันหนึ่งนางเกิดปักใจรักใครขึ้นมา หรือหากว่าวันหนึ่งนางเกิดได้แต่งงานกับใครขึ้นมา แล้วนางจะต้องทำอย่างไร
หากว่านางได้แต่งงานกับเขาแล้วสิ่งที่นางได้ทำผิดพลาดไปในวันนี้เล่า นางจะสามารถหลวกลวงบุรุษผู้ที่เป็นคนรักของนางได้หรือไม่
นางจะลืมอดีตในวันนี้ได้หรือ หากในภายภาคหน้านางได้แต่งงานกับใครสักคนหนึ่งไป
แน่นอนว่านางทำไม่ได้ นางไม่สามารถหลอกลวงใครได้โดยเฉพาะกับตนเอง
นางจะทำอย่างไรดี นางพลาดไปแล้วอย่างนี้ แล้วนางจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างไร เรื่องที่ผิดพลาดในครั้งนี้ มันใช่เรื่องน้อยนิดเสียที่ไหน มันคือทั้งชีวิตของนางเลยใช่หรือไม่
นางควรทำอย่างไรดี...
“อาเหมย” เสียงแว่วหวานของสตรีนามว่าหลิวหลีภรรยาคนงามของจูหยวนจางสหายของเฉินเจียวเหมยเอ่ยขึ้น เสียงนั้นดึงสติของเฉินเจียวเหมยในทันที
หลิวหลียังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหวานล้ำแฝงความห่วงใย “เจ้าเป็นอะไร เจ้าหนีใครมาหรือ อาเหมย”
“ป่ะ เปล่านะ ข้ามิได้หนีใคร” เฉินเจียวเหมยรีบตอบ “ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า ข้าอยากตามไปดูแลเจ้าหากว่าเจ้าตั้งครรภ์”
“อืม...เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” หลิวหลีเอ่ยแค่นั้นแม้จะรู้สึกห่วงใยเฉินเจียวเหมยอยู่มาก แต่ทว่า...หากเฉินเจียวเหมยไม่อยากบอกกล่าว นางก็ไม่อาจเซ้าซี้ได้แต่อย่างใด
หลิวหลีเพียงนั่งเงียบงันไร้วาจาใดๆ คงเหลือไว้เพียงดวงตาที่แสดงออกถึงความห่วงใยแค่เพียงเท่านั้นที่ส่งตรงให้เฉินเจียวเหมยในยามนี้
เฉินเจียวเหมยนั้นไม่อาจบอกเล่าเรื่องราวปัญหาชีวิตที่มืดหม่นของตนให้ใครฟังได้ มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจเล่าสู่ให้ใครฟังได้แต่อย่างใด มันเป็นเรื่องที่อัปยศอดสูเป็นที่สุด มันไม่ควรเกิดขึ้นกับนาง
หญิงสาวคิดในใจอยู่อย่างนั้นพลางเมียงมองออกไปทางนอกหน้าต่างของรถม้าอย่างระแวงอยู่ตลอดเวลา
หึ! เขาอยู่ตรงนั้น บนหลังม้านั่น เขาผู้นั้น
นางอับอายจนอยากจะเอาหน้างามๆ ของนางมุดเข้าไปในดินเหลือจะกล่าว นางอับอายเกินกว่าจะสู้หน้าของเขาได้ไหว นางไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคมกริบของเขา มันน่าอายเกินไป น่าอายเหลือเกิน เฉินเจียวเหมยยังคงครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น พลางนั่งพิงผนังรถม้าอย่างเหม่อลอย
ยิ่งคิดยิ่งน่าอาย มันอับอายจนมิรู้ได้ว่าจะพรรณนาออกมาว่าอย่างไรดี ยามนี้ นางไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เลย เรื่องในคืนนั้นมันเป็นตราบาปของนาง
ช่างน่าชังนัก! นางตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ได้อย่างไร
น่าอายจริงๆ
เฉินเจียวเหมยนั่งเหม่อลอยอยู่จนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่มิรู้ได้ หญิงสาวจึงรู้สึกว่าหลิวหลีได้หายไปจากตำแหน่งข้างๆ กายของนาง แล้วแทนที่ด้วยใครบางคน
ใครบางคนที่…
ดวงตาเรียวยาวคมกริบทรงพลัง เรียวคิ้วพาดเฉียงคล้ายกระบี่ จมูกเป็นสันตั้งตรง ริมฝีปากได้รูปสีแดงสดน่าจดจำ อืม...
หือ!
เฉินเจียวเหมยพลันได้สติ เมื่อเห็นใบหน้าได้รูปของบุรุษตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
เขาเข้ามานั่งภายในรถม้าตั้งแต่เมื่อไหร่?
หญิงสาวถึงกับถลึงตาใส่บุรุษตรงหน้าพร้อมเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่น ใบหน้าของนางพลันเห่อแดงขึ้นมาจนถึงใบหู ความอับอายยังคงมีอยู่ ทั้งยังมากมาย
กับบุรุษตรงหน้า กับกิจกรรมหรรษา กับลีลาเร่าร้อน
อา...นางจะทำอย่างไรดี มุดหน้าทางใดได้บ้างนี่ อับอายเหลือเกิน
เมื่อคิดได้แล้วก็หันซ้ายหันขวา หาที่ทางเตรียมมุดใบหน้าฝังเอาไว้ที่ใดซักที่
“อาเหมย...” เสียงทุ้มต่ำน่าฟังพลันดังขึ้นจากริมฝีปากสีแดงสดน่ากดจูบของบุรุษตรงหน้า
ทั้งน้ำเสียงทั้งนามเรียกขานทำเอาเฉินเจียวเหมยถึงกับตัวแข็งทื่อ
“ข้าจะเรียกเจ้าว่าอาเหมย ส่วนเจ้าก็เรียกข้าว่าอาหลง ดีหรือไม่” เขายังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จ้องมองนางเขม็ง