ส่วนทางด้านฟางเจียวเหมยก็เดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก และพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “นี่ยังน้อยไปค่ะย่า ป้าสะใภ้ใหญ่ ฉันจะปั่นป่วนบ้านใหญ่จนกว่าจะทนไม่ได้แล้วไล่บ้านสามและตัดขาดกับบ้านสาม เมื่อถึงเวลานั้นความสงบสุขก็จะกลับมาเยือนอีกครั้ง”
หลี่เหว่ยเหลียนที่อยู่ในเหตุการณ์มาตลอดรู้สึกขนลุกกับท่าทีและรอยยิ้มของพี่สะใภ้ ก่อนหน้านี้ความร้ายกาจของพี่สะใภ้นั้นเธอและทุกคนล้วนรู้ดี แต่ความรู้สึกหลังจากนี้บอกว่ามันจะเป็นอย่างที่พี่สะใภ้ของเธอพูดจริง ๆ
เมื่อมาส่งน้องสามีที่ห้อง ฟางเจียวเหมยก็กำชับว่าห้ามเปิดประตูห้องจนกว่าเธอจะกลับมา
“อย่าเปิดประตูห้องต้อนรับใครเด็ดขาดจนกว่าฉันจะกลับมาเข้าใจไหม บอกแม่ด้วย แม่ยิ่งหัวอ่อนอยู่” เธอสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“ค่ะ พี่สะใภ้” เด็กสาวตอบรับด้วยความหวาดกลัว และก็ยังก้มหน้าก้มตาเหมือนเดิม
“โอ๊ย!! ฉันจะบ้าตาย ทั้งแม่ ทั้งน้องสามี ทำไมขี้กลัวอย่างนี้
เลิกก้มหน้าก้มตาเสียทีเถอะ ถ้าอยากหลุดออกจากขุมนรกของบ้านหลังนี้ เราต้องสู้ เข้าใจไหม” หญิงสาวพูดออกมาอย่างขัดใจและอยากจะบ้าตายเมื่อเจอท่าทางของน้องสามี
“เอ่อ...เข้าใจค่ะ ฉันจะพยายามนะคะพี่สะใภ้ แต่ฉันต้องทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากบ้านใหญ่” เด็กสาวตอบรับ และพยายามเงยหน้าขึ้นมา เธอเองก็อยากจะพาแม่และทุกคนหลุดพ้นจากบ้านใหญ่เหมือนกัน
“เอาเถอะ เดี๋ยวฉันจะสอนเอง ตอนนี้ทำตามที่ฉันบอกก็พอ
ห้ามเปิดประตูให้ใคร ฉันจะไปซื้อของมาทำอาหาร สองแฝดเองก็ขาดของใช้เหมือน กัน ถ้าแม่ถามก็บอกฉันเข้าไปในเมืองก็แล้วกัน” พูดจบ ฟางเจียวเหมยก็เดินออกมาทันที เธอเองคงต้องหาข้ออ้างเพื่อจะเอาอาหารและของใช้มาให้ลูกน้อยทั้งสองคน!!
กลับมาทางด้านหลี่อี้ข่าย เวลานี้ชายหนุ่มยังทำงานที่ร้านข้าวสาร ทว่ากลับมีเรื่องกับลูกชายของเถ้าแก่ร้าน เมื่อเขาไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายเอาเงินในลิ้นชักไป
“เรื่องนี้พวกแกเป็นเพียงคนงานอย่ามายุ่ง” เฉินลู่หยาง ลูกชายเถ้าแก่เฉินเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับชี้หน้าไปยังพนักงานของร้านที่รวมถึง
หลี่อี้ข่ายด้วย
“แต่เรื่องนี้หากเถ้าแก่รู้ว่าเงินหายไป พวกเรานะครับที่จะเดือดร้อน หากนายน้อยจะเอาเงินร้านไป ช่วยลงชื่อกับหลงจู๊หมิ่นคังด้วยเถอะครับ”
หลี่อี้ข่ายพูดขึ้นมาด้วยเหตุผล หากนายน้อยจะเอาเงินไปเขาก็ไม่ห้าม แต่ช่วยลงชื่อด้วยรับเงินด้วย เพราะถ้าเงินหายไปแบบไม่มีที่ไปที่มา เถ้าแก่เฉินคงมาหักเงินเดือนของพนักงานอีกแน่
“ฉันไม่ทำอะไรทั้งนั้น เงินหนึ่งร้อยหยวนนี่ฉันจะเอาไปต่อทุน”
พูดจบเฉินลู่หยางก็ยิ้มกริ่มออกจากร้านทันทีพร้อมเงินในมือ และเดินไปยังทิศทางที่บ่อนประจำของตนเอง
“หลงจู๊ เรื่องนี้ทำไมไม่ห้ามครับ พอเงินขาดขึ้นมา พวกเราต้องถูกหักเงิน จนตอนนี้แทบจะไม่พอส่งกลับบ้านแล้วนะครับ” หลี่อี้ข่ายพูดขึ้นกับหลงจู๊ของร้าน ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้หนังสือมากนัก พอหลงจู๊ให้ลงชื่ออะไรเขาก็ยินยอม ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นแต่รวมถึงพนักงานร้านคนอื่น ๆ ด้วย
จนตอนนี้เขาต้องหางานเงินตอนเลิกงาน เพื่อจะส่งเงินกลับบ้านให้ครอบครัว
“ไม่ใช่แค่พวกเธอหรอกนะที่เดือดร้อน ฉันเองก็ถูกหักเงินเหมือนกัน คิดดูนะว่าระหว่างเรากับลูกชาย เถ้าแก่เฉินจะฟังใคร นายน้อยปากหวานเสียอย่างนั้น” หลงจู๊เองก็จนปัญญาเหมือนกัน
“แล้วแบบนี้เราจะทำอย่างไร ของเก่าก็ยังถูกหักเงินไม่หมด แล้วนี่จะต้องเป็นหนี้เพิ่มอีกเหรอครับ” เผิงหยู่บ่นขึ้นมา เพราะเขาเองก็แทบไม่มีเงินเหลือส่งกลับบ้านแล้วเหมือนกัน
“ครั้งนี้พวกเธอไม่ต้องห่วง ฉันจะลงรายการเป็นอย่างอื่น”
หลงจู๊หมิ่นคังบอกเหล่าคนงาน เขาเองก็เห็นใจทุกคนและตัวเขาก็ยังถูกหักเงินไปด้วย แต่จะให้เขาชดใช้คนเดียวก็ไม่ได้ เพราะแต่ละครั้งที่นายน้อยมาเอาเงินนั้นมันจำนวนมากเสียเหลือเกิน
“เฮ้อ...อย่างนั้นพวกเราไปกินมื้อเที่ยงกันก่อนนะหลงจู๊” เผิงหยู่เดินมากอดคอหลี่อี้ข่ายแล้วลากออกมาจากร้านเพื่อไปกินมื้อเที่ยง เพราะคนใช้แรงงานแบบพวกเขาต้องใช้แรงยกข้าวสารอย่างไรล่ะ ส่วนพนักงานขายอีกสองคนก็รอรอบต่อไป
ร้านข้าวสารของเถ้าแก่เฉินเหมือนจะมีสัมปทานคนเดียวในเมืองนี้ ร้านเล็กยังต้องมาซื้อเพื่อไปขายตามหมู่บ้าน การที่จะลาออกแล้วไปหางานใหม่กันก็คงยากสำหรับคนที่ไม่มีความรู้อย่างพวกเขา พวกเขาถึงต้องทนอยู่แบบนี้เพราะไม่มีทางเลือก
หลังจากเดินออกมาจากร้าน ทั้งสองก็กลับมาที่พักเนื่องจาก
ร้านข้าวสารของเถ้าแก่เฉินนั้นมีที่พักให้
เมื่อมาถึงหลี่อี้ข่ายก็รีบไปเด็ดผักหลังบ้านที่ปลูกไว้ เอามาผัดกินกับหมั่นโถวที่ทำไว้เมื่อเช้า แม้ว่าจะทำงานร้านข้าวสาร แต่ก็ใช่ว่าจะได้กินข้าวทุกมื้อ ต่อให้ที่ร้านจะมีราคาที่ขายพนักงานก็ตาม
“นี่นายทำกับข้าวอร่อยนะ ขนาดแค่ผัดผักกินกับหมั่นโถวยังอร่อยเลย” เผิงหยู่พูดขึ้นในตอนที่กินผัดผัก
“นายก็พูดเกินไป เพราะเราสองคนทั้งเหนื่อยทั้งหิวต่างหากล่ะ
ถึงกินอะไรก็บอกว่าอร่อย” หลี่อี้ข่ายตอบกลับสหายพร้อมกับส่ายหัวน้อย ๆ กับความช่างยอของอีกฝ่าย
“ว่าแต่นายเถอะ เดี๋ยวเลิกงานแล้ว ไปหางานยกของในตลาดมืดอีกหรือเปล่า ทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนแล้วนะ”
คำว่าตลาดมืดในความหมายของเผิงหยู่นั้นมีทั้งดีและไม่ดี ก่อนที่ฟ้าจะมืดก็แบกสินค้าที่ลูกค้าต่างไปจับจ่ายซื้อของไปส่งให้ที่บ้าน ทว่าเมื่อค่ำหน่อยก็จะมีสินค้าต้องห้ามและหนีภาษีที่ต้องขนเหมือนกัน
เอาง่าย ๆ วัน ๆ หนึ่งหลี่อี้ข่ายได้นอนไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเพื่อรองานที่ไม่ได้มีทุกวัน
“อืม ยังไปเหมือนเดิม นายนั่นแหละถ้าเหนื่อยก็พัก ไม่ต้องตามฉันไปทุกวันหรอกนะ” ชายหนุ่มบอกกับสหายของตนเอง
“ฉันรู้ว่านายมีภาระเยอะนะอาข่าย แต่นายก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย เกิดเหนื่อยมาก ๆแล้วร่างกายล้มขึ้นมาจะทำอย่างไร” เผิงหยู่ส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับความขยันของสหาย
แม้ว่าเผิงหยู่จะอยู่กันคนละหมู่บ้าน แต่เพราะเป็นสหายกันมาตั้งแต่เด็ก เลยรู้จักบ้านหลี่ดี เขารู้ดีว่าบ้านหลี่เป็นอย่างไร แถมเวลานี้สหายคนนี้ยังมีลูกน้อยอีกสองคน รวมแล้วต้องเลี้ยงคนในบ้านถึงห้าชีวิต ผู้ใหญ่สามคนเด็กสองคน ยังไม่รวมตัวของหลี่อี้ข่าย และยังไม่รวมเหลือบไรจากบ้านใหญ่ที่ต้องส่งเงินเข้ากองกลางทุกเดือน แถมยังมีภรรยาที่ร้ายกาจ
อีกด้วย
“ตัวฉันมันไม่เท่าไหร่หรอกนะอาเผิง แต่ฉันยังมีแม่และน้องที่ต้องดูแล รวมถึงภรรยาและลูกน้อยอีกสองคน ต่อให้ฉันเหนื่อยแค่ไหนฉันก็ต้องสู้เพื่อทุกคน ฉันเป็นผู้ชาย อดได้ เหนื่อยได้ แต่บ้านฉันมีแต่ผู้หญิงและ
ลูกน้อย คนที่บ้านฉันต้องไม่อด”
ชายหนุ่มตอบกลับด้วยเสียงหนักแน่น ต่อให้เขาเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แต่เพราะคิดถึงครอบครัวที่รออยู่ เขาก็ท้อและถอยไม่ได้!!
เผิงหยู่ได้ยินคำตอบแบบนั้นก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเร่งมือกินอาหาร เพื่อที่เวลาเหลือนั้นจะได้นอนเอาแรงสักหน่อย
หลี่อี้ข่ายเมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว เขาเหม่อมองออกไปนอกห้องพัก แล้วคิดถึงครอบครัวที่อยู่ต่างเมือง ในใจนั้นหวังว่าทุกคนจะกินอิ่มนอนหลับ ส่วนตัวเขานั้นไม่เป็นไร แม้อยากจะหางานที่ดีและได้เงินเยอะ ๆ แต่คน
ไร้ความรู้เช่นเขาก็ยากที่จะมีงานดี ๆ นอกจากงานใช้แรงงานนี่แหละ