ฟางเจียวเหมย หลังจากเดินออกมาจากบ้านแล้ว หญิงสาวก็เดินตามทางมาเรื่อย ๆ ก่อนจะหลบเข้าข้างทางเพื่อตรวจสอบมิติที่ได้มา
“ในนี้มีร้านอาหาร บ้านพักและห้างสรรพสินค้าจริง ๆ ด้วย แต่ถ้าฉันต้องสำรวจทั้งหมดคงเสียเวลาไม่น้อย เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ฉันไปหาอาหารที่ร้านอาหารก่อนดีกว่า” หญิงสาวพูดกับตัวเองในตอนที่สำรวจทุกอย่างคร่าว ๆ แล้ว
จากนั้นหญิงสาวจึงเข้าไปที่ร้านอาหารของตนเองและตรวจสอบว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งในห้องเย็นที่เก็บวัตถุดิบนั้นมีทุกอย่างที่เธอต้องการ ก่อนที่เธอจะเลือกเนื้อหมู และผัก รวมถึงเครื่องปรุงเพื่อจะเอาออกไปประกอบอาหารเย็นนี้ เมื่อได้อาหารมาแล้ว เธอจึงเดินไปยังห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกดูขอใช้ให้ลูกๆ รวมถึงแม่และน้องสามี เนื่องจากเสื้อผ้าที่ใส่นั้นล้วนแต่มี
รอยปะทั้งนั้น ก่อนจะเลือกเสื้อผ้าผู้ชายมาอีกหลายชุด ตามขนาดของพี่ชายและสามีของร่างนี้
“เลือกเสร็จทุกอย่างแล้ว แต่เวลายังเหลือ ลองเข้าไปที่ตลาดมืดดีกว่า ต่อให้มีการเปิดให้ชาวบ้านทำการค้าได้ แต่อาหารก็ยังมีจำกัด ไม่แน่ว่าอาจจะหาลู่ทางหาเงินได้บ้าง”
พูดจบแล้วเธอก็หาจักรยานที่คล้ายกับของยุคนี้มากที่สุด ก่อนจะปิดบังใบหน้าเล็กน้อยแล้วปั่นเข้าเมืองเพื่อสำรวจสถานที่ทันที
“แม่คิดว่าพี่สะใภ้เปลี่ยนไปไหมคะ” หลี่เหว่ยเหลียนเอ่ยขึ้นกับ
แม่ของตนเอง
“ลูกคิดมากไปหรือเปล่า เจียวเหมยก็มีท่าทีเหมือนเดิมนะ” หนิงหงชุนที่นั่งปักผ้าอยู่เงยหน้าขึ้นตอบกลับลูกสาว เพราะเธอเห็นฟางเจียวเหมยก็ทำตัวแบบนี้ตั้งแต่แต่งเข้ามาแล้ว เลยไม่คิดว่าการกระทำของลูกสะใภ้ในวันนี้ผิดแปลกไปจากเดิมตรงไหน
‘เคยร้ายกาจยังไงก็ยังร้ายกาจเหมือนเดิม หรืออาจจะร้ายกาจมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป’ นี่คือความคิดของหนิงหงชุนที่มีต่อสะใภ้ตนเอง
“แม่คิดอย่างนั้นเหรอคะ แต่ฉันว่าพี่สะใภ้แปลกไปจริงๆ นะ” เด็กสาวกลับคิดต่างกับแม่ตนเอง แม้ว่าพี่สะใภ้จะร้ายกาจแค่ไหน แต่ไม่เคยลุกขึ้นมาหาเรื่องเล่นงานบ้านใหญ่แบบนี้ ถ้าเป็นพี่สะใภ้คนเดิม คงมีแต่จะใช้กำลังหาเรื่องตบตีล่ะไม่ว่า ดีไม่ดีด่าเธออีกว่าโง่อีก ที่ยอมให้บ้านใหญ่เอาเงินค่า
เล่าเรียนไป แต่นี่พี่สะใภ้กลับไม่ทำอะไรเธอเลย
“ทำไมต้องคิดมากให้ปวดหัว เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ มาช่วยแม่เย็บผ้าดีกว่านะ” หนิงหงชุนบอกกับลูกสาวก่อนจะก้มหน้าเย็บผ้าต่อ
สองแม่ลูกนั่งช่วยกันปะเย็บผ้าที่ขาดต่อจวบจนสองแฝดตื่นขึ้นมา
ส่วนทางด้านฟางเจียวเหมย เธอปั่นจักรยานไปทั่วเพื่อดูว่าสถานการณ์ของเมืองนี้เป็นอย่างไร และมองว่าพอจะมีลู่ทางอะไรให้เธอทำการค้าได้บ้าง เพราะต่อให้มีมิติ แต่เมื่อไหร่ที่เธอตายก็ไม่สามารถเอาของออกมาได้แล้ว และเธออยากสร้างการค้าและธุรกิจเพื่อเป็นมรดกให้กับลูกหลานมากกว่า ที่สำคัญเธอมีวัตถุดิบเต็มมิติจะกลัวอะไร
แต่ตอนนี้ต้องหาทุนก่อนเพราะเธอนั้นไม่มีเงิน!!
เมื่อสำรวจพื้นที่โดยรอบหมดแล้ว ฟางเจียวเหมยจึงมุ่งหน้าไปตลาดมืดตามความทรงจำที่มีของร่างเดิม เพื่อจำหน่ายสินค้าและหาเงินเข้ากระเป๋า!!
หลังจากที่เข้ามาในตลาดมืดแล้ว หญิงสาวเดินและมองสำรวจไปรอบ ๆ ในตลาดมืดแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไป ทว่าก็ไม่เหมือนไปเสียทีเดียว เธอมองการขายของในนี้ มีทั้งแบบยืนเร่ขายและวางแผงขาย ดูแล้วเจ้าของตลาดแห่งนี้น่าจะเส้นใหญ่พอสมควรเลยล่ะ แต่แล้วอยู่ ๆ สายตาก็สะดุดเข้ากับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ที่ดูแล้วน่าจะเป็นแม่บ้านของคนมีเงิน
เมื่อเห็นการค้าของที่นี่และคิดว่าไม่ยาก จึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามเผื่อว่าจะขายของได้อย่างคนอื่นบ้าง
“สวัสดีค่ะคุณป้า ไม่ทราบว่ากำลังมองหาอะไรอยู่หรือคะ พอจะบอกได้ไหมเผื่อว่าฉันจะช่วยได้” หญิงสาวถามออกไปอย่างอ่อนโยน
“เธอเป็นแม่ค้าหรือเปล่า พอดีฉันมองหาคนขายเนื้อน่ะ นี่ก็เลยเวลาที่เขามาขายมากแล้ว แต่ไม่มีวี่แววเลย ไม่รู้ว่าเขาจะมาหรือเปล่า” หญิงวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นกังวล เนื่องจากวันนี้เจ้านายของเธอจัดงานเลี้ยงสังสรรค์กับสหายทั้งหลาย หากไม่มีวัตถุดิบกลับไปทำอาหารในวันนี้ มีหวังเธอคงจะถูกตัดเงินเดือนหรือถูกไล่ออกแน่เลย
“ฉันพอจะหาให้ได้นะคะ ไม่ทราบว่าคุณป้าต้องการเนื้อส่วนไหนและต้องการจำนวนเท่าไรคะ” เมื่อสบโอกาสและคิดว่านี่คือการหาเงินครั้งแรก ฟางเจียวเหมยจึงถามความต้องการของอีกฝ่ายทันที
“จริงๆ เหรอที่เธอบอกว่าสามารถหาเนื้อให้ได้น่ะ แล้วของอย่างอื่นล่ะเธอมีอะไรมาขายบ้าง” พอได้ยินว่าหญิงสาวตรงหน้าบอกว่ามีเนื้อมาเสนอขาย หญิงวัยกลางคนจึงยิ้มแก้มปริและถามว่าอีกฝ่ายมีอะไรมาขายอีกบ้าง
“คุณป้าอยากได้อะไรบ้างคะ ฉันสามารถหาให้ได้ทุกอย่าง เพราะฉันพอจะมีเส้นสายอยู่บ้าง” ฟางเจียวเหมยรีบตอบกลับด้วยความดีใจ
หญิงสาวไม่ได้โกหกเลยสักนิด เนื่องจากเธอมีสินค้าทุกอย่างให้เลือก สรรจริง ๆ เพียงแต่เอาออกมาทั้งหมดไม่ได้ในครั้งเดียว เลยถามอีกฝ่ายว่าต้องการอะไร เธอจะได้เอามาให้ถูกกับความต้องการของลูกค้า
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอขาหมูสี่ขา เนื้ออย่างดีห้าชั่ง ไม่ดีกว่าแปดชั่งก็แล้วกัน แล้วก็...” หญิงวัยกลางคนยังคงบอกรายการที่ต้องการอีกหลายอย่าง ซึ่งฟางเจียวเหมยทำทีเป็นล้วงกระเป๋าผ้าที่สะพายมาและหยิบกระดาษกับปากกาออกมาจดรายการที่คุณป้าตรงหน้าต้องการ
“แค่นี้แหละที่ฉันต้องการ เธอมีขายให้ฉันไหมล่ะ” เมื่อไล่รายชื่อสิ่งที่ต้องการจบแล้ว หญิงคนนั้นก็ถามฟางเจียวเหมยกลับมาทันที
“สินค้าจำนวนไม่น้อยเลยนะคะ แต่คุณป้าไม่ต้องห่วง ฉันมีให้ครบทุกอย่างแน่นอน อย่างไรคุณป้ารบกวนรอสักหน่อยได้ไหม ฉันจะไปเอาของมาก่อน” หญิงสาวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แล้วบอกให้อีกฝ่ายรอสักหน่อย เนื่องจากเธอต้องไปเอาของออกมาจากมิติในอีกที่หนึ่งที่ลับสายตาคน เพราะถ้าเกิดเอาออกมาตรงนี้ คุณป้าตรงหน้าคงได้ตื่นตกใจตายแน่ๆ
“ได้สิ เดี๋ยวฉันจะรอเธออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน ว่าแต่เธอยังไม่แจ้งราคาฉันเลยนะว่าขายเท่าไหร่ หากว่าแพงไปฉันก็คงไม่เอาหรอก เนื่องจากฉันมีเงินจำกัดน่ะ” หญิงวัยกลางคนไม่ลืมถามเรื่องสำคัญในการซื้อขาย นั่นคือเรื่องราคา
“คุณป้าเคยซื้อกับอีกร้านอื่นเท่าไหร่คะ เนื่องจากคุณป้าเป็นลูกค้ารายใหญ่ของฉันในวันนี้ ฉันเลยตั้งใจว่าจะขายให้ในราคาที่คุณป้าเคยซื้อ
น่ะค่ะ แต่รับรองว่าสินค้าของฉันเป็นสินค้าชั้นดีแน่นอน” ฟางเจียวเหมยพูดขึ้นอย่างใจกว้าง
เนื่องจากเธอลืมเรื่องราคาไปเสียสนิทเลย จากความทรงจำเดิมก็ไม่แน่ใจว่าเคยซื้อขายกันเท่าไร แต่ถึงยังไงเธอจะขายราคาตามท้องตลาด
นี่แหละ
หญิงวัยกลางคนบอกราคาที่เธอซื้อมาจริง ๆ ให้หญิงสาวรับรู้ ซึ่งฟางเจียวเหมยพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปทางที่มีซอกตึกลับตาคน จากนั้นจึงหยิบสินค้าตามที่ลูกค้าสั่งซื้อออกมา
ไม่นานฟางเจียวเหมยก็กลับมาที่ลูกค้ารายแรกยืนรอ พร้อมถุงที่ใส่สินค้า
“สินค้าที่สั่งได้ครบแล้วละคะ คุณป้าลองตรวจดูก่อนจ่ายเงินได้เลยค่ะ” พูดจบเธอก็ยื่นถุงให้ลูกค้า เพื่อให้อีกฝ่ายตรวจนับสินค้าว่าได้ครบไหม
“ครบถ้วนทุกอย่าง นี่เงินร้อยเจ็ดสิบสี่หยวน ถูกต้องไหม” ป้าคนนั้นยื่นเงินมาให้ฟางเจียวเหมยเมื่อตรวจสินค้าครบแล้ว
“ถูกต้องค่ะ นี่ใบรายการและราคานะคะ ขอบคุณที่อุดหนุนค่ะ” ฟางเจียวเหมยยื่นใบรายการสินค้าคืนไปให้พร้อมกับใส่ราคาให้เรียบร้อย เพราะรู้ว่านางจะต้องนำไปเบิกกับเจ้านายแน่นอน
เมื่อลูกค้ารายแรกเดินจากไปแล้ว ฟางเจียวเหมยก็เดินหาลูกค้ารายต่อ ๆ ไป เนื่องจากวันนี้เธอไม่ได้ตั้งใจมาขายของจริง ๆ เลยไม่อยาก
ปูผ้าตั้งแผงเหมือนคนอื่น และที่สำคัญ หากไม่ใช่สินค้าที่จำกัดของภาครัฐ เธอสามารถวางขายตามตลาดนัดหรือสถานที่ที่รัฐจัดสรรให้ได้
เท่าที่เดินดูมา ขายอาหารน่าจะขายดีที่สุดแล้ว เพราะเธอไม่ได้เดือดร้อนเรื่องวัตถุดิบ แต่จะให้ขายอย่างโจ่งแจ้งตอนนี้คงไม่ไหว เพราะยังมีเหลือบไรจากบ้านใหญ่อยู่ ถ้าหากพวกนั้นรู้ว่าเธอมีเงินจากการค้าขาย จะต้องมาแย่งชิงไปแน่ ตอนนี้เธอคงต้องหาทางแยกบ้านและตัดขาดจากบ้านใหญ่ให้เร็วที่สุดก็พอ