ตอนที่ 10 ยังมีอีก

1586 คำ
คำกล่าวของมู่หรั่นชิวตรงใจของนักพรตหลิ่วเข้าพอดี พวกเขารู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยเหลือเด็กๆ ได้มากกว่านี้ เด็กที่ถูกนำมาทิ้งไว้ที่นี่พวกเขารู้สึกเวทนาสงสาร แต่ไม่อาจเข้าไปวุ่นวายเกินหน้าที่ได้ พื้นที่วัดก็กว้างใหญ่เหลือเฟือ อันที่จริงจะรับคนมาเท่าใดก็ได้ เพียงแต่ขาดคนที่จะมาจัดการเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ส่วนตัวของเด็กๆ อยู่นั่นเอง คำกล่าวของมู่หรั่นชิวอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ก็เป็นได้ นักพรตหลิ่ว จ้องมองมู่หรั่นชิวและน้องสองคนอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะล้วงหยิบกระดองเต่าอันหนึ่งมาถือไว้ เขาใส่เหรียญสลักอักษรบางอย่างที่แปลกตาไว้ทั้งสองด้าน 6 เหรียญเข้าไปในกระดองเต่า เขย่าแล้วเทมันลงบนพื้น มู่หรั่นชิวอ่านไม่ออกมาว่าอักษรที่ปรากฏบนเหรียญทั้ง 6 นั้นอ่านว่าอะไรบ้าง ได้ยินแต่เสียงดังของนักพรตและนักบวชทั้งสามเอ่ยขึ้นมาทีละคน “อยู่ได้” “อมิตาพุทธ” “ขอบคุณสวรรค์” คำว่า “อยู่ได้” ของนักพรตหลิ่ว ทำให้มู่หยวนเกือบจะกระโดดขึ้นมาด้วยความดีใจอยู่แล้ว ยังดีที่มู่หรงฉียังดึงเสื้อนางเอาไว้ทัน “หากข้าจะช่วยเด็กๆ ข้าก็อาจจะต้องพาเด็กๆ ขึ้นมาบนวัดบ่อยครั้งขึ้นนะเจ้าคะ แต่ข้ารับรองว่าจะไม่ให้พวกเขามารบกวนพวกท่านเด็ดขาด” มู่หรั่นชิวรู้มาจากเสี่ยวเหวิน ว่ารุ่นพี่ทุกรุ่นจะสั่งสอนรุ่นน้องที่อาศัยในอารามดับทุกข์ ไม่ให้ขึ้นมารบกวนบรรดานักบวชโดยเด็ดขาด เว้นแต่จะมีเรื่องสำคัญจริงๆ และคนที่ขึ้นมาก็มักจะเป็นเด็กชายหัวหน้ากลุ่มเท่านั้น เวลานี้ก็มีเพียงเสี่ยวเหวินที่รับหน้าที่มาติดต่อกับเจ้าอารามทั้งสาม เรื่องนี้ไม่ได้เป็นข้อห้ามแต่อย่างใด แต่เป็นพวกเด็กๆ ที่คิดกันเอาเอง พวกเขาล้วนเป็นเด็กที่มีความพิการ หรือมีตำหนิ มีปาน เจ็บป่วยบ่อยครั้ง ครอบครัวที่งมงายจึงลอบเอาเด็กมาทิ้งไว้ในวัดเพราะคิดว่าเป็นเพราะภูตผีปีศาจเข้าสิงชิงร่าง ต้องให้เด็กอยู่ใกล้วัด เด็กๆ จึงมีความคิดว่าหากพวกเขายังมาสร้างความรำคาญใจให้กับนักบวชอีก พวกเขาอาจจะถูกขับไล่ จึงสร้างกฎห้ามทุกคนขึ้นมาบนภูเขากันเองและบอกต่อกันรุ่นสู่รุ่น แต่เมื่อนางคิดจะหาเงิน คิดจะพัฒนาชีวิตเด็กๆ นางไม่อาจปล่อยให้เด็กเหล่านั้นหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในอารามดับทุกข์ได้อีกต่อไป บนวัดมีผู้คนวนเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ในช่วงวันสำคัญยิ่งมีคนจำนวนมากและพวกเขาล้วนมีบุตรธิดาวัยเยาว์ติดตามมาด้วย การให้เด็กในอารามออกมาเดินอยู่ในวัดบ้างไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ “เรื่องนี้หากเจ้าควบคุมดูแลได้ก็ไม่เป็นปัญหาอันใดหรอก” นักบวชหงเป็นผู้ตอบเมื่อเห็นอีกสองคนไม่กล่าวอันใดออกมา “ยังมีอีกเจ้าค่ะ พวกท่านไม่รับเงิน แต่พวกเราเป็นฆราวาสเป็นคนธรรมดาที่ต้องใช้เงิน ข้าอาจจะคิดหาทางสร้างรายได้ให้กับอารามดับทุกข์ เพื่อให้พวกเขาสามารถตั้งตัวกันได้ยามที่เติบโตออกจากที่นี่ไปแล้ว” “นั่นมันเรื่องของพวกเจ้า แต่อย่าได้ไปหลอกลวงผู้ใด ทำให้เสื่อมเสียมาถึงเหล่านักบวชได้เล่า” นักพรตหลิ่วเป็นคนตอบบ้าง “ยังมีอีกเจ้าค่ะ ที่กระท่อมชายป่าของข้าปลูกผักเอาไว้ พวกมันไม่ได้เสียหายไปด้วย ข้าจะพาน้องๆ ในอารามดับทุกข์ไปช่วยกันดูแลแปลงผักทางนั้นได้บ้างหรือไม่เจ้าคะ” “อารามดับทุกข์ไม่ได้ขังพวกเจ้าไว้เสียหน่อย จะไปไหนมาไหนขอเพียงมาบอกกล่าวให้มีคนรู้บ้างเท่านั้นก็พอ แปลงผักทางนั้นก็ไปดูวันละครั้งข้าอนุญาตเอง” นักพรตหลิ่วตอบอีกครั้ง “ยังมีอีกเจ้าค่ะ” พอมู่หรั่นชิวกล่าวขึ้นมาครั้งนี้ นักพรตหลิ่วชักจะหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย เขาเคาะไม้เท้าในมือไปที่พื้นสองครั้งเป็นการปราม นักบวชหงเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าจากลูกประคำหันมามองเด็กสาว “คือว่า.. พวกเรามีไก่ป่าที่จับมาได้สองตัว เราจะเลี้ยงมันไว้เพื่อเป็นอาหารได้หรือไม่เจ้าคะ” มู่หรั่นชิวรู้สึกลังเลเล็กน้อย ทีแรกนางอยากจะปิดบังไว้เพราะรู้ว่านักพรตและนักบวชทุกคนกินเจ แต่คิดว่าอย่างไรเสียงของไก่ และเล้าไก่วันหนึ่งพวกเขาก็ต้องเห็น จึงเลือกกล่าวออกไปเสียตั้งแต่แรกจะดีกว่า “ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาป อมิตาพุทธ” นักบวชหงก้มหน้าลงไปนับลูกประคำต่อ “พวกเราจะเก็บไข่ไว้กินส่วนหนึ่ง บางส่วนก็จะเลี้ยงให้พวกมันโต หากมันแก่ตายไปเองเราถึงจะกินมันอย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราไม่ได้ฆ่าสัตว์ใช่หรือไม่เจ้าคะ” เรื่องนี้นักพรตหลิ่วรู้ดีว่านักบวชหงจะไม่ตอบเป็นแน่ เขาจึงเป็นฝ่ายตอบคำถามเสียเอง “เลี้ยงพวกมันได้ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมาถือศีลกินเจกับพวกเรา แต่อย่าเลี้ยงมากเกินไปอย่างไรนี่ก็เป็นเขตวัด ผู้อื่นเห็นจะไม่เหมาะสม” “ยังมีอีกเจ้าค่ะ” “อะไรอีกเจ้าก็พูดออกมาเสียทีเดียวเลย” นักพรตหลิ่วเริ่มจะปวดหัวเล็กน้อยกับเด็กสาวผู้นี้แล้ว คราวนี้แม้แต่นักพรตเซี่ยที่แหงนหน้ามองดูท้องฟ้าอยู่ก็ยังปรายตามามองเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “อันนี้เป็นเรื่องสุดท้ายที่ข้าคิดได้วันนี้แล้วเจ้าค่ะ ถ้าวันอื่นข้าคิดเพิ่มได้จะมาขอร้องพวกท่านใหม่ เรื่องสุดท้ายนี่เกี่ยวกับอารามขาวเจ้าค่ะ” นักพรตเซี่ยเก็บรวบพัดไม้ไผ่ที่ถืออยู่ในมือ หันมาพยักหน้าให้มู่หรั่นชิวกล่าวออกมาได้ “ข้าอยากจะขอส่งเด็กๆ ขึ้นมาเรียนอักษรกับนักพรตในอารามขาววันละ 1 ชั่วยาม เรื่องนี้จะเป็นการรบกวนนักพรตทุกท่านหรือไม่เจ้าคะ” นักพรตในอารามขาวมีทั้งหมด 6 คน หากไม่นับท่านเจ้าอารามเซี่ย 5 คนที่เหลือก็ล้วนรู้อักษร ท่องหนังสือกันเป็นทุกคน เอาเวลาที่แหงนหน้าดูท้องฟ้ามาช่วยนางสอนหนังสือให้น้องๆ จะดีกว่า “ก็ดี ให้เด็กเหล่านั้นมาเรียนรู้คำสอน รู้จักพิจารณาสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ยังเด็กก็ดี” นักพรตเซี่ยไม่ปฏิเสธ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเด็กคนไหนขึ้นมาขอร่ำเรียนกับพวกเขามาก่อน พวกเขาก็ไม่ได้ไปบังคับ พอเห็นว่ามู่หรั่นชิวกล้าที่จะขอหลายอย่างที่เป็นประโยชน์กับเด็กเหล่านั้นเขาย่อมยินดีไปด้วย “หมดเรื่องแล้วใช่หรือไม่ พวกเรายังมีธุระต้องทำ เจ้าจะทำอันใดก็จัดการกันเอา เว้นแต่อารามเขียวทางนั้นที่ต้องกำชับไม่ให้เด็กผู้หญิงเข้าไปวุ่นวายมากนัก อารามอื่นพวกเขาก็เข้าออกกันได้ตามสะดวก" นักพรตหลิ่วกล่าวจบก็สะบัดชายเสื้อตัวยาวหลายชั้นของตนออกไป โดยไม่ได้หยุดรอให้เด็กสี่คนคำนับลา เสี่ยวเหวินกระโดดโลดเต้นนำสามพี่น้องมาถึงบันไดทางลงจากวัดทางด้านหลัง เขาดีใจเหลือเกินที่จากนี้จะสามารถพาสหายขึ้นไปบนวัด ได้เรียนอักษร อีกทั้งยังได้รับอนุญาตให้ไปดูแลแปลงผักที่บ้านเก่าของสกุลมู่ทางชายป่าอีกฝั่งหนึ่งด้วย ลงมาจนเกือบถึงอารามดับทุกข์ ก็เห็นหัวดำหัวแดง สิบกว่าหัวนั่งเกาะกันอยู่ตามขั้นบันไดเบื้องล่าง เพื่อรอฟังข่าว “พวกเรากลับมาแล้ว” เสี่ยวเหวินส่งเสียงลงไปก่อนตัว “เป็นอย่างไรบ้าง นักบวชพวกนั้นให้พี่สาวอยู่ที่นี่ได้หรือไม่?" เด็กๆ แย่งกันถามเสียงดังเซ็งแซ่ไปหมด “พวกเจ้าต้องไม่เชื่อแน่ๆ นอกจากพี่สาว หรงฉีและอาหยวนจะอยู่ที่นี่ได้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่น่าตื่นเต้นกว่านี้อีก มาเดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟังทุกคำพูดเอง ข้าจำเอาไว้หมดแล้ว” เสี่ยวเหวินเล่าตั้งแต่นาทีที่เดินเหยียบขึ้นไปถึงอารามขาว จวบจนถ้อยคำสุดท้ายที่เขาได้ยินจากปากของนักพรตและนักบวชทั้งสามอาราม เด็กๆ บัดเดี๋ยวก็อ้าปากค้าง บัดเดี๋ยวก็ทำตาโต ฟังเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น ทั้งยังน่าเหลือเชื่ออีกด้วยที่พวกเขาจะได้ออกไปเที่ยวเล่นภายนอกได้ด้วย “ส..ส..เสี่ยว..เหวิน จ..เจ้า..ได้ รับ..ปาก จ..จะ.ไม่..ฆ่า..ส.สส..สัตว์ หรือ..ม..ไม่” เสี่ยวอ่างนึกอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา “เปล่านี่ ท่านนักบวชหงเพียงแค่บอกว่าฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่ไม่ได้ให้พวกเรารับปากอันใด” เสี่ยวอ่างถอนหายใจโล่งอกไปทีหนึ่ง พวกเขายังมีปลาขังเอาไว้อยู่อีกตัว หากฆ่าสัตว์ไม่ได้เขาคงต้องอดกินปลาตัวนั้นแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม