“อย่างนี้ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย” เสี่ยวเหวินวางมาดเคร่งขรึม แต่ใบหน้าเหลืองซีดและร่างเล็กผอมแห้งยิ่งกว่ามู่หรงฉีทั้งที่เขาอายุมากกว่ามู่หรงฉี 2 ปีนั้น ไม่ได้ดูน่าเกรงขามเลยสักนิด
“เมล็ดพันธุ์เหล่านี้แลกข้าวสารได้มากเพียงใดเล่า” มู่หรั่นชิวให้เกียรติเด็กน้อยผู้นำอารามดับทุกข์ตัวจ้อย
เสี่ยวเหวินชะงักไปเล็กน้อย แลกข้าวสารได้เท่าไร? เขาจะตอบอย่างไรดีเล่า เวลานี้ใกล้จะถึงฤดูฝนแล้ว มีผู้มีจิตศรัทธาส่งข้าวสารและผักดองให้วัดหนานผูมากกว่าปกติ ทำให้อารามดับทุกข์ได้รับผลประโยชน์ไปด้วย พวกเขาไม่ขาดข้าวสาร แต่ขาดผักอยู่จริงๆ
เด็กชายหันซ้ายหันขวามองหาสหายในอารามให้มาช่วยกันออกความคิด แต่ก็ไม่เห็นจะมีผู้ใดใส่ใจกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย เวลานี้เด็กผู้หญิงที่มีอยู่ 6 คน ต่างก็ดึงมู่หยวนให้ไปนั่งคุยเล่นกันเงียบๆ ทางหนึ่ง เด็กผู้ชายอีก 6 คนรวมทั้งเขายังคงตื่นเต้นกับเมล็ดพันธุ์ผักในมือของพี่สาวมู่หรั่นชิวอยู่
“พี่สาว ท่านโตกว่าพวกเรา ท่านคิดเอาเองเถิดว่าต้องแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนเท่าใด” เสี่ยวเหวินตอบกลับมาในที่สุด
มู่หรั่นชิวเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะแลกเปลี่ยนข้าวสารกับเมล็ดพันธุ์ผักอย่างไรให้ยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายดี นางก็เห็นอยู่ว่าเด็กเหล่านี้น่าสงสาร อีกทั้งยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีข้าวอยู่มากน้อยเพียงไร
“เอาอย่างนี้ ทั้งหมดนี้ข้าขอแลกข้าวสารให้เราสามพี่น้องพอกินไปได้ครึ่งเดือน อีกครึ่งเดือนเราจะกลับมาอีกครั้ง พวกเราก็จะกลับไปปลูกผักเช่นเดียวกัน หากพวกเจ้าไม่พอข้าจะแบ่งผักมาให้กินบ้างดีหรือไม่”
“ตกลง ตามนั้น!!” เสี่ยวเหวินรีบตอบตกลงทันที เขาไม่มีความคิดอื่นในหัวอยู่แล้ว
แลกเปลี่ยนอาหารกันเสร็จ มู่หรั่นชิวยังปล่อยให้น้องชายและน้องสาวได้วิ่งเล่นกันสหายที่พวกเขาคุ้นเคยอยู่อีกพักใหญ่ พอคิดว่าถึงเวลาที่สมควรจะกลับได้แล้ว มู่หยวนก็พาเพื่อนที่ส่วนใหญ่อายุมากกว่าและเท่ากันกับนางเดินบิดไม้บิดมือเข้ามาหามู่หรั่นชิวด้วยท่าทางลังเลเล็กน้อย
“เราต้องกลับกันแล้วนะหยวนเอ๋อร์ มีอะไรเจ้าก็พูดมาอย่ามัวอ้ำอึ้งอยู่”
“พี่รอง ข้าขอแบ่งไข่ต้มให้สหายข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” มู่หยวนขอบตาแดงรื้นขึ้นมา นางรู้ดีว่าไข่เป็นอาหารที่พี่สาวเพิ่งจะได้มา เมื่อครู่นางเผลอเอาออกมาอวดสหาย แล้วเพื่อนๆ ของนางก็มองมันอย่างอยากกินมากๆ นางอยากแบ่งให้สหายแต่ไม่กล้า จึงมาถามความเห็นพี่สาวคนรองก่อน
เด็กชายในอารามดับทุกข์รวมทั้งมู่หรงฉีที่เตรียมจะมาร่ำลาจากกัน ได้ยินคำกล่าวของมู่หยวนพอดี กลุ่มเด็กชายก็เข้ามาล้อมวงมองดูไข่ไก่ที่พวกเขาไม่ค่อยได้เห็นกันยกใหญ่
อารามทั้งสาม ที่แบ่งนักบวช 3 ประเภทออกจากกันแต่พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข นักบวชแต่ละอารามมีวิธีการดำเนินชีวิตและประกอบพิธีที่แตกต่างกัน มีสิ่งเดียวที่เหมือนกันก็คือพวกเขาทั้งหมดกินเจ!! แล้วเด็กๆ ที่อารามดับทุกข์จะเห็นไข่หรือเนื้อสัตว์ง่ายๆ ได้อย่างไรกัน หากไม่มีรุ่นพี่ที่เติบโตย้ายออกไปแล้ว นานทีปีหนจะซื้อกลับมาให้พวกเขาได้ลิ้มลองเนื้อสัตว์และไข่สักครั้งหนึ่ง
มู่หรั่นชิวเห็นเด็กๆ ทั้ง 12 คน ต่างก็จ้องไข่ต้มในมือของมู่หยวน พลางกลืนน้ำลายกันเป็นแถว แต่ไม่มีใครออกมาแย่งชิงหยิบฉวยไปสักคนเดียว ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีบิดามารดาคอยสั่งสอน แต่ดูแล้วนักบวชเหล่านั้นคงจะไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างป่าเถื่อนเกินไป
“ไข่พวกนี้ที่จริงแล้ว เราสามพี่น้องต้องเก็บเอาไว้กินอีกหลายมื้อเลยทีเดียว เราก็ไม่มีอาหารเช่นกัน” มู่หรั่นชิวสารภาพออกมาต่อหน้าเด็กทุกคนที่ยืนอยู่
“ม..มมไม่..เป็นไร เรา.ไม่ ยยแย่ง ขอ..ของ นางหรอก ต..แต่ข้าขอ ด..ดมมัน หน่อย ด..ด..ได้หรือ ม..ไม่” เสี่ยวอ่างรีบโบกไม้โบกมือ ว่าสามพี่น้องไม่จำเป็นต้องแบ่งไข่ให้พวกเขา
“ไข่ยังไม่ได้ปลอกเปลือก เจ้าดมก็ไม่ได้กลิ่นอะไรหรอกเสี่ยวอ่าง” มู่หรงฉีเขกหัวสหายวัยเดียวกันไปทีหนึ่ง
เด็กหญิงตัวเล็กๆ ถอยหลังห่างจากมู่หยวนไปก้าวหนึ่ง แต่ก็ยิ้มให้สหายตัวน้อยคล้ายกำลังปลอบใจกัน พวกนางเข้าใจดีว่าอาหารเป็นของมู่หยวน และมู่หยวนต้องขอมาจากพี่สาวของนางอีกที หากพี่สาวไม่อนุญาตนางก็ไม่มีสิทธิ์จะเอาไปให้ผู้ใด
มู่หรั่นชิวเห็นเด็กๆ มีมารยาทดี หัวใจก็อ่อนยวบลงมา เด็กพวกนี้น่ารักเกินไปแล้ว!!
“เอาเถิด อย่างไรวันนี้ข้าก็แลกข้าวสารมาได้แล้ว ก่อนหน้านี้ก็มาขอพวกเจ้าฝ่ายเดียวไม่มีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยน เช่นนั้นวันนี้เราจะแบ่งไข่กินกันทุกคน เสี่ยวเหวินเจ้าไปหาจานสะอาดมาสักใบให้ข้าที” มู่หรั่นชิวสั่งการ
พอได้จานมา มู่หรั่นชิวก็หยิบไข่ในอกเสื้อของตนออกมาอีก 2 ใบ มู่หรงฉีและมู่หยวนก็ยื่นส่งให้นางอีกคนละ 2 ใบ เด็กสาวปอกเปลือกไข่ทั้ง 6 ใบ จัดการแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ 15 ชิ้น พยายามให้ทุกชิ้นมีขนาดเท่าๆ กัน
“หยิบไปกินกันคนละชิ้น คนไหนมือไม่สะอาดห้ามหยิบเด็ดขาด”
สิ้นเสียงเล็กๆ ของมู่หรั่นชิว เด็กทั้งหมดก็วิ่งไปล้างมือกันโดยพร้อมเพรียงก่อนที่จะกลับมาหยิบส่วนแบ่งของตนไปกัดกินคนละชิ้น
เด็กผู้หญิง 2 คนที่เพิ่งจะมาอยู่ที่อารามดับทุกข์ได้ไม่นาน พวกนางไม่เคยกินไข่มาก่อนเลยในชีวิต หลับตาพริ้มเคี้ยวไข่ในปากอย่างสุขใจเหลือประมาณ เด็กหลายคนก็กินไปยิ้มไปน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ
มู่หรงฉีและมู่หยวนเดินมากอดพี่สาวของตนเอง กล่าวขอบคุณนางที่อนุญาตให้แบ่งไข่ต้มให้สหายของพวกตนได้กินบ้าง เด็กที่เหลือเห็นดังนั้นก็พากันมาขอบคุณมู่หรั่นชิวตามกันทั้งหมด ก่อนที่จะร่ำลาแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน ส่วนสามพี่น้องก็เดินกลับกระท่อมน้อยไปด้วยหัวใจเปี่ยมสุข
……….
สามวันที่ผ่าน สามพี่น้องสกุลมู่วุ่นวายอยู่กับการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ผักจนสำเร็จ พวกนางมีข้าวสารมีไข่ไก่ที่เหลืออยู่ 10 ฟอง เอาออกมาต้มกินวันละ 3 ฟอง กับมู่หรั่นมู่ชิวออกไปหาผักป่ามาเพิ่มได้อีกนิดหน่อยเป็นอาหาร ภายในกระท่อมไม่มีน้ำมัน ไม่มีเครื่องปรุงอื่นนอกจากเกลือที่มีรสขมปะปนอยู่ อาหารการกินของพวกนางจึงไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่านี้
“เราต้องช่วยกันไปจับไก่ป่า” มู่หรั่นชิว ค้นหาแหในห้องเก่าของมู่เกอได้มาปากหนึ่ง ตัดสินใจเรียกน้องชายน้องสาวมาบอกแผนการ
ผักที่ปลูกเอาไว้ยังอีกนานกว่าจะโตพอให้เก็บมากินได้ สามพี่น้องไม่อาจกินข้าวเปล่ากับผักป่าไปได้ตลอด เด็กสาวค้นหาจนทั่วกระท่อมแล้ว นางไม่พบเงินแม้แต่อีแปะเดียวภายในบ้าน จึงจำเป็นต้องหาเนื้อสัตว์มากินกันเอง
สามพี่น้องปีนขึ้นไปบนต้นไม้คนละต้น จับปลายเชือกที่ผูกแหเอาไว้สามมุม กางออกแล้วโรยข้าวสารที่พื้นดินในบริเวณที่หลายวันก่อนพบไข่ไก่ป่าจำนวนมาก หมายจะดักจับไก่ป่าที่หลงเข้ามาติดกับ
มู่หรงฉีและมู่หยวนต่างก็ปิดปากกันสนิทเมื่อเห็นฝูงไก่ 6-7 ตัว ที่เดินเข้ามาจิกกินข้าวสารที่พี่สาวคนรองโปรยล่อพวกมันเอาไว้ พอเห็นว่าไก่อยู่ตรงกลางของแหที่พวกเขากางไว้ด้านบน มู่หรั่นชิวก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้น้องสองคน
“พรึ่บๆๆ” เสียงไก่กระพือปีกบินหนีกันวุ่นวาย พร้อมกับร่างเล็กสามร่างที่กระโดดลงจากต้นไม้ พยายามตะครุบปลายแหแต่ละด้านเอาไว้ ไม่ให้ไก่ป่าหลุดรอดออกไปได้
“สี่ตัว!! ได้สี่ตัวพี่รอง” มู่หรงฉีตะโกนลั่น
“เย้!! วันนี้พวกเราจะได้กินเนื้อไก่กันแล้ว" มู่หยวนกระโดดโลดเต้น ตบมือให้พี่สาวที่กำลังรวบแหที่มีไก่ 4 ตัวติดกับอยู่ในนั้น นางอดไม่ได้ที่จะแอบเลียริมฝีปากเมื่อนึกถึงรสชาติของเนื้อไก่นุ่มๆ ที่ไม่ได้กินมาตั้งแต่พี่ชายคนโตจากไป
มู่หรั่นชิวส่งไก่ป่าที่มัดเอาไว้อย่างแน่นหนาให้น้องสองคนอุ้มไปคนละตัว ส่วนตนเองก็หนีบเอาไก่ตัวอ้วนอีกสองตัวไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง