ตอนที่ 2

1315 คำ
หล่อนบอกไปอย่างนั้นด้วยโดยไม่สนใจว่าคนที่ร่วมคุยด้วยเป็นใครพอเขามีน้ำใจหล่อนจึงเจรจาแจ้วเลื่อนกระจกเปิด เห็นใบหน้าคนขับชัด “คุณนี่เอง” คนที่หล่อนเผลอเปิดประตูออกมาแล้วเกือบโดนเขา ใบหน้าของหล่อนแปรเป็นชะงัก แล้วก็เชิดขึ้น “ผมเองครับ” เขาตอบ “ขอความช่วยเหลือใช่ไหมครับ ผมดูให้ได้” หน้าตาเขาอ่อนวัยกว่าหล่อน นางแบบสาวลงมายืนกลางแจ้ง แดดร้อนก็ร้อน ยังหาที่หลบไม่ได้ “ช่วยกันเข็นเข้าข้างทางก่อนครับ” น้ำเสียงของเขาการุณช้องม่วงทำอะไรไม่ถูกด้วยซ้ำหล่อนเลยทำตามที่เขาบอกให้หล่อนขึ้นไปนั่งบนรถหลังจากที่ปลดเกียร์ว่าง จนในที่สุดปลอดภัย “ขอบคุณมากนะคะคุณชื่ออะไรฉันจะได้รู้จักไว้โอกาสคราวหน้าฉันจะตอบแทนคุณในครั้งนี้” หนุ่มที่ดูอ่อนกว่าหล่อนยิ้มให้ “ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือครับ แต่ก็ยินดีที่รู้จักคุณ” “ฉัน ช้องม่วงค่ะ” “ส่วนผมศิลารัณย์เรียกศิลาครับ” เขาอยู่รอจนหล่อนสามารถเรียกช่างได้แล้วแต่ว่าช่างประจำที่อู่ที่หล่อนใช้ประจำล่าช้านักศิลารัณย์เลยอาสาเอาช่างในอู่ที่เขาใช้ประจำและอยู่ใกล้มากกว่า จนช้องม่วงสามารถเอารถไปไว้ที่อู่ดังกล่าวด้วยการลากจูงของรถจากอู่ “ขอบคุณสำหรับการเป็นธุระให้ไปก่อนนะคะฉันจะรีบไปทำงาน” หล่อนได้เบอร์ติดต่อที่อู่เรียบร้อยหายห่วง ลองเชื่อใจเขา คิดว่าเขามีน้ำใจ คงจะมีน้ำใจแบบนี้ตลอดรอดฝั่ง “ลาก่อนนะคะ คุณศิลารัณย์ หนุ่มน้อย” ศิลารัณย์ยิ้มที่มุมปากซึ่งมีทั้งเขี้ยวและลักยิ้ม ร้องก่อน “เดี๋ยวครับถ้าไว้ใจผม ให้ไปส่งก็ได้ ผมยินดีบริการ” “คงไม่หรอกค่ะแค่นี้ก็ถือว่าพระคุณแล้ว ที่เกิดเรื่อง ฉันไปแท็กซี่ดีกว่า” นางแบบสาวร่างสูง ค่อนระหง หล่อนดูมีมาด ออร่าบนใบหน้าและดวงตาจนศิลารัณย์ต้องเหลียวมองอีกครั้งตอนที่หล่อนสะบัดตัวจากไป ยิ่งค้น ยิ่งคว้านลึกๆในความคิด เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์รอบตัวถ้าพูดถึงความอ่อนหวานถ้าพูดถึงความร้ายกาจก็อีกอย่าง หล่อนคงร้ายถึงพริกเผ็ดถึงขิง เพราะงานของหล่อนสำคัญเหลือเกิน ช้องม่วงแทบจะเร่งเวลานี่ถ้ารถของหล่อนไม่เสียคงไม่วุ่นวายหรือรีบร้อนขนาดนี้ นางแบบคืออาชีพหล่อน งานที่จะไปนี่สำคัญด้วย นอกจากถ่ายปกนิตยสารระดับไฮโซที่จองตัวหล่อนมาข้ามปีแล้วไม่ได้คิว วันนี้ช้องม่วงให้คิวได้ และหล่อนต้องไม่ผิดสัญญา เรื่องตรงสัญญากับงาน ช้องม่วงเป็นที่หนึ่งถึงจะมาเกิดเรื่องเกี่ยวกับรถอย่างนี้ หล่อนต้องไป หล่อนยิ้มให้กับกองถ่ายของนิตยสารสไตลิสและบ.ก.ที่มาคุมงานเอง ทุกคนแปลกใจที่หล่อนมาแท็กซี่ “รถเสียค่ะเข้าอู่” ทีมงานของที่นี่มีด้วยกันห้าคนบวกกับบ.ก.เป็นหกเตรียมเซ็ตฉากสถานที่เรียบร้อยแล้ว ช้องม่วงรู้ก่อนหน้านั้น หล่อนเป็นนางแบบที่จะได้ชิมลางงานในวงการบันเทิงคือแสดงภาพยนตร์แต่หล่อนขอปฏิเสธ ดูเหมือนหล่อนไม่ชอบสักเท่าไหร่ เพราะไม่ชอบคนจุ้นจ้านเรื่องมาก และมากเรื่อง ก็มากความ สามรายเข้าไปแล้วนี่ ที่หล่อนปฏิเสธเรื่องนี้ เม็ดเงินค่าตัวยอมรับว่าค่อนข้างสูงที่อยากได้ตัวหล่อนแต่ช้องม่วงก็ไม่รับ หลายคนหาว่าหล่อนโง่ เงินอยู่ตรงหน้าแท้ๆคว้าหยิบจับได้ เงินใครๆก็ต้องการ แต่หล่อนไม่ชอบงานสมบุกสมบัน ยิ่งหล่อนเป็นคนดูแลตัวเอง ผิวพรรณอีกอย่างงานเดินแบบของหล่อนสบายใจกว่า แต่อนาคตต่อไปไม่แน่ สมองของหล่อนไม่ได้วอกแวกฉุกคิดเรื่องใดแม้แต่เล็กน้อย เมื่อเป็นงานหล่อนจึงสนใจงานอย่างเดียว งานจึงออกมาดีความเป็นมืออาชีพของหล่อนการันตีได้เป็นที่พอใจของบ.ก.และทีมช่างภาพ สไตลิสของบริษัท เสร็จแล้วหล่อนจึงออกไป ทิชานั่งจมอยู่กับเก้าอี้ตัวเดิมนานมากแล้ว ผมซอยสั้นเปิดหน้าผาก หน้าตาบ่งถึงสีหน้าที่เคร่ง มีโทรศัพท์ดังเข้ามาเมื่อหล่อนเปิดดูไม่รับคนที่โทร.เข้ามาหาหล่อนคือคนที่ทำให้หล่อนเหมือนคนคิดไม่ตกมันทั้งสับสนปนเปจนทำอะไรไม่ถูก เก้าอี้หวายที่หล่อนนั่งเบาะนุ่ม แต่ใจของหล่อนไม่ได้นุ่มหรืออ่อนลง มีแต่เพิ่มความเจ็บปวด หล่อนคือน้องสาวคนสุดท้องในบรรดาสามสาว บ้านพิจารณ์โภคิน พี่คนโตแต่งงานไปแล้ว เพิ่งหมาดเมื่อห้าเดือนที่แล้ว ทิชายังได้ไปร่วมงาน ส่วนพี่สาวคนรอง คนนี้แข็งแกร่ง ขาลุยทุกอย่างแต่ไม่นึกว่าจับพลัดจับผลูมาโดดเด่นในวงการได้เป็นนางแบบ มีแต่ทิชาเท่านั้นที่จบคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ทำงานบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่ง ทำเกี่ยวกับเวปไซด์ และการ์ตูน หล่อนลางานเพราะปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำงาน ใครจะรู้เล่าว่าเธอจะต้องเจอเรื่องแบบนี้บ้านที่เห็น เป็นบ้านของหล่อน แม้จะดูเก่า ตกทอดมาจากบิดามารดา ที่ทิ้งเหลือไว้เป็นมรดกชิ้นสุดท้าย บ้านตึกสองชั้นสี่ห้องนอนแว่วข่าวว่าพี่สาวคนรองของหล่อนจะโละและต่อเติมใหม่รวมทั้งเปลี่ยนโครงสร้างของบ้านให้เป็นวัสดุทันสมัย ที่หลังอื่นแถวนี้ทำกัน หากถ้าต่อเติมพวกหล่อนต้องย้ายไปอยู่อีกหลังโชคดีที่พี่สาวคนรองซื้อบ้านเอาไว้แล้ว ส่วนพี่สาวคนโตไม่ต้องห่วง พักอยู่บ้านสามี ประตูเปิดออกมาอีกครั้งทิชาได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามา แต่สมองของหล่อนไม่ได้สนใจสิ่งนั้น มันเลื่อนลอย ทั้งเคว้ง เหตุที่ช้องม่วงต้องรีบกลับมาบ้านเร็วเช่นนี้ เพราะหล่อนห่วงใยน้องสาวคนเล็ก “ทิชา”เสียงของหล่อนมาก่อนยามช้องม่วงเอ่ยกับน้องสาวดูอบอุ่นเป็นกันเองในครอบครัวแม้หล่อนจะเป็นพี่แต่ยามหล่อนดุหรือจริงจังก็อีกแบบ “อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่านสิ เชื่อพี่” ทุกครั้งนี่คือคำปลอบของช้องม่วง ตอบพร้อมเดินมาแตะที่มือของน้องสาวเบาและเอื้อมกุมเอาไว้ “เราพี่น้องจะช่วยกัน พี่จะไม่ทิ้งทิชา” พอจะรู้ว่ามีปัญหาปกติมีปัญหาใดๆ ทิชามักจะเก็บงำเอาไว้คิดคนเดียวแบ่งปันบางส่วนให้พี่สาวรับรู้เช่นกัน แต่แค่เล็กน้อย หล่อนยอมแบกปัญหาที่หนักหน่วงเอาไว้คนเดียว ช้องม่วงเข้าใจความรั้นของน้องสาว “อย่าหาทางออกด้วยวิธีผิดๆนะ”ทำได้แค่เตือน “แต่หนูท้อง” “เอาเด็กไว้” คำพูดของพี่สาวเป็นความรู้สึกที่กล้ำกลืนขมขื่น ช้องม่วงรู้ “เด็กที่อยากเกิดมา ไม่มีความผิด ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยซ้ำ” “มันรู้แล้วหรือยัง” หล่อนไม่พูดดีกับผู้ชายคนนั้นหรอก เคยเห็นหน้าสามครั้ง รู้สึกไม่ถูกชะตา ไม่ชอบหน้า ไม่มีคำตอบจากปากน้องสาว เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น “พี่เข้าใจแล้วล่ะ มันปฏิเสธ” ทิชายิ่งสะอึกสะอื้นหนักเข้าไปอีก “ทิชา ร้องไห้ ไม่เกิดประโยชน์หรอก มันผ่านไปแล้ว ไม่มีการป้องกันตัวถึงพี่อยากจะลากไอ้คนเลวๆนั่นมารับผิดชอบก็ตาม แต่มันมีจิตสำนึกไหม” หล่อนไม่อยากเรียกร้องความเป็นพ่อให้หลานในท้อง จากผู้ชายคนนี้ “มันชื่ออะไร” “กอล์ฟค่ะ” “พี่อยากรู้ชื่อจริง” “สิรามเรศ” หล่อนจดจำชื่อนี้ หมายหัวเอาไว้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม