เข็มทองโปรยปราย ราวสายฝนแหลมคมพรางพรมทั่วฟ้า
นับเป็นยอดวิขาอาวุธลับที่ชาวยุทธครั่นคร้ามไปทั่วแดนดิน ผู้ใช้ออกย่อมเป็น ' นางมารหมื่นพิษพิรุณทอง ' ฟ่านอิงอิง…
เสียดายที่คู่ต่อกรนางหาใช้ชาวยุทธสามัญ หากเป็นสองศิษย์ร่วมสำนัก ที่มีแนวทางการฝึกปรือเดียวกัน
สองดาบในมือหญิงสาวขุดแดง สะบัดปัดป้องเข็มทองได้ว่องไวในทุกกระบวนท่า เช่นเดียวกับหนึ่งกระบี่หญิงชุดขาวที่แกว่งไกวแคล่วคล่องดั่งพายุหมุนวน
ผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่า เสียเข็มไปสามสิบกว่าเล่ม ฟ่านอิงอิงจึงพลันม้วนตัวกลับถอยห่างจากศิษย์น้อง ด้วยท่าทีระวังระไว
แม้ใบหน้านางจะยิ้มแย้ม แต่ในใจลอบแตกตื่นกับพลังฝีมือของสองศิษย์น้องยิ่ง
" อาจารย์นะอาจารย์ อย่างไรก็ยังลำเอียงอยู่ดี แม้แต่เพลงดาบพรากอัคคี กับเพลงกระบี่หิมะเหินยังถ่ายทอดให้พวกเจ้า ส่วนข้าแม้แต่เคล็ดวิชายังไม่เคยได้เหลือบมอง "
นางกล่าวตัดพ้อ หากแววตาสอดส่องหาทางเร้นกายให้พ้นภัย
" ศิษย์พี่ใหญ่ใยท่านเอาแต่กล่าวโทษอาจารย์ เหตุใดท่านไม่มองตัวเองบ้าง ท่านทั้งโหดเหี้ยมอำมหิต คิดคตทรยศผู้มีพระคุณ…ที่อาจารย์ไม่ถ่ายทอดยอดวิชาให้ นับว่าฉลาดปราดเปรื่องแล้ว "
นางในชุดแดงกล่าววาจาเร่าร้อนดุดัน ไม่ต่างจากอาภรณ์ที่นางสวมใส่
ไม่แปลกที่เหตุใดนางจึงได้รับฉายาว่า ' เหยี่ยวเนตรคิมหันต์ ' เพราะดวงตาดุดัน จิตใจร้อนละอุดั่งฤดูร้อน นาม อึ้งเอ็งปอของนางจึงไม่ค่อยมีใครเรียกขานนัก
" ศิษย์น้องรองเจ้ายังปากกล้าไม่เปลี่ยนแปลง …มิน่าเล่าจึงไม่มีชายใดกล้ามาสู่ขอ ตบแต่งเจ้าเข้าบ้าน ฮ่า ฮ่า ฮ่า…."
อิงอิงหัวร่อเริงร่าคล้ายสาแก่ใจกับการได้เย้ยหยันผู้คน
" ท่าน!..ท่าน!...ข้าเป็นสาวทึนทึกยังดีกว่าหญิงร่านราคะ ที่ใช้ชีวิตผู้ชายเพื่อฝึกวิชามาร "
คำพูดของเหยี่ยวเนตรคิมหันต์ทำเอาเกาฉีเยี่ยนสะดุ้งตัวโยน …นี่มันรอดตายมาได้หวุดหวิด เกือบได้ลงนรกไปขณะเห็นสวรรค์รำไรเสียแล้ว…
" ศิษย์พี่ใหญ่ วิชา 'สูบกลืนสุริยัน ' มีเภทภัยมากกว่าคุณวิเศษนัก ทางที่ดีท่านอย่าได้ฝึกปรือต่อไปเลย หากรีบตามพวกเรากลับสำนัก อาจารย์ย่อมมีหนทางรักษาท่านอยู่ "...
ทั้งน้ำเสียงและท่าทีหญิงสาวช่างหมดจรดงดงาม จนเกาฉีเยี่ยนเคลิบเคลิ้มตาม หากเป็นยามปกติมันคงพากายเข้าไปแทะโรมนางสักหลายคำ แต่ในเวลาเช่นนี้ มันได้แต่นั่งคดตัวกุมของลับไม่ให้มันห้อยต่องแต่ง …อยากแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดไป…
" ศิษย์น้องหงษ์น้อย เจ้าช่างอ่อนโยนนัก ไม่ประสีประสาต่อโลกปานนี้ เหตุใดอาจารย์ถึงปล่อยเจ้ามาท่องยุทธภพได้ หรือคิดใช้ความไร้เดียงสาของเจ้าหลอกล่อผู้ชายกลับสำนัก ไปบำเรอกามให้อาจารย์สักหลายคน คิก คิก คิก! "
…" นางมารนี่ช่างพูดยั่วเย้าคนนัก หากอยู่บนเตียงเดียวกัน ข้าจะทำให้นางครวญครางขอชีวิตเชียว! "....เกาฉีเยี่ยนครุ่นคิดในใจ เมื่อรู้สึกว่าอิงอิงจะมีวาจาล่วงเกินไปไกล
ความระคายเคืองของชายหนุ่มยังเทียบไม่ได้กับสาวชุดแดง ที่บัดนี้มีใบหน้าแดงกร่ำด้วยโทสะ ดวงตานางจ้องเขม็ง ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
" น้องหงษ์น้อย ไม่ต้องเจรจากับนางแพศยาให้ป่วยการเลย ลงมือเถิด! "...
วาจาไม่ทันจาง สองดาบในมือนางพลันสะบัดรุกโรมรัน
" เดี๋ยวก่อน ศิษย์พี่! "
คำกล่าวหญิงชุดขาวคล้ายจะละลายไปตามลม สองสาวหาได้สนใจนางไม่ ทั้งคู่ปลดปล่อยกระบวนท่าจู่โจมกันดั่งพายุคลั่งฝนฟ้าาคะนอง
ดาบคู่ว่าดุดันยังเทียบไม่ได้กับผ้าบางเบาในมืออิงอิง วิชานางเลิศล้ำแปลกประหลาด จนผ้าบางเบากลับกลายเป็นอาวุธยาวคมกล้าก็ไม่ปาน
ผ่านไปยี่สิบกระบวนท่า อิงอิงเริ่มได้เปรียบรุกไล่ กระทั้งน้องคนเล็กของพวกนางไม่สามารถอดรนทนดูไหว ต้องยื่นกระบี่เข้าช่วยเหลืออีกแรง
เมื่อสองพลังประสาน หนึ่งแกร่งกร้าวหนึ่งพลิ้วไหว หนึ่งร้อนรุ่มหนึ่งเยียบเย็น ควบคู่กันรวบรัดไว้ทุกกระบวนเพลง จนเป็นฝ่ายมีเปรียบขึ้นมาในพริบตา…
ทำเอามารหมื่นพิษพิรุณทองที่เชี่ยวชาญการประลองยุทธ ยังต้องล่าถอยรนราน
ชั่วพริบตาแห่งความคับขัน นางพลันปล่อยเข็มทองพราวพราย ก่อนจะสะบัดร่างออกนอกเก๋งน้อย พลิ้วกายแตะผิวน้ำสาม-สี่ครั้ง ก่อนจะพาร่างเลือนหายไปในม่านราตรี…
" คุณชายเกา เรายังไปไม่ถึงจุดสุดยอดกันเลยนะ ไว้วันหลังค่อยมาสานสัมพันธ์ให้ลุล่วงเถิด ฮ่า ฮ่า ฮ่า.. "
เสียงนางแว่วผ่านมาในความมืด ทำเอาเกาฉีเยี่ยนหนาวยะเยือก กลืนน้ำลายด้วยอาการระคายฝืดขัด
โดยสองสาวพลันสะดุดมองมันด้วยความขยะแขย้งออกนอกหน้า….
" ชายต่ำทราม! "
หญิงชุดแดงสะบัดหน้า เบะปากกระชากเสียงชิงชัง ก่อนจะโลดแล่นตามอิงอิงในทันใด
ส่วนน้องหงษ์น้อยในชุดขาว ได้แต่ก้มหน้าเอียงอาย แล้วเผ่นโผนตามทั้งคู่ไป
ปล่อยทิ้งให้เกาฉีเยี่ยนงงงันอยู่กลางสายลมเย็นยะเยือก ชายร่างเปลือยเปล่ามีอันหนาวสะท้านขึ้นทันทีทันใด จนต้องลุกขึ้นไปหาเสื้อผ้าที่ถูกถอดเกลื่อนกลาดไว้กับพื้น
ทว่าเกาฉีเยี่ยนไม่ทันได้คว้าเสื้อผ้ามาใส่ได้ดั่งใจปราถนา ก็ต้องมีอันยืนแข็งค้างอยู่กับที่ เมื่อหนึ่งในคนรับใช้ที่นอนแน่นิ่งกับพื้น กลับลุกพรวดพราดขึ้นมาจี้สะกัดจุดมันสี่ตำแหน่งติดๆ
" เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก….ลำบากท่านแล้วคุณชายเกา "...
ผู้จี้สะกัดจุดมันหัวเราะแหบแห้ง ขณะเดินกระย่องกระแย่งไปหยิบคัมภีร์เล่มสีแดงขึ้นจากพื้น
มันเป็นชายผอมแห้งอายุราวห้าสิบกว่า ใบหน้ายาวคางยื่น ไว้หนวดยาวข้างมุมปาก ผู้คนเรียกมันว่าเฒ่าคางยื่น โดยไม่รู้แน่ชัดว่ามันชื่อแซ่ใด…
" ท่านอาจารย์ แล้วเราจะเอายังไงกับคุณชายบ้ากามคนนี้ดี! "...
มีคนใช้ผุดขึ้นจากพื้นอีกคน มันเป็นเด็กหนุ่มอายุ18-19 ร่างเล็กสันทัด ใบหน้ารูปไข่ผิวคล้ำ ดวงตาเปล่งประกายกระตือลือลนวิบวับ มันถูกเรียกว่า เฮอ เฮอ! เพราะชอบหัวร่อส่งเสียงเฮอ เฮอ.. อยู่เนื่องนิด
" ต้องเอามันไปด้วยซิ! เจ้าไม่ได้ยินรึว่ามันจดจำคัมภีร์นี่ได้ทุกกระบวนท่า เท่ากับมันเป็นคัมภีร์ที่ชีวิตใช่หรือไม่? "
" เฮอ เฮอ เฮอ…เป็นข้าต้องแบกมันไปอย่างนั้นรึ? "...
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า…ต้องแบกให้ถนุถนอมยิ่ง อย่าให้สินค้าเราบุบชำรุดได้ "
เฮอ เฮอ เฮอ !…เด็กหนุ่มได้แต่หัวเราะแห้งๆ รับคำ