ท่ามกลางเหล่าเทพที่มาชุมนุมกันมากมายในสวนไห่ถังแดนสวรรค์ เทียนตี้ประทับอยู่บนบัลลังก์หินอ่อนสีขาวนวล ขานชื่อเหล่าผู้กล้าที่หยดเลือดของตนลงในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อเข้าฝึกฝนในดินแดนเจ็ดดารา ให้เหล่าเทพเบื้องล่างเป็นพยาน
แดนเจ็ดดาราเป็นดินแดนสำหรับทดสอบเทพแดนสวรรค์ที่มีความมุ่งมั่นจะเข้าเป็นทหารเทพในกองทัพสวรรค์
การทดสอบจะดำเนินไปจนกว่าผู้เข้าร่วมการทดสอบแต่ละคนจะรอดชีวิตออกมาได้ บางคนใช้เวลาเพียงร้อยปี บางคนใช้เวลาหลายร้อยปี แต่ผู้ที่ส่งชื่อเข้าทดสอบ น้อยคนนักที่จะรอดชีวิตกลับออกมา
เทียนตี้ขานชื่อเทพผู้กล้าทั้งชายหญิงด้วยเสียงหนักแน่นก้องกังวาน กลิ่นหอมของไห่ถังแผ่กำจายไปทั่วบริเวณทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ก็ราวกับมีมนต์ขลังจนทำให้เทพเบื้องล่างต่างตั้งใจฟังด้วยใจฮึกเหิม เพราะการคัดเลือกเข้ากองทัพสวรรค์ด้วยวิธีนี้ทำให้เทพที่ไร้ชื่อเสียงแต่มีความสามารถได้มีโอกาสก้าวหน้า การทดสอบเป็นการตัดสินอันยุติธรรมโดยไม่มีฐานะหรือความลำเอียงใดๆ มาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเทพที่สูงส่งเพียงใด หากอยากเข้ากับกองทัพก็จะต้องรอดชีวิตกลับมาจากแดนเจ็ดดาราให้ได้เท่านั้น
การทดสอบภายในแดนเจ็ดดาราเปรียบเสมือนเอาตัวเองเหวี่ยงเข้าไปอยู่ในสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น ระดับความยากถึงขีดสุด ความอำมหิตที่ผู้เข้าร่วมการทดสอบได้รับนั้นถือว่าโหดหินที่สุด ไม่ว่าจะเป็นค่ายกล ปีศาจที่เจ้าเล่ห์ อสูรที่ดุร้ายที่สุด ล้วนรวมอยู่ที่นั่น ภูมิประเทศเดี๋ยวร้อนจัดเดี๋ยวหนาวจัด ความแห้งแล้งและพิษต่างๆ เป็นสิ่งที่ต้องเจอทุกวันจนชินชา ดังนั้นต่อให้เป็นเทพที่มีพลังแก่กล้าก็ยังต้องงัดเอาความสามารถทั้งหมดออกมาเพื่อที่จะผ่านการทดสอบให้ได้
เทียนตี้ขานชื่อไปตามลำดับจนมาสะดุดที่ชื่อหนึ่ง เขาไม่ได้เอ่ยออกมาทันที แต่เงยหน้าขึ้นจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์สีขาวบริสุทธิ์มองไปเบื้องล่างที่เหล่าเทพยืนอยู่คับคั่ง มองฝ่าเหล่าเทพมากมายไปหยุดอยู่ที่ร่างเยี่ยนหรง เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของนางยังคงสงบนิ่ง ดวงตาใสกระจ่างมองมาที่เขาอย่างไม่รู้เรื่องราว เขาก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนขานชื่อ ‘องค์หญิงห้า เยี่ยนหรง’
เมื่อชื่อนางถูกประกาศออกมา รอบบริเวณก็เงียบงันไปราวกับที่นั่นไม่มีใครยืนอยู่ สายตาหลายคู่หันกลับไปจับจ้องเยี่ยนหรงที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ท้ายสุดของแถว บ้างมองมาอย่างดูถูก บ้างมองมาอย่างสงสัย และบ้างมองมาด้วยแววตาไว้อาลัยแก่นางล่วงหน้า
ผู้ที่หยดเลือดลงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จะไม่อาจเปลี่ยนใจได้ หากจะเอาชีวิตรอดก็มีเพียงอย่างเดียวคือเข้าไปผ่านการทดสอบแดนเจ็ดดาราให้สำเร็จ หากคิดหลบหนี คำสาปบรรพกาลจะย้อนทำลายเทพผู้นั้นจนสิ้นทั้งดวงจิตดวงวิญญาณ เมื่อมีชื่อปรากฏแล้วก็จะไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก
ในจำนวนชื่อผู้เข้าร่วมทดสอบแดนเจ็ดดาราทั้งหมดล้วนมีแต่เทพที่มีพรสวรรค์โดดเด่น พลังสูงส่ง และไม่เคยมีใครที่อายุต่ำกว่าพันปีกล้าเข้าทดสอบในแดนเจ็ดดารามาก่อน แต่ตอนนี้เยี่ยนหรงอายุเพียงแปดร้อยกว่าปีเท่านั้น จัดเป็นเทพที่เด็กที่สุดในประวัติกาลที่มีรายชื่อเข้าร่วมการทดสอบแดนเจ็ดดาราเลยก็ว่าได้
อีกทั้งทุกคนต่างรู้ว่านางคือครึ่งปีศาจ เทียนตี้ผนึกพลังปีศาจครึ่งร่างของนางไว้ตั้งแต่พามาแดนสวรรค์เพื่อลดข้อครหา และเพื่อให้นางเป็นที่ยอมรับในแดนสวรรค์มากขึ้นอีกหน่อย ดังนั้นพลังทั่วร่างของนางจะเหลือแค่พลังเทพเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งขนาดเทพที่มีพลังเต็มเปี่ยมยังยากที่จะรอดกลับมา สำหรับนางแล้วคงต้องอาศัยปาฏิหาริย์เท่านั้นจึงจะรอดออกมาจากแดนเจ็ดดาราได้
เยี่ยนหรงได้ยินชื่อตัวเองดังก้องไปทั่วสวนไห่ถัง ในตอนแรกนางยังจับต้นชนปลายไม่ถูก คิดว่าตัวเองคงฟังผิดไป เพราะตัวนางนั้นไม่เคยหยดเลือดลงในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ คิดแต่เพียงใช้ชีวิตแบบไร้ตัวตนอยู่บนแดนสวรรค์ไปวันๆ อย่างไร้จุดหมายเท่านั้น
แต่เมื่อสายตาเทพทั้งหลายมองมาที่นาง ก็ทำให้เข้าใจขึ้นมาในทันที มีคนหวังให้นางตาย จึงทำให้ชื่อของนางไปปรากฏในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นใคร แล้วเอาเลือดนางไปหยดลงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ตั้งแต่ตอนไหน นางกลับไม่รู้เลย
นางมองขึ้นไปบนแท่นสูงที่เทียนตี้ประทับอยู่ เห็นเทียนตี้ยังคงขานรายชื่อคนต่อไปอย่างเรียบเฉย แต่เทียนโฮ่วที่ประทับนั่งอยู่ด้านหลังกลับส่งยิ้มเย้ยหยันมาให้อย่างไม่ปิดบัง
การที่นางอาศัยอยู่บนแดนสวรรค์อย่างสงบ ไม่ยุ่งกับใคร ก็เป็นการรบกวนเทียนโฮ่วด้วยหรือ
แม้รู้สึกไม่ยุติธรรม แต่เรื่องราวมาถึงขั้นนี้จะโวยวายตีโพยตีพายไปก็ไม่มีประโยชน์ มีเพียงนางต้องรอดชีวิตออกมาจากแดนเจ็ดดาราให้ได้เท่านั้น
ในวันที่ต้องจากแดนสวรรค์เพื่อออกเดินทางไปแดนเจ็ดดารา มีเพียงเฉินเซียงภูตดอกบัวที่เทียนตี้ส่งมาเป็นข้ารับใช้ของนางที่ตอนนี้ตาบวมเป่งจากการร้องไห้อย่างหนักมาส่งที่ริมผาวู่เฉ่า
เยี่ยนหรงมองไปรอบที่โล่งกว้างแห่งนี้ ท่ามกลางต้นหญ้าสีขาวที่สูงถึงเอว ทั้งปลายยอดของมันยังมีดอกหญ้าฟุ้งกระจายปกคลุมไปทั่วบริเวณ จนทำให้ราวกับยืนอยู่ในหมอกหนา ยากแยกแยะผู้คนที่อยู่ไกลๆ
แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังเห็นรางๆ ว่าผู้เข้าร่วมการทดสอบคนอื่นล้วนมีคนในครอบครัวมาส่งก่อนออกเดินทาง แต่ละคนได้รับกำลังใจ ได้รับความเชื่อมั่น ได้เห็นความอาลัยของผู้ที่มาส่งอย่างชัดเจนจนตื้นตัน หัวใจของพวกเขานั้นคงถูกเติมเต็มจนล้นปรี่ มีพลังฟันฝ่าอุปสรรคอย่างที่ใจปรารถนา
เยี่ยนหรงมองออกไปไกลยังหุบเหวด้านหน้า ที่ปกคลุมไปด้วยดอกหญ้าสีขาวจากหญ้าวู่เฉ่าราวสายหมอกจนมองไม่เห็นก้น ว่ากันว่าที่แห่งนี้สวยงามทั้งยามอาทิตย์อัสดงและยามแสงจันทร์สาดส่อง แต่หากหลงเดินตามสายหมอกไปจนตกเหว ที่ด้านล่างนั้นกลับมีหินแหลมคมเรียวเล็กราวกระบี่นับพันรออยู่ ต่อให้เป็นเทพ แต่หากร่างถูกแยกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ยากจะรักษาชีวิตไว้ได้
เมื่อถึงเวลาจะมีนกอินทรีทองขนาดใหญ่เจ็ดตัวบินมาโฉบรับเทพบนผาวู่เฉ่ามุ่งตรงสู่แดนเจ็ดดารา คำว่าโฉบรับที่ผู้คนบอกนั่นหมายถึงพวกเจ้าต้องกระโดดขึ้นไปบนหลังอินทรีทองให้ทัน หากพลาดร่วงตกลงไปในหุบเหวก็ไม่ต้องไปแดนเจ็ดดาราแล้ว
“เจ้าหยุดร้องไห้ได้แล้ว ข้ายังไม่ตายสักหน่อย” เยี่ยนหรงมองเฉินเซียงที่ร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ข้างนาง
“ข้ากลัวท่านไม่กลับมาหาข้าอีก ฮือๆ” เฉินเซียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังกว่าเดิม จนเทพคนอื่นเริ่มหันมามอง
เยี่ยนหรงสีหน้าอับจน นางถอนหายใจคราหนึ่ง “ช่วยมั่นใจในตัวองค์หญิงของเจ้าหน่อย ข้าอาจจะรอดกลับมาก็ได้”
เฉินเซียงได้ฟัง สีหน้าก็ดีขึ้นเล็กน้อย นางเอามือปาดน้ำตาบนใบหน้าพัลวัน ตั้งใจจะพูดให้กำลังใจองค์หญิงน้อยของนาง
องค์หญิงกำพร้าแม่ พ่อก็ไม่เหลียวแล ดังนั้นนางต้องเข้มแข็ง และเป็นเสมือนพี่สาวที่ดี จะอ่อนแอไม่ได้! ขณะกำลังจะกล่าวคำ เยี่ยนหรงก็พูดขึ้นมาก่อน
“แต่หากข้าไม่รอดจริงๆ ตั้งแต่เจ้ารู้ข่าวว่าข้าต้องไปแดนเจ็ดดาราจนถึงตอนนี้ก็สามวันแล้ว เวลามิใช่น้อย ควรทำใจได้ตั้งนานแล้ว อย่าได้ฟูมฟายอีก” เยี่ยนหรงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา นางถูกบีบให้ต้องเข้มแข็งตั้งแต่เล็กจนโต จึงแทบไม่เคยร้องไห้เสียใจกับเรื่องต่างๆ มากมายเช่นเฉินเซียง แต่สำหรับผู้ฟังนั้นอาจจะรู้สึกว่านางพูดจาขวานผ่าซากไปสักหน่อย
เฉินเซียงที่กำลังจะดีขึ้นกลับจ้องเยี่ยนหรงตาเขียวปั้ด “ข้ามิได้ใจหินเช่นท่าน จะได้ทำใจได้ง่ายๆ”
เหตุใดองค์หญิงของนางจึงไร้หัวจิตหัวใจเช่นนี้ หรืออาจเป็นเพราะโดดเดี่ยวมานาน อาจเป็นเพราะโลกนี้ไม่มีสิ่งได้ให้อาวรณ์จึงไม่กลัวตาย หรืออาจเป็นเพราะโดนกลั่นแกล้งมากเกินจนกลายเป็นด้านชาไปเสียแล้ว
เฉินเซียงพยายามหาเหตุผลต่างๆ แต่ยิ่งหาก็ยิ่งเวทนา จึงแหกปากร้องไห้เสียงดังอีกครั้ง “ฮือๆ ข้าน่าจะดูแลท่านให้ดีกว่านี้”
เยี่ยนหรงทำสีหน้าอับจนอีกครั้ง ได้แต่ก้มหน้าหลับตาภาวนาให้อินทรีทองโฉบมารับนางไปเสียที