เยี่ยนหรงและเชียนจือหวาแหงนหน้ามองงูป๋ายเฉอที่โผล่ขึ้นมาจากกลางบึงน้ำช้าๆ ร่างของมันใหญ่เท่ากับชายฉกรรจ์สามคนรวมกัน ส่วนความยาวนั้นไม่อาจประเมินได้ เพราะขนาดว่าร่างโผล่พ้นผืนน้ำขึ้นมาจนบดบังแสงจันทร์เกือบทั้งหมดแต่ก็ยังมีส่วนหางที่แช่อยู่ภายในบึง กลิ่นเหม็นเน่าราวซากศพนับร้อยโชยมาจากร่างขาวซีดของมัน ทำให้เชียนจือหวารู้สึกสะอิดสะเอียนจนต้องยกมือขึ้นปิดจมูก
ป๋ายเฉอที่ดวงตาแดงก่ำกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยว เสียงของมันแหลมเล็กเหมือนเสียงเหล็กกระทบกันดังก้องไปทั่วทั้งป่า จนเชียนจือหวาต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหูของตนไว้ พลันเห็นแสงสีเงินที่ข้างตัวพุ่งทะยานออกไปหางูยักษ์อย่างรวดเร็ว เมื่อเพ่งมองจึงรู้ว่าเป็นแส้ประจำกายของเยี่ยนหรง
ไม่นึกว่าศิษย์น้องผู้แสนใจเย็นของนางจะมีปฏิกิริยาที่ว่องไวขนาดนี้ จึงอดหันไปมองไม่ได้
เยี่ยนหรงเห็นเชียนจือหวามองมาก็เข้าใจ “ข้าชอบลงมือก่อนน่ะ”
แส้สีเงินทอประกายเจิดจ้าลอยฉวัดเฉวียนเข้าโจมตีป๋ายเฉอจากทางด้านหน้าบ้าง ด้านข้างบ้าง หลอกล่อ และสร้างความรำคาญให้มันจนถึงที่สุด
เยี่ยนหรงที่ยืนสงบนิ่งอยู่ห่าง เพ่งมองไปข้างหน้าอย่างใช้สมาธิ ดูเหมือนว่าเจ้างูตัวนี้จะสายตาไม่ดี มันพยายามใช้แขนปัดป่ายแส้ของนางอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่โดนสักครั้ง ดังนั้นหากเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว และเงียบเสียงมันก็จะไม่สามารถจับทางได้
หลังจากก่อกวนจนพอใจแล้ว เยี่ยนหรงจึงยื่นมือขวาออกไปตรงหน้า และกำมือเข้าหากันอย่างรวดเร็ว “มัด”
เพียงกล่าวเบาๆ แส้สีเงินก็ขยายยาวออกรัดรอบตัวป๋ายเฉอไว้อย่างรวดเร็ว และเงียบเชียบจนอสูรร้ายไม่ทันตั้งตัว มันพยายามดิ้นรนท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาจนเกิดเป็นเงาพร่างพรายบนพื้น
เมื่อเห็นเยี่ยนหรงหันมาส่งสัญญาณให้จัดการกับอสูรตนนี้ได้ เชียนจือหวาก็รับคำ นางทะยานร่างไปด้านหน้า และสะบัดแส้สีส้มร้อนแรงใส่ป๋ายเฉออย่างรวดเร็ว
เยี่ยนหรงควบคุมแส้เงินของตนพันรัดป๋ายเฉอไว้อย่างแน่นหนา แต่เหมือนว่าพละกำลังของอสูรตนนี้จะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด นางประเมินมันต่ำเกินไป…
ป๋ายเฉอใช้พละกำลังมหาศาลทลายแส้วิเศษของเยี่ยนหรงจนหลุดกระเด็น เมื่อเป็นอิสระ มันก็อ้าปากกว้างเผยให้เห็นเขี้ยวคมสีขาวน่าสยดสยอง และพุ่งเข้าใส่ร่างเชียนจือหวาที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างดุร้าย
เชียนจือหวาไม่อาจหลบหลีกขณะที่ร่างยังลอยอยู่เช่นนี้ จึงได้แต่เบิกตามองปากของอสูรยักษ์ที่ฉีกกว้างขึ้นเรื่อยๆ อย่างหวาดหวั่น แต่มือก็ยังหวดอาวุธประจำกายไปด้านหน้าอย่างดุดัน แม้ต้องตายก็จะไม่ยอมเป็นอาหารงูหรอก!
เยี่ยนหรงเห็นดังนั้นจึงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไปคว้าตัวเชียนจือหวาไว้ และพานางหลบลงบนพื้นก่อนที่ปากกว้างๆ ของป๋ายเฉอจะงับลงมาได้อย่างหวุดหวิด แส้ของเชียนจือหวาก็ฟาดถูกหน้าของมันจนเป็นแผลยาวก่อนถูกรั้งร่างลงสู่พื้นพอดี
เมื่อยืนบนพื้นอย่างมั่นคง เยี่ยนหรงก็กล่าวอย่างรวดเร็ว “หนี!”
เชียนจือหวามองศิษย์น้องที่ตนเพิ่งจะชื่นชมในความมุทะลุอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดสู้เพียงครู่เดียวก็จะหนีเสียแล้ว แต่เมื่อเห็นนางวิ่งนำไปอย่างรวดเร็วจึงได้แต่วิ่งตามไปเช่นกัน
เส้นทางในป่าแม้รกร้างอันตราย แต่วิชาตัวเบาของทั้งคู่ไม่ได้อ่อนหัด จึงสามารถกระโดดหลบเลี่ยงสิ่งกีดขวางได้อย่างไม่ยากเย็น
เมื่อเชียนจือหวาวิ่งมาทัน เยี่ยนหรงจึงไขข้อข้องใจให้ “ป๋ายเฉอเป็นอสูรธาตุน้ำ”
เชียนจือหวาเข้าใจทันที อสูรธาตุน้ำหากได้สัมผัสน้ำพลังจะยิ่งแก่กล้า ดังนั้นจึงต้องล่อมันออกห่างจากแหล่งน้ำจึงจะสามารถควบคุมได้ง่ายขึ้น
งูยักษ์พละกำลังมากจนสามารถทำลายสิ่งกีดขวางรอบตัวได้อย่างราบคาบ และเลื้อยตามมาอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่ได้ยินเสียงต้นไม้ในป่าหักโค่นไล่หลังมาเรื่อยๆ จนมาถึงบริเวณหนึ่งที่ทั้งสองได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องแหลมเล็กอย่างโกรธเกรี้ยวของมัน จึงได้หยุดการเคลื่อนไหว และหันกลับมามอง
ป๋ายเฉอที่ไม่สามารถเลื้อยตามมาเขมือบพวกนางได้กำลังกรีดร้องดิ้นพล่านกับพื้น อสูรตนนี้ไม่อาจออกห่างแหล่งน้ำได้จริงดังคาด อย่างไรที่หางก็ยังต้องสัมผัสน้ำ มิเช่นนั้นพลังจะลดน้อยถอยลง หากในตอนนั้นพรานป่าสือวิ่งไม่พ้นขอบเขตที่มันสามารถเลื้อยตามมาได้ ป่านนี้คงมิได้มีชีวิตกลับมาเล่าเรื่องราวแล้ว
อสูรงูตนนี้สายตาไม่ดี เยี่ยนหรงจึงเข้าโจมตีอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้ตั้งตัว แส้ในมือฟาดไปมาไม่เปิดโอกาสให้ตอบโต้
เชี่ยนจือหวาเข้าใจการกระทำของนางจึงโจมตียั่วยุอีกแรง แส้สีเงินและสีส้มสอดประสานกันอย่างรู้ใจ ทั้งคู่โจมตีพลางถอยพลางล่อให้งูป๋ายเฉอลืมตัวจนเลื้อยออกจากบึงน้ำทั้งตัว
การโจมตีไม่กี่ครั้งกลับทำให้อสูรขี้โมโหตนนี้บ้าเลือดจนเลื้อยออกจากบึงไล่เข่นฆ่าเยี่ยนหรงและเชียนจือหวาได้จริงๆ
เยี่ยนหรงเห็นสบโอกาสจึงบังคับแส้ขยายยาวมัดร่างป๋ายเฉอเอาไว้อย่างมั่นคงอีกครั้ง แส้สีเงินสะท้อนแสงจันทร์เย็นเยียบทอประกายน่ากลัวรัดแน่นขึ้นอย่างไร้ความปรานี เสียงของอสูรกรีดร้องดังก้องไปทั่วทั้งป่า จนปักษารอบบริเวณพากันบินหนีขึ้นฟ้าอย่างพร้อมเพรียง
เชียนจือหวาเหินร่างเขาใกล้อสูร และสะบัดแส้รัดร่างของมันไว้เช่นกัน ถึงจะขัดใจที่ต้องสวดส่งวิญญาณอย่างกับหลวงจีนในวัด แต่เมื่ออาจารย์ของนางมีแนวทางการกำราบอสูรเช่นนี้นางก็ต้องเคารพ
นางหยิบยันต์สีแดงเลือดออกมาจากกระเป๋าใบน้อยที่เอว กำลังจะส่งยันต์ปลดปล่อยลอยไปแปะที่หน้าผากอสูรงูยักษ์ พลันเสียงฟ้าผ่าดัง เปรี้ยง! กึกก้องไปทั่วทั้งป่า สายฝนกลับโปรยปรายลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ดูเหมือนว่าวันนี้พวกนางก้าวเท้าผิดออกจากเรือน อีกนิดเดียวภารกิจก็จะสำเร็จ แต่ฝนดันมาตกเอาตอนนี้เสียได้!
เยี่ยนหรงคิ้วขมวดเข้าหากัน อสูรตรงหน้าได้สัมผัสน้ำฝนทั่วร่างก็กลับมีพละกำลังมหาศาลขึ้นมาจนแส้วิเศษของนางแทบจะต้านไม่ไหวแล้ว ไม่นานแส้สีส้มและสีเงินก็ถูกกระแทกจนหลุดกระเด็นออกมาอย่างรุนแรง
แรงกระแทกมหาศาลทำให้ร่างเยี่ยนหรงและเชียนจือหวากระเด็นไถลไปกับพื้นหลายจั้ง เศษดินโคลนติดตามร่างจนสภาพไม่น่าดูนัก
เยี่ยนหรงปฏิกิริยาว่องไว เมื่อทรงตัวได้ก็สั่งการเชียนจือหวาให้โจมตีหลอกล่อด้วยความเงียบ และรวดเร็วอย่างที่เคยทำ เบี่ยงเบนความสนใจเอาไว้จนกว่านางจะหาจุดตายของอสูรตนนี้พบ อสูรแต่ละตนจะมีจุดตายซ่อนอยู่ หากโจมตีตรงจุด ก็จะทำให้อสูรบาดเจ็บสาหัสได้
เชียนจือหวาไม่มีเวลาไถ่ถามรายละเอียด นางทำตามที่เยี่ยนหรงบอกทันที
เมื่อเห็นเยี่ยนหรงเคลื่อนที่ไปทางส่วนหางของอสูรอย่างมั่นใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดศิษย์น้องยามคับขันกลับสามารถสั่งการได้อย่างเข้มแข็งเฉียบขาดราวกับเป็นคนละคนกับที่นางรู้จัก อีกทั้งยังดูเชี่ยวชาญเรื่องอสูรราวกับต่อสู้กับพวกมันมาแรมปีเช่นนี้ แต่ความสงสัยก็ต้องจบลงเมื่อนางต้องตั้งสมาธิรับมือกับอสูรที่ได้รับน้ำฝนจนดุร้ายขึ้นหลายเท่าตัวตรงหน้า
จะพลาดเป็นอาหารงูไม่ได้!
เยี่ยนหรงเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วมาจนถึงส่วนหางของป๋ายเฉอ จากนั้นจึงฟาดแส้ลงไปอย่างแรงเพื่อหักกระดูกของมันออกเป็นท่อนๆ
แต่แส้ที่ฟาดใส่เกล็ดสีขาวบนหลังงูอย่างไม่ออมมือกลับถูกแรงสะท้อนจนกระเด็นออกไปไกล เยี่ยนหรงเองก็เซถอยหลังไปหลายก้าวเช่นกัน ไม่นึกว่าพลังของนางจะอ่อนด้อยถึงเพียงนี้ แค่อสูรปลายแถวก็ยังเอาชนะไม่ได้
ป๋ายเฉอรู้สึกถึงการโจมตีที่ด้านหลังจึงสะบัดหางพาดใส่ศัตรูตามสัญชาตญาณ ท่ามกลางสายฝนเทกระหน่ำ เยี่ยนหรงกระโดดหลบหางงูที่ฟาดลงมาอย่างรวดเร็ว ระหว่างหลบซ้ายหลบขวาสุดท้ายนางก็คิดออก สัตว์อสูรจำพวกมีเกล็ดจุดสังเกตจะอยู่ที่เกล็ดเป็นส่วนใหญ่
เกล็ดที่ลำตัวของมันจะต้องมีอยู่เกล็ดหนึ่งที่ผิดแผกจากส่วนอื่นแน่
เชียนจือหวาบุกโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ป๋ายเฉอง่วนอยู่กับการรับมือกับนางจนไม่ได้สนใจเยี่ยนหรงมากนัก นางจึงมีเวลาสังเกตหางของงูเผือกได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น
ภายใต้แสงจันทร์สลัว สายฝนแทบจะบดบังการมองเห็นไปจนสิ้น เยี่ยนหรงพยายามสังเกตหางที่ยาวเหยียดนั้นอย่างยากลำบาก สุดท้ายจึงเลือกจะเหินร่างขึ้นไปเหยียบบนตัวป๋ายเฉอเพื่อตามหาจุดตายเสียเลย
งูยักษ์ตกใจจึงสะบัดหางขึ้นจากพื้น และพยายามม้วนหางเข้าหากันเพื่อปกปิดตำแหน่งใต้ท้อง นั่นจึงทำให้เยี่ยนหรงรู้ได้ทันทีว่าอสูรตนนี้กำลังปกป้องจุดตายของตน
นางกระโดดเหินร่างไปมา ใช้แส้ฟาดฟันไปตรงหน้า สุดท้ายจึงเห็นจุดสีแดงที่ท้องของมัน
เร็วเท่าความคิด เยี่ยนหรงสั่งการแส้สีเงินที่เคยพลิ้วไหวไปกับลมราวเส้นเชือกให้แปรสภาพเป็นเส้นตรงแข็งแกร่งราวหอกสีเงินเล่มหนึ่ง พุ่งตรงไปที่จุดสีแดงใต้ท้องป๋ายเฉออย่างแม่นยำ
เสียงกรีดร้องแหลมเล็กดังก้องไปทั้งป่า ดังจนแม้ฝนจะเทลงมาราวกับฟ้ารั่ว แต่คนที่อยู่ชายป่าก็ยังสามารถได้ยินเสียงกรีดร้องนี้จนพากันขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เชียนจือหวาเห็นป๋ายเฉอเคลื่อนไหวช้าลงจึงฉวยโอกาสร่ายคาถาให้แส้ของตนยาวขึ้น และเหวี่ยงไปรัดรอบตัวของอสูรไว้ มืออีกข้างก็คีบยันต์ปลดปล่อยมั่น ใช้พลังส่งยันต์สีแดงสดไปผนึกที่หน้าผากของป๋ายเฉอ
เมื่อยันต์ปลดปล่อยปิดลงบนหน้าผากของงูยักษ์ มันก็หยุดดิ้นรนโดยทันที ดวงตาดุร้ายค่อยๆ ปิดลงราวหลับใหล
เชียนจือหวาเพ่งสมาธิท่องคาถาส่งวิญญาณ ไม่นานร่างของป๋ายเฉอก็สลายราวกับขี้เถ้าปลิวหายไปในอากาศ
เยี่ยนหรงยืนมองร่างป๋ายเฉอตรงหน้าสลายหายไปท่ามกลางสายฝนกระหน่ำก็ถอนหายใจคราหนึ่ง นานแล้วที่ไม่ได้สู้กับอสูรจนมีสภาพเช่นนี้ ทำให้นึกย้อนไปถึงตอนนั้น ตอนที่นางถูกส่งชื่อเข้าดินแดนเจ็ดดาราโดยที่แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่เข้าใจว่าชื่อตนไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร…