ผู้ชายสามคนในสนามผู้ถือไม้ประตัก[1]ทั้งยาวและสั้นไว้ในมือทำการกระตุ้นวัวของตนที่เริ่มราฝีเท้าด้วยการกระทุ้งและวิ่งไล่ตามอย่างว่องไว ทุกคราวที่ปลายแหลมของไม้นั้นกระทบส่วนท้ายของร่างกาย บรรดาวัวเคราะห์ร้ายก็จะมีอาการสะดุ้งและพุ่งตัวเพิ่มความเร็วเพื่อหนีความเจ็บ มันไม่มีโอกาสอ้าปากร้องหรือเหลียวซ้ายหันขวา ไม่มีสิทธิประท้วง และไม่สามารถหยุด เพราะหากมันไม่วิ่งต่อ มันก็จะถูกวัวที่อยู่ในพวงลากไป
เวลาผ่านไปยี่สิบนาที
วัวสิบเก้าตัวที่ถูกผูกร้อยอยู่ในราวเดียวกันยังวิ่งวนรอบเสาอยู่อย่างนั้นจนเหงื่อไหลโซมกาย มันกระโจนเร่งฝีเท้าทุกครั้งที่ถูกส่วนแหลมของประตักในมือชายสามคนทิ่มแทง เมื่อพวกมันวิ่งผ่านมา ผู้ชมที่อยู่ริมสนามต่างวิ่งฮือเอาน้ำในขวดสะบัดใส่รวมทั้งใช้ไม้รวกในมือของตนไล่ฟาดเพื่อเร่งให้วัวในสนามถีบเท้าหนี
“รอบที่สี่สิบเอ็ด” เสียงลุงอำนวยประกาศ
เมื่อถึงตอนนี้นุ้ยลดกล้องจากมือลงและยืนทำตาปริบๆ ขณะที่แต้วยกมือสองข้างประคองหน้าของตนเองโดยไม่รู้ตัว ภูษิตเองก็เงียบไปเมื่อได้ยินเสียงประกาศของลุงอำนวยเป็นระยะ
“รอบที่สี่สิบสาม... ... รอบที่สี่สิบสี่... ... รอบที่สี่สิบห้า... ... รอบที่สี่สิบหก... ... รอบที่สี่สิบเจ็ด... ... รอบที่สี่สิบแปด... รอบที่สี่สิบเก้า... .... .... ... ... ... ... ...”
ผู้คนรอบๆ ลานส่งเสียนตะโกนเชียร์อย่างสนุกสนานถูกอกถูกใจ
“โฮ้ย มันตั้งแต่เปิดแรกเลยเว้ย”
เสียงหนึ่งตะโกน “ให้มันได้อย่างนี้สิ คราวนี้กูจะมีเงินใช้เสียที อั้นมานาน...”
เสียงฝีเท้าวัวสลับกับเสียบหอบหายใจฟืดฟาดดังผสมกับเสียงโห่ เสียงตะโกนเร่งเร้า เสียงตวาดวัว และเสียงของกรรมการที่เริ่มพูดน้อยลง ได้แต่ประกาศนับรอบ
“รอบที่หกสิบหก... ... รอบที่หกสิบเจ็ด... ... รอบที่หกสิบแปด... ....”
พอถึงรอบที่เจ็ดสิบ ลุงอำนวยซึ่งมองสังเกตการวิ่งของวัวทุกตัวก็เอ่ยขึ้นว่า “ใกล้จะนอนแล้ว วัวรองดอนผักหวาน จะเอายังไง...”
ผู้คนกลุ่มหนึ่งเชียร์ให้วัววิ่งต่อ ขณะที่หลายเสียงตะโกนบอกเจ้าของค่ายให้ยอม ไม่เช่นนั้นจะเสียวัวไป มีเสียงพูดกันเอะอะข้างภูษิตว่าเจ้าของวัวรองเขาวางเดิมพันไว้หลายหมื่น เขาคงไม่ยอมแพ้
เมื่อวัวทั้งพวงที่วิ่งเซซังเหมือนพายุที่อ่อนกำลังเวียนมาอีกรอบ ชายหนุ่มกางเกงแดงที่ถือประตักยาวก็พุ่งปลายแหลมเข้าใส่บริเวณทวารหนักของวัวรองอย่างแรง วัวที่น่าเวทนากระโจนสุดชีวิตแล้วมันก็คว่ำลง จากนั้นมันก็ถูกวัวนอกและวัวคานลากถลากไถลไป
“นอนแล้ว นอนจนได้ พอแล้ว...”
ลุงอำนวยประกาศผลแพ้ชนะแล้วหยุดถอนหายใจ เขาก้มลงมองภูษิตที่ลุกขึ้นยืนเพื่อจะมองให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับวัวตัวนั้น
“เป็นไง คุณ ดูไหวไหม นี่แหละชีวิตวัวลาน”
“มันจะตายไหมครับ” ภูษิตถาม ขณะที่นุ้ยน้ำตาเอ่อ
“เดี๋ยวต้องดูก่อน บางทีมันน็อกไปเฉยๆ แล้วก็ฟื้น แต่ไอ้ตัวนี้เจ้าของน่าจะยอมแพ้ตั้งแต่รอบที่ห้าสิบกว่าแล้ว เพราะมันไม่ไหวตั้งแต่ตอนนั้น
“แล้วทำไมลุงไม่บอกยุติการเล่นล่ะคะ”
แต้วถามอย่างมีอารมณ์ขณะชะเง้อดูวัวตัวที่ล้ม ซึ่งไม่มีใครมองเห็นเพราะมีผู้คนมากมายรุมล้อม ส่วนวัวตัวอื่นในราวมีเจ้าของปลดออกไปพัก แต่บางตัวยังยืนเหงื่อโซมคาพวงเพื่อรอวิ่งเปิดต่อไป
“วัวลานนี่ไม่เหมือนชกมวยนะหนู กรรมการไม่มีสิทธิยุติการเล่นแม้ว่าจะเห็นวัวเหนื่อยเจียนตาย เพราะเขาเอาแพ้เอาชนะกันเด็ดขาด”
ผู้คนเริ่มเดินออกมาจากสนาม ร่างของวัวด่างตัวนั้นนอนนิ่งสงบ มีเพียงเจ้าของและเด็กวัยรุ่นกางเกงแดงผู้ถือประตักยาวยืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ๆ เสียงคนตะโกนบอกมาทางกรรมการว่า “เรียบร้อย!”
ลุงอำนวยเม้มปากนิดหนึ่งและสั่นศีรษะ เขากะพริบตาปริบ จากนั้นก็คว้าไมโครโฟนขึ้นมาประกาศเสียงเรียบว่าเปิดต่อไปกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกสิบนาทีข้างหน้า ให้เจ้าของวัวเตรียมนำวัวมาผูกตามตำแหน่งที่จับฉลากไว้ แล้วเสียงฝีเท้าคนวิ่งพล่านไปมาก็ดังอยู่รอบข้าง
หลังจากร่างของเจ้าวัวด่างถูกลากออกไปจากลานจนพ้นสายตา บรรยากาศก็กลับมาคึกคักเช่นเดิม
ภูษิตพานุ้ยกับแต้วที่ร้องไห้น้ำตาอาบแก้มออกมาจากสนามหลังจากไหว้ลาลุงอำนวยและจ่าแสงที่เริ่มทำหน้าที่ของตนต่อไป
ทั้งสามพากันเดินกลับไปที่รถโดยไม่ได้ร่ำลาผู้ใหญ่สมจิต เพราะเขากำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมวัวซึ่งกำลังจะถูกนำไปลงลานแข่ง
เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ภูษิตก็ยกนิ้วมือขึ้นนวดวนบนหน้าผากที่เริ่มขมวดเป็นริ้วรอยย่น เขาเลื่อนสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ออกไปยังนอกหน้าต่างที่มองเห็นตึกสูง เขามีคำถามที่ค้างคาใจ...พวกเขาเรียกมันว่าเป็นกีฬาได้อย่างไรในเมื่อสัตว์ที่ถูกนำผูกร้อยเข้าด้วยกันเป็นพวงถึงสิบเก้าตัวไม่ได้เต็มใจที่จะวิ่งแข่ง เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องมีคนเอาไม้ไปไล่กระทุ้ง
“แต่กูก็ไม่ใช่วัว กูจะไปคิดแทนมันได้อย่างไร มันอาจจะชอบให้คนเอาปลายตะปูไปทิ่มไข่มันก็ได้” ภูษิตคิดและน้ำตาคลอ
เขากำลังนึกภาพวัวด่างที่เริ่มราฝีเท้าเมื่อวิ่งไปถึงรอบที่ห้าสิบกว่า แต่เด็กหนุ่มกางเกงแดงก็ใช้ประตักยาวฟาดเปรี้ยงเต็มแรงทุกครั้งที่มันวิ่งโผเผอ่อนแรง ปลายแหลมของไม้นั้นกระแทกกับส่วนต่างๆ ของร่างกายด้านท้ายจนมันสะดุ้งโผนพุ่งไปข้างหน้า จมูกและปากของมันชุ่มไปด้วยน้ำมูกน้ำลาย จนใกล้เจ็ดสิบรอบมันก็ยุติการวิ่ง “ไอ้เจ้าวัวตัวนั้นอาจตัดสินใจจบชีวิตมันเองก็ได้ ถ้าเป็นกูก็คงทำแบบเดียวกัน” เขาคิดอย่างขื่นใจ
ภูษิตสะบัดศีรษะไล่ภาพนั้นออกไปและนั่งตัดต่องานที่ค้างคาอยู่จนเสร็จ ซึ่งขณะที่เขาใช้สมาธิอยู่กับภาพแม่น้ำโขงอันกว้างใหญ่ ชายผมขาวที่ปลูกผักบนหาดริมตลิ่ง ธรรมชาติอันงดงามของภาพที่เห็นทำให้เขาใจเย็นลง เขาหวนนึกถึงเอกพลที่ย้ายไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวที่หมู่บ้านชนบทและต้องพึ่งพาความสัมพันธ์กับศูนย์อำนาจท้องถิ่นอย่างผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาได้บางเรื่องหากเอกพลต้องการความช่วยเหลือ เขาไม่ควรละเลยคำขอของผู้ใหญ่สมจิต เพราะมันจะช่วยให้การเป็นอยู่ของเอกพลราบรื่นขึ้น และเขาเองก็คิดว่าตนเองต้องรับผิดชอบด้วยส่วนหนึ่งเพราะเป็นผู้แนะนำให้เพื่อนรุ่นน้องผู้นี้ไปอยู่ที่โคชนะ
ภูษิตเริ่มทบทวนสิ่งที่ผ่านความคิดของเขาไปและเขาก็นึกออกว่าควรจะทำอย่างไร...
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรกลับไปหาเอกพล...ไม่มีเสียงรับสาย เขาจึงพูดฝากข้อความไว้ว่า
“เฮ้ เอก พี่ขอวานหน่อย บังคับทำนะงานนี้ ห้ามปฏิเสธ เรื่องสำคัญ เอกช่วยเก็บข้อมูลเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัวลานและวิถีชาวบ้านที่ตำบลห้วยกระทบให้พี่หน่อย ถ่ายคลิปวิดีโออัดเสียงทยอยส่งมาก่อนสิ้นเดือน แล้วค่อยปรึกษากันเป็นช่วงๆ งานนี้มีค่าจ้างนะ พี่จะทำเบิกให้ อ้อ ช่วยบอกผู้ใหญ่สมจิตด้วยว่าอีกสองเดือนพี่จะมาบันทึกเทปเตรียมทำเรื่องวัวลาน คราวนี้โคชนะได้ดังสมใจ”
เมื่อวางโทรศัพท์แล้วเขาก็ลงมือเขียนอีเมลติดต่อไปยังกลุ่มพิทักษ์สัตว์ กลุ่มรณรงค์เพื่อช่วยเหลือสัตว์ที่ถูกกระทำทารุณ กลุ่มเอ็นจีโอต่างประเทศ และสื่อมวลชน
Footnote
[1] ประตัก คนท้องถิ่นออกเสียงว่า “กะตัก” คือไม้ท่อนกลมยาวและสั้น ส่วนใหญ่ใช้ไม้รวกที่ฝังเหล็กแหลมไว้ตรงปลายเพื่อใช้แทงบังคับสัตว์พาหนะให้ทำตามคำสั่ง