วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 63
เวลา 9.30 น.
ภูษิตออกจากลิฟท์ที่ลงมาจากชั้น 21 ของคอนโดย่านรัชดาที่เขาพักอาศัยและขับรถมุ่งหน้าไปทางถนนพระราม 9
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมือแตะอยู่ที่พวงมาลัยอันเป็นนิสัยที่เขาทำโดยไม่รู้ตัวในช่วงหลัง
การทำงานที่สถานีโทรทัศน์ช่องโฟร์ตี้นิวส์เริ่มจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขาในสถานการณ์ที่ทีวีดิจิทัลขาดทุนกันแทบทุกช่อง โดยเฉพาะช่องข่าวกึ่งสารคดีที่เขาสังกัดอยู่
ขณะรถติดกลางแยกไฟแดง ภูษิตนึกถึงการประชุมสั้นเมื่อบ่ายวานนี้ที่ชาญชัย –หัวหน้าฝ่ายสารคดี ชะโงกหน้าจากห้องทำงานเล็กๆ ตะโกนบอกให้ได้ยินทุกคนว่า “ขอคุยด้วยสิบห้านาที”
เมื่อทุกคนลุกจากโต๊ะทำงานเข้าไปรวมกันในห้องเล็กนั้นแล้ว หัวหน้าฝ่ายของพวกเขาก็พูดขึ้น
“เมื่อตอนสายผมเข้าประชุมกับบอร์ด มีข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกคุณคงรู้ๆ กันอยู่แล้ว...ถูกต้อง...เรื่องการขาดทุนของบริษัทติดต่อกันมาหกปีหลังจากเปิดสายงานทีวีดิจิทัล”
ชาญชัยผงกศีรษะขณะไล่มองใบหน้าหญิงชายเพื่อนร่วมทีม เขาพูดต่อ
“เรากำลังถูกเฟซบุ๊ก ยูทูบ ทวิตเตอร์ พ็อดคาสต์ สตรีมมิ่ง ไลฟ์สด เกมออนไลน์ เน็ตฟลิกซ์ และโซเชียลมีเดียรูปแบบต่างๆแย่งคนดูไปจากเรา เดี๋ยวนี้คนทั่วไปดูโทรทัศน์น้อยลงจากเดิมครึ่งต่อครึ่งโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ และครึ่งที่เหลือที่ยังนั่งอยู่หน้าจอทีวีส่วนใหญ่ก็ดูแต่รายการบันเทิง วาไรตี้ ซึ่งช่องสารคดีข่าวอย่างเราแทบไม่มีโอกาสได้ส่วนแบ่งโฆษณามาเลย”
ชายผู้พับแขนเสื้อถึงศอกกล่าวกับผู้ร่วมงานสิบสองคนที่นั่งและยืนกระจายกันไปรอบห้อง บางคนลากเก้าอี้ของตนเข้ามาและหย่อนก้นบนพนักกับเพื่อนข้างละคนพร้อมกับถือถ้วยกาแฟไว้
“ครึ่งปีแรกนี้ผมอยากให้พวกเราใช้ความพยายามให้มากขึ้นกว่าเดิมสักหน่อย ก่อนที่ผู้บริหารจะตัดสินใจในสิ่งที่พวกเราไม่อยากให้เกิดขึ้น” เขาถอนใจ
“ผมรู้ว่าพวกคุณรักงานนี้และตั้งใจทำอย่างดี ทั้งการหาประเด็นข่าวและการทำสารคดีคุณภาพอีกทั้งมีคนกลุ่มเล็กติดตามเราอยู่พอสมควร...แต่หากเราสามารถเพิ่มยอดคนดูให้มากขึ้นอีกนิด โดยคิดค้นในสิ่งที่น่าสนใจและน่าติดตามมานำเสนอ ผมเชื่อว่าเราจะมีรายได้เพิ่มจากโฆษณา และช่องของเราจะอยู่รอดในสถานการณ์หมิ่นเหม่ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะช่วงนี้การระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ทำให้ธุรกิจหลายแห่งเริ่มได้รับผลกระทบ แต่นี่คือโอกาสของเรา ผมทำนายได้ว่าผู้คนจะเก็บตัวอยู่บ้านมากขึ้น นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องดูโทรทัศน์ เสพข่าวสารหรืออะไรก็ตามที่คนอยู่กับบ้านมักทำกัน...”
เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ ภูษิตมองรถมอเตอร์ไซค์ที่พากันออกตัวอย่างว่องไวหลังจากได้ไฟเขียว มีคันหนึ่งปัดกระจกข้างรถของเขาจนพลิกกลับ เขากดปุ่มเปิดหน้าต่างและเอื้อมมือไปดึงมันกลับเข้าที่ เขาไม่เคยโกรธผู้คนที่ประคองตัวอยู่บนพาหนะสองล้อเหล่านี้ เขาเข้าใจดีว่าการที่ต้องวิ่งรอกหารายได้เพื่อเลี้ยงตัวนั้นเป็นอย่างไร ทุกคนต้องสู้เพื่อความอยู่รอด เขามองรถแท็กซี่ที่ส่วนใหญ่ไร้ผู้โดยสาร เนื่องจากเมื่อปลายเดือนมกราคมมีข่าวออกมาว่าพบผู้ป่วยจากไวรัสโคโรน่ารายแรกในประเทศไทยมีอาชีพขับรถแท็กซี่ ทำให้ขณะนี้ผู้คนนำรถส่วนตัวออกวิ่งขับไปทำงานมากขึ้นจากความหวาดกลัวการใช้รถสาธารณะ และการโหมกระพือข่าวทางโซเชียลมีเดียก็ยิ่งสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงให้กับผู้ขับรถรับจ้าง
ภูษิตรู้สึกเห็นใจผู้คนที่กำลังอยู่ในภาวะลำบากปากกัดตีนถีบเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง เขาเองแม้จะไม่โชคร้ายเท่ากับบรรดาโชเฟอร์แท็กซี่ เพราะเขามีทำงานประจำในบริษัทที่มีชื่อเสียงพอสมควร แต่ในสายงานที่เขาสังกัดอยู่กำลังใกล้จะถูกยุบเต็มที แม้ตัวเขาเองเป็นคนหนุ่มที่มีฝีมือ มีคนรู้จักหน้าค่าตา การเปลี่ยนงานนับว่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขาก็ไม่อยากจะเปลี่ยนทีมงานที่เข้าอกเข้าใจกัน ทั้งพี่ชาญชัยหัวหน้าฝ่ายและคนอื่นๆที่ทำงานในห้องเดียวกับเขาต่างมีดีเอ็นเอเดียวกัน
ก่อนหน้านั้นหลังเรียนจบ ภูษิตและเอกพลซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องได้งานทำพร้อมกันในบริษัทมีชื่อแห่งหนึ่งที่รับตกแต่งสถานที่จัดงานอีเว้นท์ขนาดใหญ่ โดยเขาอยู่ในฝ่ายสื่อสารประชาสัมพันธ์ ส่วนเอกพลอยู่ฝ่ายขายที่ต้องออกไปพบปะลูกค้า แต่สิ่งที่ทั้งสองพบเจอนั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าผิดหวัง
ปี 2557 ภูษิตกับเอกพลตัดสินใจลาออกจากบริษัทดังกล่าวด้วยกัน เอกพลแยกตัวไปตั้งธุรกิจของตนเองโดยใช้ที่บ้านเป็นออฟฟิศ ส่วนเขาส่งใบสมัครมาที่ช่องข่าวโฟร์ตี้นิวส์ของสถานีโทรทัศน์ระบบดิจิทัลที่เพิ่งชนะการประมูลคลื่นความถี่มาได้ในราคา 1300 ล้านบาท และเขาได้งานที่ฝ่ายสารคดีในฐานะทีมงาน สามปีจากนั้นเขาได้เป็นผู้ดำเนินรายการ “สิบแปดนาทีทั่วไทยกับภูษิต” ออกอากาศหลังข่าวค่ำทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ ซึ่งเขาต้องสรรหาเรื่องราวในแง่มุมต่างๆ มานำเสนอ มันเป็นงานที่เขาได้ใช้ความรู้ความสามารถเต็มที่ เขามีความสุขกับทีมงานที่ทุกคนผ่อนหนักผ่อนเบาให้กัน โดยมีชาญชัยผู้ที่ทุกคนรักใคร่ให้ความเคารพเป็นหัวหน้าฝ่าย
แต่ช่องข่าวโฟร์ตี้นิวส์ขาดทุนอย่างหนักเช่นเดียวกับสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลช่องอื่นอีกกว่าสิบช่อง
“ปีหน้าเราคงต้องหางานใหม่” เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพูดขึ้นหลังประชุมวันวาน “เราอาจต้องไปทำอะไรแบบที่ท้าทายมากขึ้น”
“เช่นแต่งตัวซูเปอร์แมนแบกถาดขายลูกชิ้นปิ้งตามสี่แยกไฟแดง” เสียงหนึ่งพูด
“แต่งชุดแบ็ตแมนขี่มอเตอร์ไซส่งอาหารก็ไม่เลวนะ ผมลองทำมาสองครั้งแล้ว ตำรวจเปิดหวอขี่รถตามมา พอเห็นหน้าผมเขาก็โบกมือให้ไป” อีกเสียงพูดกลั้วหัวเราะ เขาเป็นผู้ดำเนินรายการ “ชีวิตติดดิน” ที่นำเสนอเรื่องราวของการทำมาหากินดิ้นรนในเมืองใหญ่อย่างเช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ นครราชสีมา และภูเก็ต โดยมีแง่มุมอารมณ์ขันของผู้ดำเนินรายการเป็นสีสันในการนำเสนอแนวคิด
“สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี่ก็เป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวดแล้ว ประคองตัวอยู่ในยุคสมัยที่ทุกคนสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้ทันทีที่เกิดเหตุ อยากรู้อะไรก็แค่ก้มดูมือถือ” อีกเสียงหนึ่งพูด
“แล้วถ้าเกิดเราต้องไปหางานใหม่จริงๆ จะเป็นยังไง” เสียงหนึ่งถาม
“ก็คงกระจายไปอยู่ช่องโน้นช่องนี้”
ภูษิตสะบัดศีรษะเหมือนต้องการสลัดสิ่งที่กำลังอยู่ในหัวให้หลุดไป เขาเร่งความเร็วรถขึ้นอีกนิดเมื่อมีระยะให้ใช้ความเร็วได้ การจราจรบนถนนรัชดาภิเษกในช่วงสายวันนี้ค่อนข้างคล่องตัว
เมื่อจอดรถที่ชั้นสองของอาคารที่ทำงานแล้ว ภูษิตเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสามที่เขาทำงานกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่ไม่ค่อยได้อยู่พร้อมหน้า เนื่องจากบางส่วนมักออกไปบันทึกเทปที่ต่างจังหวัดอยู่เสมอ เช้านี้ยังไม่มีใครมา เขาเดินไปชงกาแฟและถือมาที่มุมของตนริมหน้าต่างที่มองเห็นตึกสูงรอบข้าง เขาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าและเปิดอีเมล
ภูษิตไล่อ่านอีเมลแต่ละฉบับและตอบกลับอย่างว่องไวจนเสร็จ ขณะที่เขากำลังเริ่มเปิดหน้าจออีกเครื่องเพื่อทำการตัดต่อวิดีโอที่ไปสัมภาษณ์และถ่ายทำเรื่องราวของชายเฝ้าแม่น้ำโขงที่เชียงของ ซึ่งเขาจะต้องส่งคลิปสั้นให้ฝ่ายการตลาดนำไปพิจารณาเพื่อหาสปอนเซอร์มาลงโฆษณาในรายการที่จะออกอากาศเดือนหน้า เสียงเพลงจังหวะเนิบๆ ก็ดังขึ้นข้างตัว
ภูษิตควานมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู จากนั้นเขาก็กรอกเสียงพูดลงไปอย่างกระตือรือร้น
“เอก เฮ้ย เป็นไง ดีใจจริงๆที่โทรมา หายเงียบไปเลยตั้งแต่กลายเป็นหนุ่มลูกทุ่ง”
“ดีครับพี่ษิต กำลังทำงานอยู่หรือเปล่า ไม่มีอะไรหรอก คิดถึงก็โทรมาครับ” เอกพลพูด
“พี่ก็นึกถึงอยู่ ว่าจะโทรถามข่าวคราวแต่มันก็อย่างว่านะ ต้องรีบเร่งทำโน่นทำนี่จนลืม”
“บ้านผมซ่อมจะเสร็จแล้วนะ พี่ษิต ตกแต่งสวยเลย” เอกพลคุย
“เก่งนี่ เดือนเดียวเองมั้ง”
“เดือนกว่าครับ ผมมีผู้ช่วยคนหนึ่ง หัวดี ใช้ได้ ลุยกันตั้งแต่เช้าทุกวัน เสร็จเร็วกว่าที่คิด พี่จะมานอนเมื่อไรก็บอก ตอนนี้อยู่ได้แล้ว มีครัวไทย ครัวฝรั่ง ห้องกินข้าวครบพร้อม เครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน อ้อ ติดไวไฟแล้วด้วย พี่ษิตเอางานมานั่งทำส่งจากที่นี่ได้เลย ผมหาจักรยานมาไว้ใต้ถุนบ้านสองคันนะพี่ เผื่อมีใครมาพักด้วยจะได้พาเที่ยว เป็นของเก่า เหล็กแท้ทั้งคัน รุ่นหลังสงครามโลกมั้ง ซื้อต่อจากชาวบ้าน”
“ยังก่อน เอก พี่ยังขยับไปไหนไม่ได้ ตอนนี้มีเรื่องต้องจัดการเยอะ เมื่อวานประชุม เฮียแกว่าช่องนี้อาจไปไม่รอดก่อนกลางปี พวกพี่ก็คิดกันหนักว่าจะเอาไงต่อ เอาไว้ให้พี่โล่งๆ แล้วจะมาอยู่สักสองสามวัน” ภูษิตบอกกล่าว
“อ้อ ครับ ผมเข้าใจ”
“เอกจะอยู่ที่นั่นยาวเลยใช่ไหม”
“ก็อยูไปเรื่อยๆ ก่อนครับ ซ่อมบ้านเสร็จแล้วผมกะว่าจะเล่นกับสวนสักปี หลังจากนั้นหากเงินหมดก็คงต้องคิดอีกทีว่าจะทำยังไงต่อ แต่ไม่มีอะไรน่ากังวล” เอกพลตอบด้วยน้ำเสียงสบายใจ
“ดีๆๆ ดีใจด้วยที่อยู่แล้วสบายใจ พี่คงหักมุมชีวิตแบบเอกไม่ได้ ก็ต้องดิ้นต่อไปในรังเก่าแหละ จนกว่าฟ้าจะผ่า”
ทั้งสองคุยกันอีกครู่หนึ่ง ก่อนวางสายเอกพลพูดขึ้นมาว่า
“เอ่อ พี่ษิตครับ เมื่อวานบังเอิญเจอผู้ใหญ่สมจิตที่ร้านค้า เขาฝากข่าวให้พี่ช่วยประชาสัมพันธ์เรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“คือที่โคชนะจะจัดแข่งวัวลานนัดใหญ่กลางเดือนเมษา ช่วงสงกรานต์น่ะครับ”
“อ้าว เขาก็แข่งกันทุกสัปดาห์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
ภูษิตพอจะรู้เรื่องพวกนี้ เพราะปีที่แล้วเขามาบันทึกเทปสารคดีชุด “ของดีที่อำเภอเขาย้อย” และได้มีโอกาสไปดูการแข่งวัวลานตามคำเชิญของผู้ใหญ่สมจิต
“คราวนี้ผู้ใหญ่เขาบอกว่าทางอบต.อยากจัดให้ใหญ่ เพื่อให้คนรู้จักประเพณีการแข่งวัวลานของชาวโคชนะที่เลี้ยงวัวพันธุ์ไทยมากเป็นอันดับต้นๆของประเทศ เขาบอกว่ารายได้ทั้งหมดเขาจะมอบให้ชมรมผู้สูงอายุของตำบลห้วยกระทบไปใช้ประโยชน์ เขาอยากทำเป็นต้นแบบเพื่อให้สนามวัวลานอื่นๆได้ลองทำกิจกรรมเพื่อชุมชนบ้าง”
“พี่ขอคิดดูก่อนนะเอก”
“ไม่เป็นไรครับ คือผู้ใหญ่เขาฝากข่าวมา ผมก็บอกพี่ตามที่รับปากเขาไว้ แล้วแต่พี่ละกัน หากอยากได้ข้อมูลเพิ่มก็โทรหาผู้ใหญ่เองนะครับ”
“เอาไว้ให้พี่นั่งวางแผนงานให้ลงล็อกก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
“ครับพี่ษิต ดูแลสุขภาพนะ”
“ขอบใจมาก เอก แล้วคุยกันใหม่”
หลังจากวางสาย ภูษิตก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เขายกกาแฟจากถ้วยที่เริ่มเย็นขึ้นดื่ม ความคิดถูกรบกวนด้วยสิ่งที่เพิ่งได้ฟังจากเอกพลเมื่อครู่ในเรื่องที่ผู้ใหญ่สมจิตฝากข่าวประชาสัมพันธ์การแข่งวัวลาน
ช่วงหลังสงกรานต์ปีที่แล้วภูษิตและทีมงานได้ไปถ่ายทำสารคดีสำหรับรายการ “สิบแปดนาทีทั่วไทยกับภูษิต” ที่อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี โดยตระเวนไปบันทึกวิดีโอยังสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่โบสถ์ไม้สักทองอันงดงามตระการตาที่วัดเขาย้อย ไปดูพิธีรำถวายพ่อปู่ที่วัดศรีดอนชัยอันเป็นประเพณีของชาวบ้านท้องถิ่นดั้งเดิมที่จัดขึ้นทุกปี ไปชมพิพิธภัณฑ์ชาวไททรงดำ และไปร่วมงาน “หงำฮอดสมัย อ่อนวงศ์” ขุนพลแคนแดนสยาม ที่บ้านทับคาง เขาผู้นี้เป็นผู้นำเสียงแคนมาสู่วงการเพลงลูกทุ่งและโด่งดังก้าวไกลไปยังต่างแดนทั้งในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆในเอเชีย ซึ่งในวันนั้นทีมงานของภูษิตได้ทำความรู้จักกับนายกองค์การบริหารส่วนตำบลต่างๆของอำเภอเขาย้อยและผู้ใหญ่บ้านในเขตตำบลเหล่านั้น
ทุกคนสนุกสนานกับเพลงแคนและสาโทรสหวานฉ่ำที่เจ้าภาพนำมาแจกอย่างไม่อั้นจนถึงเวลาเย็น ขณะกำลังเตรียมตัวกลับหลังจากเก็บอุปกรณ์ทำงานเข้ารถแล้ว ผู้ใหญ่สมจิตก็เดินเข้ามาแนะนำตัวกับภูษิตและเชิญทีมงานไปชมการแข่งขันวัวลานที่หมู่บ้านโคชนะซึ่งอยู่ห่างจากบ้านทับคางประมาณยี่สิบกิโลเมตร
“เขาแข่งกันประมาณสามทุ่ม คุณภูษิตควรจะได้ไปเห็นกีฬาชนิดนี้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาวเพชรบุรี ถ้าสนใจก็เจอผมได้ในงาน ผมเอาวัวไปลงลานด้วยครับ”
ลูกทีมของเขาเห็นดีเห็นงามกับคำเชิญของผู้ใหญ่บ้านผู้มีอัธยาศัย เพราะการขับรถบนถนนพระรามสองช่วงที่กำลังทำการซ่อมอย่างยาวนานจนได้ฉายาว่าถนนเจ็ดชั่วโคตรในช่วงเวลาเย็นไม่ใช่เรื่องน่าสนุก
“เราลองไปดูเขาแข่งวัวลานกันก็ดี ถือว่าเป็นการเซอร์เวย์ไปละกัน ดึกๆ ค่อยกลับ ขับรถง่ายหน่อย เดี๋ยวไปหาอะไรกินก่อน แล้วค่อยเข้าหมู่บ้าน” ภูษิตตกลง
หลังกินอาหารค่ำในเวลาทุ่มกว่าที่ร้านโต้รุ่งหน้าตลาดแล้ว เขากับสองสาวผู้เป็นตากล้องและผู้ช่วยพร้อมคนขับรถก็เลี้ยวพาหนะของบริษัทที่มีโลโกติดข้างรถว่า “Fourty News” จากปากทางเขาย้อยเข้าสู่ถนนสายรองที่นำไปสู่หมู่บ้านโคชนะมีไฟหลอดยาวติดอยู่ปลายเสาไฟฟ้าเป็นบางจุดตามเส้นทางลาดยาง 18 กิโลเมตร ณรงค์ใช้เวลาขับรถไม่ถึงสิบห้านาทีก็เข้าเขตหมู่บ้าน เพื่อนร่วมทางของพวกเขาประกอบด้วยรถปิ๊กอัปขนาดใหญ่ มอเตอร์ไซค์ทุกรุ่น และรถกระบะกั้นคอกสเตนเลสบรรทุกวัว
พวกเขาไม่จำเป็นต้องถามใครว่าสนามวัวลานอยู่ที่ไหน แค่ขับรถตามกันไปเท่านั้น จนถึงจุดหนึ่งถนนลาดยางเปลี่ยนเป็นถนนดินขรุขระเข้าไปสู่ทุ่งนา มีต้นตาลยืนต้นทะมึนราวกับยักษ์ผมฟูเรียงราย
“ยังกะงานวัด” นุ้ย ตากล้องสาวส่งเสียงเมื่อเห็นไฟสว่างจัดจ้าอยู่เบื้องหน้าห่างไปราวครึ่งกิโลเมตร
“หรือเรามาผิดทาง เขาจัดงานออกร้านขายของกันมั้ง ณรงค์” แต้ว ผู้ช่วยร่างบึกบึนแต่เสียงหวานพูด
“ไม่ผิดครับ โน่น รถขนวัวจอดเป็นแถวเลย” โชเฟอร์หนุ่มตอบ
ภูษิตมองเห็นรถบรรทุกขนาดเล็กที่ประดับประดาด้วยผ้าหลากสีจอดอยู่ห่างๆ กัน เมื่อณรงค์ขับรถเข้าไปในลานจอดที่ค่อนข้างขรุขระร่วมกับรถปิ๊กอัปอีกนับสิบคันแล้ว ทั้งหมดก็เปิดประตูรถเตรียมลง
เสียงประกาศจากลำโพงที่ติดตั้งอยู่บนกิ่งไม้และเสาสูงดังสะท้อนไปมาจนฟังไม่รู้เรื่อง อีกทั้งสำเนียงเหน่อของชาวเขาย้อยที่ออกจะฟังยากหากไม่ได้คุยต่อหน้าทำให้ภูษิตต้องหยุดนิ่งเพื่อจับความ
“ยังไม่เริ่มหรอก คงอีกสักพักแหละ เดี๋ยวเราไปเดินหาผู้ใหญ่สมจิตกัน” ภูษิตพูด
“เอากล้องลงไปไหมคะพี่ษิต” นุ้ยถาม
“หิ้วตัวเล็กไป เผื่อจะได้ภาพแถมมาให้มันมีอะไรเคลื่อนไหวบ้าง ไฟไม่ต้อง” ภูษิตตอบ “ณรงค์อยากดูวัวลานหรือเปล่า แต่ผมเป็นห่วงรถ ของในรถเราราคาหลายแสน ถ้าหายไปได้ซื้อใช้กันหัวโต”
“ผมอยากงีบพักเอาแรงสักหน่อย พี่ษิตกับน้องไปกันเลย ผมจะนอนเฝ้ารถ” ณรงค์ตอบ ภูษิตยิ้ม ทีมงานอย่างนี้ทำให้เขามีกำลังใจ
รถกระบะกั้นคอกด้วยสเตนเลสเป็นเงางามเคลื่อนผ่านพวกเขาไป วัวพันธุ์ไทยสองตัวขนาดยังไม่โตเต็มวัยยืนอยู่ในคอกเคลื่อนที่นั้น
“มากันแล้วหรือ ตามมาเลย” ผู้ใหญ่สมจิตโผล่หน้าออกมาจากที่นั่งผู้โดยสาร เขายิ้มกว้างเห็นฟันทอง
ภูษิตและสองสาวเดินตามรถกั้นคอกของผู้ใหญ่สมจิตเข้าไปยังบริเวณสนามแข่งวัวลานที่มีขนาดกว้างเท่าสนามหน้าโรงเรียนต่างจังหวัดทั่วไป ตรงกลางปักเสาไม้สูงอย่างมั่นคง ยอดเสามีพวงมาลัยหลายสีคล้องอยู่ มีไม้ไผ่สองลำผูกประกบเพื่อแขวนราวไฟนับสิบราวโดยรอบ แต่ละราวติดหลอดไฟให้แสงสว่างเรียงลงมาเหมือนกระโจมม้าหมุนให้บรรยากาศของงานรื่นเริงเฉลิมฉลอง มีรถกระบะแบบเดียวกับของผู้ใหญ่สมจิตอีกนับสิบคันจอดริมสนามด้านหนึ่ง บุรุษหลายวัยยืนล้อมวัวที่ผูกอยู่ห่างๆกันหลายสิบตัวที่ราวพัก
ผู้คนนับร้อยต่างยืนพูดคุยและเดินไปเดินมารอบสนามแข่ง พวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าตามสบายในแบบชาวลูกทุ่ง รถเข็นขายอาหารปิ้งย่างส่งกลิ่นและควันโขมงม้วนอ้อยอิ่งในแสงไฟ
“ทางนี้ เดี๋ยวผมจะแนะนำพวกคุณให้รู้จักนายสนามและกรรมการ”
ผู้ใหญ่สมจิตตะโกนขณะเดินไปเปิดคอกท้ายรถ ชายหนุ่มร่างใหญ่วัยประมาณยี่สิบห้าปีเปิดประตูด้านคนขับลงมา
“ลูกชายผม ชื่อจริงชื่อยอด ชื่อเล่นชื่อไอ้ยอด ฉายาสิงห์วัวขวิด โตมากับสนามนี้แหละ”
ผู้ใหญ่สมจิตพูดและมองลูกชายอย่างรักใคร่ ชายหนุ่มเดินไปหยิบไม้กระดานที่เหน็บไว้ข้างตัวถังรถลงมาพาดท้ายกระบะอย่างมั่นคงก่อนจูงวัวลง
“สองตัวนี่ของผู้ใหญ่หรือครับ” ภูษิตถาม ขณะที่นุ้ยเดินเข้าไปลูบหัววัวไทยรุ่นกระทงที่มีเขาอ่อนเป็นตุ่มก่อนจะถอยออกมาเมื่อวัวหนุ่มตัวนั้นสะบัดใส่และวิ่งกระโจนออกไป ลูกชายผู้ใหญ่สมจิตพุ่งเข้าไปดึงวัวตัวนั้นไว้อย่างว่องไว
“สองตัวนี้ก็ใช่ ไอ้สี่ตัวที่ผูกไว้ตรงโน้นก็ใช่ ผมให้เจ้ายอดเอาใส่รถมาผูกรอไว้ตั้งแต่เย็นแล้ว เป็นวัวคาน ไอ้สองตัวนี้วัวนอก” ผู้ใหญ่สมจิตตอบ
“วัวคานกับวัวนอกนี่ยังไงคะ” นุ้ยเอ่ยปากถามหลังจากหายตกใจ
“อ๋อ ก็วัวที่ผูกเป็นพวงเรียงกันอยู่วงในเขาเรียกวัวคาน ตัวริมที่อยู่ปลายเชือกเขาเรียกวัวนอก” ผู้ใหญ่อธิบาย “วัวคานนี่มีสิบเจ็ดตัว ไอ้ตัวที่สิบแปดกับตัวที่สิบเก้าริมสุดน่ะคู่ชกตัวจริง เดี๋ยวลองดูเปิดแรกแล้วจะเข้าใจ”
เขาพูดพลางเหลียวไปทางสนามที่คึกคักไปด้วยคนหนุ่มและวัยรุ่นที่กำลังจูงวัวเข้าไปในลาน
“นั่นหนะ เขาจะผูกวัวจากเสาเกียดให้เรียงติดๆกันไปเป็นหน้ากระดาน วัวคานสิบเจ็ดตัวนี่มาจากหลายค่ายหลายเจ้าของ มันทำหน้าที่วิ่งกันไม่ให้วัวตัวริมนอกเข้ามาวิ่งวงใน ตัวที่แข่งกันจริงคือตัวที่อยู่ริมสุดสองตัว ตัวที่สิบแปดเรียกวัวรอง ตัวนอกสุดคือตัวที่สิบเก้านั่นเรียกวัวนอก ไอ้สองตัวนี้ใครวิ่งนำก็ชนะไป จริงๆ มันไม่ใช่แค่วิ่งนำหรอกคุณ ไอ้ตัวที่วิ่งไม่ไหวมันจะถูกลากไปเพราะเชือกมันรั้งกัน เจ้าของเขาก็ต้องวิ่งตามไปตะครุบก่อนที่เชือกจะรัดคอตาย แต่ส่วนใหญ่ก็จะถูกลากไปเกือบครึ่งรอบกว่าจะหยุดวิ่งกันได้ กำลังวัวตั้งเกือบยี่สิบตัวน่ะ ลองคิดดู”
มีเสียงกรรมการประกาศออกลำโพงว่าใกล้จะได้เวลาเปิดแรกแล้ว ซึ่งภาษาของชาววัวลานคำว่า “เปิด” หมายถึงรอบการแข่งแต่ละครั้ง ในขณะที่รอบของวัวที่วิ่งวนรอบเสาเกียดใช้คำว่า “รอบ” ตามปกติ
ภายใต้กระโจมไฟราวที่สาดแสงแยงตาและริ้วธง ภูษิตดูนาฬิกา เกือบสามทุ่ม เขาได้กลิ่นหลายอย่างอวลมาเข้าจมูก ทั้งกลิ่นฝุ่น กลิ่นขี้วัว กลิ่นอาหารในรถเข็นที่ส่งควันโฉ่ และกลิ่นของผู้ที่อยู่รอบตัวเขา ซึ่งทั้งหมดเป็นกลิ่นที่แตกต่างจากกลิ่นเมืองที่เขาคุ้นเคย
“เชิญทางนี้คุณภูษิต ไปนั่งใกล้ๆกรรมการ จะได้เห็นชัดๆ”
ผู้ใหญ่สมจิตตะโกนเรียกหลังจากเดินไปตรงโน้นตรงนี้สองสามเที่ยวท่ามกลางเสียงพูดคุย โห่ฮา เสียงวัวร้อง เสียงเพลงที่เปิดกระตุ้นเร่งเร้าอยู่เป็นจังหวะ และเสียงจากกรรมการที่ประกาศให้คู่แข่งขันเตรียมวัวให้พร้อม
ภูษิต นุ้ยและแต้วเดินไปตามพื้นนาที่ปรับเรียบจนถึงบริเวณที่ผู้ใหญ่สมจิตกำลังยืดคอพูดกับชายวัยกลางคนหนึ่งคนและชายสูงอายุสองคนผู้มีผ้าขาวม้าเคียนอยู่ที่เอว ทั้งสามยืนเกาะราวอยู่บนยอดของโครงสร้างเหล็กที่ตั้งสูงจากพื้นเกือบเท่าตัวของคนที่ยืนเบื้องล่าง
“นี่เสี่ยโอ๊ต นายสนามโคชนะ ที่ดินแถวนี้ของเขาหมดติดท้ายวัดโน่นเลย”
ภูษิตมองไปตามที่มือผู้ใหญ่ชี้ เขามองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงไฟสว่างจ้าในบริเวณโดยรอบ แต่ก็นึกสงสัยว่าพระเณรจะท่องบ่นฝึกสิกขากันอย่างไรเมื่อมีสนามวัวลานตั้งอยู่ติดกับเขตวัดอย่างนี้
“สองคนนี่ จ่าแสงกับลุงนวย กรรมการ”
ผู้ที่ได้รับการแนะนำตัวทั้งสามก้มลงมารับไหว้นุ้ย แต้ว และภูษิต พร้อมกับทักทายสอบถาม ลุงอำนวยพูดติดตลกว่า
“ผมนี่ต้องมาทุกนัด ถ้าไม่มาเขาแข่งกันไม่ได้หรอกนะ” จากนั้นเขาเงยหน้าพูดกรอกเสียงลงไมโครโฟนด้วยเสียงเหน่อห้าว
“วันนี้เราได้รับเกียรติจากคุณภูษิตและทีมงาน ทั้งสามท่านมาจากสถานีโทรทัศน์ช่องข่าวโฟตี้ เขาอยากมาเห็นว่าวัวลานนี่มันสนุกสนานแค่ไหน เดี๋ยวเราก็เล่นให้เขาดูเลยแล้วกัน
“ดูสักสองเปิดแล้วค่อยกลับนะคุณภูษิต คุณหาที่นั่งเอาแถวนี้ละกัน เดี๋ยวคนดูจะวิ่งมาชน โน่นน่ะ คนที่ใส่หมวกแดงๆ นั่นน่ะนายพวงวัวจากท่าแร้ง คนข้างเขามาจากบ้านลาด” น้ำเสียงผู้ใหญ่สมจิตแสดงความตื่นเต้นดีใจเมื่อได้เห็นเจ้าของค่ายวัวจากที่ต่างๆ ยืนอยู่ริมสนามคอยดูฝีเท้าวัวของตน
นุ้ยดึงกล้องวิดีโอออกมาจากกระเป๋าสะพาย เธอเริ่มถ่ายบรรยากาศที่คึกคักสนุกสนาน เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและการเคลื่อนไหว พวกหนุ่มๆที่เห็นตากล้องสาวผมยาวยืนบันทึกภาพ พวกเขาต่างสะกิดกันและลอบมองเธอด้วยความสนใจ แม้สนามวัวลานจะเป็นโลกของผู้ชาย แต่ก็ไม่มีข้อห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้ามาป้วนเปี้ยน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในสายตาของพวกเขาไม่ใช่เรื่องของหญิงหรือชาย แต่เป็นความต่างกันในสถานภาพ
ภูษิตพยายามชั่งใจตนเองว่าเขาควรนำเรื่องการแข่งขันวัวลานเข้าไปเสริมในสารคดีชุดที่เขากำลังจะเสนอให้หัวหน้าฝ่ายดีหรือไม่ เพราะบรรยากาศก่อนการแข่งขันที่เขาเห็นอยู่ในขณะนี้มันช่างน่าสนุกและเต็มไปด้วยสีสัน นักกีฬาตัวจริงของการแข่งขันนี้คือวัวไทยตัวขนาดไม่โตมากนักเมื่อเทียบกับวัวพันธุ์เนื้อที่เขาเคยไปเห็นที่ฟาร์มใหญ่แถวสระบุรี มีวัวบางตัวแสดงอาการตื่นตกใจกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คนและแสงไฟสว่างจ้า พวกมันถ่ายเรี่ยราดและขยับตัวทำท่าจะกระโจนหนี แต่ก็ถูกกำหราบจนสงบและถูกลากจูงเข้าไปยืนชิดกันเป็นแถวหน้ากระดานยึดโยงกันไว้ด้วยเชือกที่ผูกร้อยเป็นราวเดียวกันจนได้ โดยมีชายหนุ่มและวัยรุ่นสิบเก้าคนยืนประกบวัวของตนทางด้านหน้า
“คึกคักมากเลย” แต้วพูดขณะที่ช่วยสะพายกระเป๋ากล้องให้นุ้ยผู้กำลังยกกล้องขึ้น
“ฝุ่นเยอะไปหน่อย แต่นุ้ยว่าฝุ่นที่นี่มันเป็นฝุ่นดินนะ คนละอย่างกับฝุ่นพีเอ็มที่กรุงเทพฯ”
“แต้วก็ว่างั้น ไม่ค่อยแสบจมูกเท่าไร”
นาทีนั้นกรรมการส่งเสียงประกาศก้อง
“เปิดแรก เริ่มได้”
สิ้นเสียงลุงอำนวย หนุ่มๆ ที่ยืนตั้งหลักเตรียมพร้อมอยู่ข้างหน้าวัวก็ปล่อยมือจากเชือกและเผ่นออกมาริมสนามอย่างสุดฝีเท้าวินาทีเดียวกับที่วัวทั้งสิบเก้าตัวโผนออกจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ พื้นดินสั่นสะเทือนจากกำลังของสัตว์กินหญ้าที่ถูกฝึกให้วิ่งรอบเสาวันแล้ววันเล่าหลายเดือนกว่าจะได้ลงสนามจริง บางตัวที่เจนสนามแล้วก็ถูกประกบคู่อยู่กับวัวใหม่ที่ไม่มีทางหลบหรือเลี่ยงออกไปทางอื่นนอกจากวิ่งไปข้างหน้า เชือกที่คล้องคอของพวกมันให้ติดกันเป็นพวงได้รับการกะระยะอย่างดีจากเจ้าของคอกผู้ชำนาญ ซึ่งจะต้องไม่ปล่อยให้ยาวหรือหลวมเกินไปเพราะวัวจะปลิ้นหนีจนเสียขบวน
“รอบที่หนึ่ง” เสียงลุงอำนวยประกาศ สายตาของเขาสังเกตุอาการวิ่งของวัวแต่ละตัวและกล่าวชมเชยไปด้วยในตัว
เสียงเชียร์ของคนที่อยู่วงนอกดังขึ้นฟังไม่ได้ศัพท์พร้อมทั้งอาการแตกฮือเมื่อวัวทั้งพวงวิ่งกวาดมาราวกับพายุหมุน วัวสองตัวนอกออกแรงวิ่งมากกว่าวัวที่อยู่วงในเนื่องจากรัศมีการวิ่งยาวกว่า
รอบแรกผ่านไปท่ามกลางเสียงโห่ฮา เสียงเชียร์ เสียงตะโกน และการขยับเนื้อขยับตัวของบรรดาผู้คนที่ยืนชมและเชียร์อยู่โดยรอบ
ภูษิตและแต้วเขม้นตามองอย่างตื่นเต้นกับภาพวัวสิบเก้าชีวิตที่ออกแรงวิ่งวนรอบเสาไม่ต่างจากเข็มวินาทีของนาฬิกาขนาดยักษ์ กล้องในมือของนุ้ยทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ในการจับภาพที่กำลังเคลื่อนไหวและบันทึกเสียงต่างๆไว้
เสียงลุงอำนวยประกาศนับรอบต่อเนื่องไปเมื่อวัวทั้งราวเวียนผ่านหน้าหอกรรมการครั้งแล้วครั้งเล่าทุกครึ่งนาที
รอบที่สอง รอบที่สาม รอบที่สี่ รอบที่ห้า... … … … … …
รอบที่ยี่สิบหก...รอบที่ยี่สิบเจ็ด...รอบที่ยี่สิบแปด...รอบที่ยี่สิบเก้า... ... ... ...