ตอน คำสัมภาษณ์ (1)

4052 คำ
บทที่ 5 คำสัมภาษณ์ วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 08.00 น. ภูษิตเปิดประตูเข้าไปยังห้องทำงานที่ยังไม่มีใครมาถึง แม่บ้านในเครื่องแบบสีฟ้ากำลังเดินเก็บขยะตามโต๊ะทำงาน “มาแต่เช้าเลยนะคะ” แม่บ้านทัก “ครับ ไฟลนก้น นอนไม่หลับครับป้า” ภูษิตยิ้มละเหี่ย เมื่อวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วเขาก็เอื้อมมือกดปุ่มเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ “กาแฟไหมคะ เดี๋ยวป้าชงให้” แม่บ้านเสนอ “เดี๋ยวผมไปชงเอง ขอบคุณครับป้า” ภูษิตตอบแล้วเดินไปที่ห้องกาแฟ หลังจากนี้เขาจะเริ่มดูคลิปวิดีโอทั้งหมดที่เอกพลถ่ายทำและบันทึกเสียงทยอยส่งมาตั้งแต่กลางเดือนเพื่อเป็นข้อมูลให้เขาประมวล เขาตั้งใจจะสรุปประเด็นให้เสร็จสิ้นในวันนี้เพื่อเอาเข้าที่ประชุม เขาจะเสนอให้หัวหน้าฝ่ายสารคดีของเขารับรู้ถึงแนวคิดในเรื่องที่เขาต้องการให้ยกเลิกการแข่งวัวลานทั่วประเทศ เพราะจากที่เขาไปเห็นด้วยตาตนเองและจากที่เขาได้อ่านความคิดเห็นต่างๆของผู้คนที่ส่งมา กีฬาชนิดนี้เป็นการทรมานสัตว์อย่างแท้จริง เมื่อภูษิตนั่งลงหน้าจอคอมพิวเตอร์ใหญ่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานแล้ว เขาดึงไฟล์วิดีโอทั้งหมดของเอกพลไปใส่ในโฟลเดอร์เดียวกัน จากนั้นจึงเปิดไฟล์แรก มันถูกบันทึกไว้เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เวลา 15.30 น. ภูษิตยิ้มกับชื่อไฟล์ที่เอกพลตั้งไว้ว่า “วาเลนควาย 14-02-20” เขาหยิบหูฟังขึ้นมาสวมและมองภาพท้องทุ่งนาที่ปรากฏขึ้นในจอพร้อมเสียงพากษ์... “สวัสดีครับพี่ษิต วันนี้เป็นวันแห่งความรักนะครับ ขอส่งความรักมาให้พี่ผู้เป็นมิตรที่ดีเสมอมา และขอขอบคุณที่มอบหมายงานพิเศษให้ผมทำโดยไม่ถามผมก่อนว่าจะรับหรือไม่ (มีเสียงครืดคราดและเสียงกระดึงไม้ดังแทรกมาเป็นระยะ) แต่ผมก็เต็มใจรับครับ เพราะนับเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้ทำความรู้จักกับชาวหมู่บ้านโคชนะโดยมีงานของพี่เป็นข้ออ้าง “เอาละครับ วันนี้ผมสะพายกล้องขี่จักรยานตากแดดออกมาที่ทุ่งนาริมคลองชลประทานห้ากิโลและกำลังนั่งอยู่กับผองเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อครู่นี้...” กล้องแพนไปจับภาพฝูงควายที่ยืนกระจายตัวอยู่ตามใต้ร่มไม้ ควายเหล่านั้นมีรูปร่างพ่วงพีและดูแข็งแรง พวกมันมีหนังและขนสีเทาดำ บางตัวสีเทาออกแดง ควายสองตัวมีผิวสีชมพูที่เรียกว่าควายเผือก แต่ละตัวดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับแดดที่แผดเปรี้ยง เสียงลูกควายร้องแอ๊ๆ ดังแทรกมา ภาพที่หน้าจอเลื่อนไปเลื่อนมาแล้วก็หยุดอยู่ที่ควายน้อยอ้วนปุกที่วิ่งไปซุกอยู่ข้างแม่ควาย “ตัวนี้ชื่อกะแอครับพี่ษิต เจ้าของบอกผมว่าถ้าอุ้มมันไหว เขาจะยกให้ ผมนี่อึ้งเลย น้ำหนักน้องตัวนี้คงเฉียดๆ ร้อยโลเห็นจะได้ แต่เรื่องน้ำหนักนี่ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเท่ากับแม่เขาแหลมของมันที่ยืนโงหัวมองผมอยู่” ภูษิตหัวเราะหึๆในคอ ตั้งแต่เอกพลตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านโคชนะ การพูดการจาที่เคยมีรูปแบบเป็นงานเป็นการก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เสียงของเขาในคลิปนี้ฟังผ่อนคลายและมีความสุข ภูษิตจ้องดูภาพที่กำลังเคลื่อนไหวขณะจิบกาแฟไปพลาง ท้องทุ่งที่ดูแห้งแล้งมีหญ้าขึ้นหรอมแหรม แดดร้อนเปรี้ยง แต่แดดจ้าอย่างนี้ทำให้การบันทึกภาพชัดเจน เขาเห็นแม้กระทั่งฝูงแมลงเล็กๆ ที่บินหึ่งๆ รอบควายตัวหนึ่ง เขารู้สึกเสียวสยองกับเขาอันโง้งแหลมที่อยู่บนหัวของสัตว์ประเภทวัวควายและไม่คิดจะเข้าใกล้ แต่ดูเหมือนเอกพลซึ่งเป็นชาวกรุงเทพฯ แต่กำเนิดและไม่เคยใช้ชีวิตในชนบทจะสนุกกับการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ภาพควายฝูงใหญ่เปลี่ยนเป็นภาพต้นไม้ที่แผ่ร่มเงากว้าง สุนัขห้าหกตัวที่นั่งๆ นอนๆ อยู่รอบตัวคนผู้หนึ่งลุกขึ้นเห่า เมื่อกล้องขยับเข้าไปใกล้จึงเห็นได้ชัดขึ้นว่าคนผู้นั้นเป็นหญิงวัยกลางคนร่างเตี้ยป้อม นางโพกผ้าสีดำทบไปมาบนศีรษะ สวมเสื้อแขนยาวสีดำและผ้าถุงดำยาวเลยเข่าลงมาประมาณหนึ่งฝ่ามือ ใบหน้าที่กร้านแดดยิ้มจนตาหยีและมองกล้องอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไร “ชื่อพวง ฉันเลี้ยงควาย...ไหนนะ...อ่อ มีสี่สิบสามตัว ตัวผู้มีสี่ตัวเอาไว้ทำพันธุ์ ที่เหลือเป็นควายแม่ ตัวท้องฉันขังคอกไว้สามตัว” สำเนียงพูดของนางคล้ายชาวอีสานผสมกับชาวเหนือ “ตรงนี้ไม่ใช่นาฉันหรอก นาของตาบุญมี เมื่อวันก่อนเขามาบอกให้ฉันช่วยพาควายมากินหญ้า อีกสักพักเขาจะเริ่มปลูกข้าวนาปรัง ก็ใช้น้ำชลประทานนี่แหละ ฟ้าฝนบ้านเรามันเอาแน่ไม่ได้ เมื่อก่อนตกตามฤดูกาล แต่เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไป บทจะแล้งก็ยาวนาน พอมีฝนก็ถล่มจนข้าวตายหมด บางทีคนเขากำลังจะเกี่ยวข้าว เอาละเทวดาเกิดจะขยัน... “ฉันคนบ้านนี้ เกิดที่นี่ ...ก็อยู่กันมาหลายรุ่นแล้วตั้งแต่บ้านนี้ชื่อดอนอีแด่น ตอนหลังเปลี่ยนเป็นโคชนะสมัยรุ่นพ่อ... “ฉันไม่เลี้ยงวัว ถนัดเลี้ยงแต่ควาย สมัยก่อนที่หมู่บ้านนี้เขาเลี้ยงควายกันเยอะ ตอนหลังไปเลี้ยงวัวกันหมด...ก็เหลือฉันนี่แหละที่ยังเลี้ยงควายอยู่ ที่ตำบลอื่นก็พอมีเลี้ยงบ้างสองสามฝูง เล็กกว่าของฉัน “เลี้ยงไม่ยากหรอก แค่พามันออกไปกินหญ้า...ก็หมาห้าหกตัวนี่แหละช่วยกันไล่ ควายมันกินหญ้าอิ่มแล้วก็นอนแช่น้ำ บ่ายลุกขึ้นมากินต่อ อ้วนเอาๆ เห็นไหม... “นาฉันก็มี แต่ไม่ได้ใช้ควายไถหรอก ไม่มีแรงจะไถ คนที่นี่เขาใช้รถไถควายเหล็กกันกันมานานแล้ว ใช้เครื่องหว่านข้าวด้วยซ้ำ ข้าวเหลืองแล้วก็เอารถมาเกี่ยว ใช้เครื่องนวด แล้วก็ใส่รถไปโรงสี ไม่ต้องลำบากพวกวัวควาย... “ทำนานี่มันเหนื่อยนะ คนไม่ทำไม่รู้หรอก มันต้องเตรียมดิน ต้องไถ แล้วก็ต้องคราดเอาหญ้าออก ไขน้ำเข้า หว่าน ดำ กว่าจะได้เม็ดข้าวนี่ต้องทำอีกหลายอย่าง... “อ๋อ ที่เห็นวัวเยอะแยะตามทุ่งโน่นน่ะเหรอ เขาเลี้ยงไว้ขาย...ขายนี่คือขายเข้าโรงเชือดจ้ะ ตัวหนึ่งก็แล้วแต่น้ำหนัก เขามารับถึงที่ก็มี เอาไปส่งเองก็มี...ตัวหนึ่งสองสามหมื่น ตัวใหญ่ๆ นี่ห้าหกหมื่นก็มีนะ ที่ขนใส่รถไปทั้งฝูงวันก่อนน่ะ วัวตาม้อย มีคนมาเหมาไปเจ็ดตัวสองแสน ตาม้อยแกจะเอาเงินไปซื้อรถเครื่องให้ลูกขี่ไปเรียนหนังสือ ลูกแกสอบเข้าราชภัฏได้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ใช้เงินไปเยอะเชียวละ ทั้งค่าหอพัก ค่าเทอม เสื้อผ้า มือถือก็ต้องซื้อให้ใหม่ รายจ่ายจิปาถะ... “ควายฉันก็เลี้ยงไว้ขาย ราคาดีกว่าวัว ตัวใหญ่สี่ปีห้าปีตกตัวละห้าหกหมื่น แต่ฉันไม่ค่อยขายหรอกถ้าไม่จำเป็น เลี้ยงไปงั้นแหละ... “ฉันเลี้ยงควายมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ได้เรียนหนังสือหรอก โตเป็นสาวแม่ฉันให้แต่งงาน ฉันก็แต่ง แม่ยกที่นาให้แปลงหนึ่ง แบ่งที่ให้ปลูกบ้านหลังหนึ่ง ผัวฉันมาอยู่ด้วย ฉันก็ยังเลี้ยงควายอยู่ เขาช่วยล้างคอกควายบ้าง ช่วยปลูกข้าว ซ่อมโน่นซ่อมนี่ แต่เขาคนชอบเล่น เล่นพนันน่ะนะ เอาทุกอย่าง ฉันจำใจขายควายออกไปทีละตัวสองตัว เอาเงินให้เขาไป แต่เท่าไรก็ไม่พอ... “ครั้งสุดท้ายผัวฉันเขาจูงควายสองตัวไปขายโรงเชือด ฉันเลยเลิกกับเขา ให้เขาไปอยู่ที่อื่น ฉันเลือกควาย เสียดายมัน ผัวฉันไม่เสียดายหรอก ไม่มีประโยชน์อะไร ควายนี่แม้แต่ขี้มันก็ขายทำปุ๋ยได้อย่าว่าแต่เนื้อแต่หนังเลย เขาควายคู่หนึ่งก็มีราคา คนเขาซื้อเอาไปทำยา ทำเครื่องประดับพวกกำไล ทำหวีก็มี พวกญี่ปุ่นเคยมาถามซื้อกะโหลกควายนะ เขาเอาไปแต่งบ้าน “...เมื่อก่อนฉันยังได้นั่งเกวียนควายลาก ควายตัวไหนดื้อพ่อฉันใช้ค้อนฟาดหัวมันจนล้มตึง มีตัวหนึ่งชักตายต่อหน้าฉันเลย ตัวไหนว่าไม่ฟังพ่อฉันจับโยงมันไว้กับขื่อทั้งคืน คุณนึกออกไหม มันมีเชือกที่ร้อยจมูกอยู่ พ่อฉันแกดึงสายตะพายจนควายหน้าแหงน ขาหน้าลอยจากพื้น แล้วแกก็สั่งไม่ให้ใครแก้เชือกจนเช้า แกทำโทษที่มันหลุดไปกินข้าวในนา ตอนดึกฉันแอบไปเอามันลง พ่อแกเลยเฆี่ยนฉันจนหลังลาย ฉันเกลียดพ่อเข้าไส้เรื่องทำบาปทำกรรมกับควาย ตอนใกล้ตายแกร้องเสียงเหมือนควาย เลือดไหลออกปากออกจมูกเหมือนควายที่แกเอาค้อนฟาดหัวมันนั่นแหละ “พอพ่อตายแล้วพี่ชายฉันสองคนแบ่งควายไปเลี้ยงตำบลอื่นแล้วก็รวมหัวกันขายไปเกือบหมด เอาเงินไปซื้อแทร็กเตอร์กับรถเกี่ยวข้าวคนละคันตระเวนรับจ้างไป ส่วนฉันได้มาครึ่งฝูงก็เลี้ยงมาเรื่อยๆ มันออกลูกเก่งนะ ฉันได้ลูกกะแอปีหนึ่งสองตัวสามตัว “มีอยู่ครั้งหนึ่ง สักห้าหกปีมาแล้วนี่แหละ ฉันป่วยหนัก จวนไปจวนมา นึกว่าจะไม่รอด ฉันกลัวไม่มีคนดูแลควาย ฉันก็บอกขายทั้งฝูง ตอนนั้นมีสามสี่สิบตัว มีทั้งควายแม่ตั้งท้อง ควายพ่อพันธุ์ ลูกควายอีกหลายตัว คนที่ตำบลอื่นเขามาซื้อ เอารถบรรทุกมาขนไปหลายเที่ยว ฉันขายเหมาไปตัวละสองหมื่นทั้งควายใหญ่ควายเล็ก ควายที่ตั้งท้องฉันก็คิดราคารวมกันไป คนมาซื้อเขามีที่นาเยอะ คนรู้จักกัน “ฉันนอนรักษาตัวอยู่สักครึ่งปีมั้ง แล้วก็กลับมาเดินได้อีก ฉันเหลือเงินอยู่สี่แสน เลยตัดสินใจขายนาไปเกือบหมดแปลง เหลือไว้หน่อยเอาไว้ผูกควาย ฉันรวบรวมเงินไปซื้อควายพวกนั้นกลับมาหมดทุกตัว มันก็ขยันออกลูกมาให้ฉันทุกปี ปีแล้วได้สี่ตัว ที่คุณเห็นอยู่นี่แหละ ไอ้ตัวโน้นมันตั้งท้องอยู่เห็นไหม อีกไม่นานก็ต้องขังคอกไม่ให้ออกมา “ฉันเคยไปรับจ้างเขาทำโน่นทำนี่เหมือนกันนะ ตอนที่ฉันยังสาวก็มีพี่มีน้องช่วยเอาควายไปกินหญ้า แต่ฉันไม่ชอบงานรับจ้างหรืองานอื่น ฉันไม่ถนัดแบบนั้น ฉันถนัดเลี้ยงควายนี่แหละ... “เช้ามาฉันก็หุงข้าวเหนียว เอาใส่ห่อมากับน้ำพริก แบ่งปั้นก้อนคลุกน้ำแกงเตรียมไว้ให้สมุนพวกนี้ห้าหกก้อน ตอนสายค่อยให้มันกิน แล้วฉันก็ไล่ควายออกจากคอก ต้อนข้ามคลองชลประทานมาฝั่งนี้กว้างๆ บางวันฉันพามันมุดป่ามุดดงไปหายอดไม้เขียวๆ กินเป็นยา มันจะได้แข็งแรง พอมันนอนแช่ปลักแล้วฉันก็เดินเด็ดผัก เก็บลูกไม้ใส่ย่ามตามไป สายๆ นั่งพัก กินข้าว ตอนเที่ยงงีบสักหน่อย ตกบ่ายก็หาปูหาปลาบ้าง “ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียว ลูกทำงานที่โรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องไฟฟ้า อยู่หอพัก เงินเดือนแค่พอใช้ เมื่อกลางปีที่แล้วมันขับมอไซไปทิ่มท้ายรถบรรทุกที่จอดอยู่มืดๆ หน้าแหก ตาเสียไปข้าง ฉันขายควายไปตัวนึง เอาเงินให้มันไปซ่อมรถ ดีที่โรงงานเขายังให้มันทำงาน แค่ย้ายแผนก แต่โรงงานเขาก็ได้ประโยชน์ที่มีคนพิการทำงานด้วย เพราะจะได้ลดหย่อนภาษี” จากนั้นครู่หนึ่งเป็นเสียงเอกพลกล่าวขอบคุณป้าพวงขณะที่นางขยับตัวลุก มีควายสองตัวเดินชูหัวเข้ามา นางควักกล้วยสุกงอมออกมาจากย่ามและป้อนใส่ปากพวกมันตัวละลูก “กลับบ้านกันทีเว้ย!” ป้าพวงพูดกับควายเสียงดังพลางคว้าไม้เรียวที่วางนอนข้างตัวขึ้นมาสะบัดขวับๆ เป็นสัญญาณ หมาไทยห้าหกตัววิ่งไปต้อนควายเข้ามารวมกลุ่มอย่างรู้หน้าที่ ภาพในจอของภูษิตเปลี่ยนเป็นภาพมุมกว้างของทุ่งนาที่แห้งแล้ง แสงแดดอ่อนยามเย็นส่องกระทบหลังควายฝูงใหญ่ที่กำลังเดินดุ่มๆไปในทิศทางเดียวกันอย่างไม่เป็นระเบียบ หนังและขนสีเทาดำและเทาแดงเป็นมันเลื่อม เขาแหลมโง้งที่อยู่บนหัวอันใหญ่โตส่ายไปมาตามอาการก้าวย่าง เสียงหวดก้นควายดื้อดังขวับสองสามครั้ง จากนั้นเป็นเสียงฝีเท้าวิ่งโครมครามเข้าฝูงไป นางพวงส่งเสียงเรียกและไล่ควายอยู่เป็นระยะจนฝูงควายปีนขึ้นจากทุ่งนาจนหมด พวกมันขึ้นมายังริมคลองชลประทานที่เป็นถนนดินขรุขระ รอยตีนควายจมลึกลงไปเป็นหลุมเล็กๆ บนท้องถนนที่มีหญ้าขึ้นเขียวแหว่งเว้าริมทาง ควายหลายตัวหยุดยืนเล็มหญ้าและกินใบไม้จากต้นที่ถูกแทะจนพรุน เมื่อได้ยินเสียงตวาด “ฮึ่ย” “เฮ่ย” มันก็ออกเดินอย่างอิดๆ เอื้อนๆ ไปยังสะพานคอนกรีต มีบางตัวทำท่าจะไต่ลงลำคลองเพื่อหาน้ำกิน แต่เจ้าหมาแสนรู้ก็ตรงเข้าไปเห่าและขู่จนเจ้าตัวเขาแหลมพวกนั้นเดินสะบัดหัวกลับไปรวมกับฝูงและเดินเบียดกันข้ามสะพานไป พวกมันพากันข้ามถนนสายหลักไปยังอีกฟากอย่างที่มันเดินข้ามทุกวัน รถราที่ขับสวนกันไปมาต่างหยุดให้ฝูงควายไปก่อน ซึ่งคงเป็นเรื่องเคยชินของคนที่ใช้รถในเวลานั้น แม้ควายฝูงใหญ่จะใช้เวลานานในการข้ามถนนเพราะพวกมันเดินเอื่อยอย่างไม่รีบร้อน แต่คนขับรถบรรทุกและคนขี่มอเตอร์ไซค์ที่จอดรออยู่ต่างมองควายอ้วนพีของนางพวงอย่างชื่นชม บางคนถึงกับลงจากอานรถมาช่วยไล่ต้อนให้ตัวที่แตกแถวข้ามถนนไปได้ แล้วภาพก็ตัดไปยังผืนดินที่มีแต่ตอซังข้าวและหญ้าหรอมแหรม เหนือขึ้นไปเป็นภูเขาสูงๆ ต่ำๆ พระอาทิตย์ใกล้จะตก กลุ่มเมฆขยายตัวออกเป็นเส้นสายลีลาไร้รูปแบบทั่วท้องฟ้า แสงอาทิตย์ส่องลอดเมฆกลุ่มสีเทากระทบกับเศษเมฆที่กำลังร่ายรำเปลี่ยนท่วงท่าไปอย่างช้าๆ สีเหลืองจัดจ้าคลุกเคล้ากับสีเขียว สีแดง และสีหม่นมัว กลายเป็นฉากอันมโหฬารของเวทีระบำเมฆ ม่านสีเทากำลังโรยตัวลงพร้อมพระอาทิตย์ที่ลับไป ไม่มีคำบรรยายตอนจบ ภูษิตถอดหูฟังออก เขายกมือขึ้นลูบหน้าตนเอง บรรยากาศและสีสันธรรมชาติอย่างที่เห็นในท้ายคลิปวิดีโอนี้ ผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ คงไม่มีโอกาสได้สัมผัส แม้กระทั่งเอกพลที่ก่อนหน้านี้รับงานถ่ายวิดีโอพรีเว็ดดิ้งนอกสถานที่ของบ่าวสาวหลายคู่ เขาและผู้ช่วยมักแบกกล้องและอุปกรณ์ใส่รถตู้ไปยังสวนสาธารณะต่างๆ ในกรุงเทพฯ และหามุมสดสวยของดอกไม้พืชพรรณที่จัดแต่งไว้เป็นแถวเป็นแนว แต่ไม่เคยมีภาพท้องฟ้าอันอลังการด้วยสีรุ้งที่ผสมผสานเป็นม่านมหึมาลาดคลุมผืนโลกเช่นนี้มาก่อน ...แต่ข้อมูลจากผู้ให้สัมภาษณ์รายนี้ก็ไม่ตรงธงที่เขาปักไว้... ภูษิตคิด เขาคาดหวังจะได้ฟังเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการแข่งวัวลานที่เขาจะสามารถนำเสนอได้ในแง่มุมของการทรมานสัตว์ เพื่อที่เขาจะรวบรวมไปแสดงให้กลุ่มพิทักษ์สัตว์ต่างๆ และสื่อมวลชนได้เห็นและช่วยกันรณรงค์ให้ยกเลิกกีฬาชนิดนี้ แต่ไม่เป็นไร เขาหวังว่าอีกสี่คลิปที่เหลือเอกพลคงทำได้ดีกว่านี้ กาแฟในถ้วยยังอุ่นอยู่ ภูษิตยกดื่มจนหมด จากนั้นจึงคลิกเปิดไฟล์ที่สอง ชื่อไฟล์นี้เขียนไว้ว่า “ผู้ใหญ่สมจิต 16-02-20” เขายกหูฟังขึ้นสวมอีกครั้ง ภาพของชายรูปร่างท้วมวัยประมาณห้าสิบปีปรากฏขึ้น เขากำลังนั่งอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน มีชุดโต๊ะเก้าอี้ขัดมันทำจากรากไม้ตั้งเต็มพื้นที่ เขาขยับตัวให้พิงเบาะรองหลังจนเหมาะแล้วเปิดปากยิ้มเห็นฟันทองพร้อมกับมองกล้อง จากนั้นจึงกระแอมสองครั้งและเริ่มพูดอย่างคล่องแคล่วสมเป็นโฆษกเสียงตามสายประจำหมู่บ้าน “สวัสดีครับ คุณภูษิต จำผมได้ไหม ผมผู้ใหญ่สมจิตแห่งหมู่บ้านโคชนะ ตำบลห้วยกระทบ เขาย้อยนะครับ “นี่ คุณเอกพลนั่งอยู่ตรงนี้ เขามาเป็นลูกบ้านผมจะได้เดือนครึ่งแล้ว เมื่อสองวันก่อนเขาโทรมาขอนัดสัมภาษณ์ผมเพื่อบันทึกเทปส่งให้คุณภูษิตพิจารณาทำรายการเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ท่านผู้ชมรับรู้ถึงประเพณีการแข่งขันวัวลานอันมีชื่อเสียงของชาวตำบลห้วยกระทบ ที่จะจัด ณ สนามแข่งหมู่บ้านโคชนะในคืนวันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 “ผมต้องขอขอบคุณคุณภูษิตที่เห็นความสำคัญของกิจกรรมประเพณีของชาวตำบลห้วยกระทบ และต้องขอขอบคุณคุณเอกพลที่เป็นสื่อกลางให้ผมมีโอกาสอธิบายรายละเอียดแผนงาน “ผมในฐานะหัวหน้าคณะผู้จัดงาน ‘วัวลานประสานมิตร’ ขอเล่าถึงความเป็นมาของการแข่งวัวลานซึ่งกลายมาเป็นกีฬาของลูกผู้ชายเมืองเพชรดังนี้นะครับ” ผู้ใหญ่สมจิตกระแอมให้คอโล่งก่อนจะพูดอย่างยืดยาวติดต่อกันไป... “...อาชีพเก่าแก่ของคนไทยเราทุกภาคคือการปลูกข้าว ในสมัยก่อนพวกวัวควายถือเป็นแรงงานสำคัญที่ยืนหยัดเคียงคู่วิถีชีวิตชาวนามานับพันปีตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย อยุธยา “คุณภูษิตคงพอทราบมาบ้างนะครับว่าหลังจากชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวซึ่งก็ตกประมาณเดือนตุลาต่อพฤศจิกาแล้วนี่ การที่จะเอาเม็ดข้าวออกจากรวงได้ก็ต้องทำการนวด สมัยก่อนถ้าเป็นคนภาคเหนือหรือคนภาคอีสานเขาจะใช้วิธีฟาดข้าวกับครุไม้ไผ่ ส่วนคนทางใต้ใช้การย่ำด้วยแรงคน คนแถบภาคกลางเขาใช้แรงวัวแรงควายนวดโดยการเอาฟ่อนข้าววางลงในลานให้กระจายทั่วๆ ลานนวดต้องปรับให้เรียบและต้องทำพื้นให้นุ่ม เขาก็เอาขี้วัวขี้ควายนี่แหละผสมน้ำแล้วก็ทา จากนั้นก็ตากจนแห้งก่อนจะเอาฟ่อนข้าวปักลงไป “เมื่อนัดเพื่อนบ้านมาพร้อมกันแล้ว พวกเขาก็เอาวัวของบ้านโน้นบ้านนี้มาผูกรวมกันเป็นพวงติดกับเสากลาง โดยให้มันยืนเรียงแถวหน้ากระดานต่อกันไปหลายๆ ตัว จากนั้นก็ไล่ให้พวกวัวเหยาะย่ำเป็นวงกลมอยู่ในลานจนกว่าเม็ดข้าวจะร่วงหลุดจากรวงหมด วัวตัวในที่อยู่ใกล้เสาไม่ต้องใช้แรงมากเพราะย่ำรอบสั้น ที่เหนื่อยมากหน่อยก็คือวัวที่อยู่ปลายเชือกเพราะต้องย่ำกันรอบยาว วัวตัวนอกเขาจึงต้องคัดไอ้ตัวที่อึดและทนมาไว้ตำแหน่งนั้น “ตอนนวดข้าว วัวที่ผูกไว้ในพวงต่างพากันเดินดาหน้าย่ำฟ่อนข้าวจนพื้นสะเทือน มันดูน่าสนุก วัวบางบ้านแข็งแรงก็ลากเอาวัวตัวอื่นเซไถลไป ซึ่งเจ้าของวัวก็ภูมิใจในพละกำลังและฝีเท้าของมัน ทีนี้คนเลี้ยงวัวเขาก็มองเห็นว่าน่าจะเอาวัวพวกนี้มาแข่งขันเอาแพ้เอาชนะ จึงจัดให้มีการแข่งขันกันขึ้นที่ลานนวดข้าวนั่นละครับ เขาจะดูว่าวัวใครจะลากวัวใคร ซึ่งแต่ก่อนมักเล่นกันหลังจากนวดข้าวเสร็จตามฤดูกาล ผิดจากสมัยนี้ที่จัดเล่นกันได้ตลอดปี เฉพาะในจังหวัดเพชรบุรีมีสนามวัวลานมากกว่าห้าสิบแห่ง ที่อื่นๆก็มีอีกเป็นร้อยแห่ง เช่นที่ราดรี(ราชบุรี) คอนถม (นครปฐม) เมืองกาญจน์ ลงไปทางใต้ถึงปราณบุรี กุยบุรี ประจวบ “สำหรับที่ตำบลห้วยกระทบมีสนามวัวลานสามแห่งคือที่หมู่ 3 โคกตาล หมู่ 2 ดอนกรวด และหมู่ 1 โคชนะ ปีนี้เราจะจัดแข่งวัวลานประเพณีในวันศุกร์ที่ 17 เมษายน พุทธศักราช 2563 ปกติเราก็จัดแข่งกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่งานประเพณีครั้งนี้เราตั้งใจจัดขึ้นให้ยิ่งใหญ่เพื่อนำรายได้มาจัดตั้งเป็นกองทุนให้แก่กลุ่มผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มประชากรเปราะบางที่เราทุกฝ่ายต้องดูแล ให้ความสำคัญ และลงมือช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตแก่พวกเขา “โดยหลังจากที่ท่านนายกอบต.ได้จัดประชุมเมื่อตอนต้นปี ท่านก็เห็นด้วยที่เราจำเป็นจะต้องดำเนินการเชิงรุกเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ตำบลอื่นๆในเรื่องการสืบสานประเพณีการแข่งขันวัวลานและหาเงินกองทุนให้คนเฒ่าคนแก่มีรายได้เสริมนอกเหนือจากเงินที่รัฐบาลบาลมอบให้ “มีค่ายวัวที่แสดงความจำนงจะเข้าร่วมในรายการแข่งครั้งนี้แล้วสิบแปดค่าย ทั้งจากท่าแร้ง บ้านลาด ดอนกรูด ห้วยโรง กุยบุรี ปราณบุรี ท่ามะกา หุบกะพง ทับใต้ ทับเหนือ ท่าแร้ง ดอนไก่แจ้ โพธาราม และอีกหลายแห่ง “ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณภูษิตจะมีโอกาสมาชมด้วยตาตนเองอย่างที่เคยมาเห็นเมื่อปีที่แล้ว ครั้งนี้ผมรับรองได้ว่าจะยิ่งใหญ่ น่าตื่นเต้น และสนุกสนานกว่าครั้งที่ผ่านมาแล้วหลายเท่า เนื่องจากเราปรับเปลี่ยนกติกาให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อจะได้พิสูจน์กันว่าวัวลานของค่ายไหนแข็งแกร่งที่สุด “ผมคงขอรบกวนเวลาของคุณภูษิตพียงเท่านี้นะครับ หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมหรือนัดหมายอะไรก็กริ๊งกร๊างหาผมได้ทันทีครับ หรือจะฝากมาทางคุณเอกพลก็ได้ บ้านผมกับบ้านคุณเอกพลอยู่ไม่ห่างกันมากครับ ไปมาถึงกันสะดวก” ภูษิตถอนหายใจ เขาถอดหูฟังออกแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มีเสียงพูดคุยกันเบาๆ ที่โต๊ะทำงานของนุ้ยและแต้ว ภูษิตหันไปทักทายสองสาวสองสามคำแล้วหันกลับมาที่หน้าจออีกครั้ง เขาดูนาฬิกาก่อนจะหมุนคอไปมาเพื่อคลายความเมื่อย จากนั้นเอื้อมมือคลิกเปิดคลิปต่อไป เขาต้องประมวลข้อมูลทั้งหมดให้เสร็จก่อนบ่าย และหลังจากนั้นทุกคนจะเข้าห้องประชุมเพื่อเสนอแผนการทำงานของช่วงเดือนต่อไป ...คลิปที่สาม “ป้าบ้านเดี่ยว 17-02-20” ภาพสวนอันสวยงามร่มรื่นปรากฏขึ้น มีเสียงเอกพลพูดขอบคุณเจ้าของบ้านที่ยกน้ำดื่มมาให้ แล้วกล้องก็จับภาพหญิงวัยประมาณหกสิบปีผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนในสวนขนาดเล็กหน้าบ้านของเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมจะตอบคำถาม มีเสียงขลุกๆขลักๆ และเสียงเหมือนลมกระพือพัดขณะที่ภาพสั่นไหวและเคลื่อนออกไป แล้วมันก็ชัดขึ้นในอีกครู่หนึ่งต่อมา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม