วันนี้ช่วงพักเที่ยง ฉันกับองุ่นไปทานมื้อกลางวันที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย และก็ต้องแปลกใจเมื่อรุ่นพี่ที่ชื่อเกรซตามมาราวีพวกเราสองคนถึงโต๊ะอาหาร ที่สำคัญเขามักจะพูดดูถูกดูแคลนมารดาขององุ่น จนฉันแทบจะทนไม่ได้ แต่เพื่อนใหม่ของฉันกลับพยายามฉุดดึงแขนฉันเอาไว้ ไม่ให้ลุกขึ้นไปต่อปากต่อคำกับเกรซ
"พูดมาแล้วยังเจ็บใจไม่หาย เขาอยู่ปีสอง แถมยังเรียนคนละคณะกับเราแล้วทำไม... เธอต้องยอมเขาด้วยองุ่น" ฉันอุตส่าห์ว่าจะไม่พูดแล้วเชียว แต่ก็อดไม่ได้ เพราะเหลือแค่วิชาสุดท้าย ในวันนี้ที่จะพบอาจารย์ผู้สอน จากนั้นก็คงจะแยกย้ายกลับบ้าน
"ช่างเขาเถอะกันยา" องุ่นพูดออกมาพร้อมกับใบหน้าที่เศร้าหม่นลงไป วันนี้ทั้งวันดูเหมือนกับว่าเธอนั้นจะมีเรื่องไม่สบายใจตลอดเวลา
Rrrr!! เสียงโทรศัพท์ขององุ่นดังขึ้น เธอรีบ หยิบจากกระเป๋าถือมากดรับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล จนกันยารู้สึกแปลกใจ
"ได้ค่ะหนูจะรีบไปเดี๋ยวนี้ ขอบคุณมากนะคะคุณป้า" องุ่นพูดโทรศัพท์ด้วยท่าทางที่ดูเป็นกังวลมาก
"เกิดอะไรขึ้นเหรอองุ่น ทำไมเธอถึงทำสีหน้าตกใจแบบนั้นด้วย" องุ่นวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์แต่เธอกลับมองก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ จนฉันรู้สึกแปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
"วิชาต่อไป... ฉันขอลอกแลคเชอร์ได้ไหมกันยา" น้ำเสียงของหญิงสาวปนไปด้วยความอ้อนวอน เมื่อเธอกำลังนึกใบหน้าของมารดาซึ่งนอนป่วยอยู่ที่บ้าน
"ได้สิจ๊ะทำไมจะไม่ได้ล่ะ แล้วเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงดูไม่ค่อยสบายใจเลย มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะเรายินดี" แม้ว่าเราจะเพิ่งรู้จักกันวันแรก แต่มิตรภาพระหว่างเราเหมือนกับว่ามันเกิดขึ้นมานานแสนนานแล้ว
"ป้าข้างบ้านโทรมาบอกว่าแม่เราไม่สบายมาก เราต้องกลับไปดูแม่ ฝากลาอาจารย์ให้ด้วยนะ กันยา"
"ได้สิ นั่งแท็กซี่ไปนะ จะได้ถึงเร็วๆ "
"นั่งรถเมล์ถึงเหมือนกันแหละเราไปก่อนนะ"
"เดี๋ยว! " ฉันเรียกเอาองุ่นออกมาเสียงดัง จากนั้นจึงหยิบธนบัตรแบงก์พันออกมาสองสามใบ แล้วยัดใส่มือให้กับเธอ
"กันยา ฉันรับเงินเธอไว้ไม่ได้หรอกนะ" หญิงสาวพูดออกมาด้วยความรู้สึกเกรงใจ เพราะเธอไม่เคยมีใครที่จะอยู่ข้างๆ ในยามที่ท้อแท้ใจ แต่วันนี้กันยากลับให้เธอมากกว่ากำลังใจ ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วโมง
"ฉันให้เธอยืม ตอนเช้าเธอยังให้ฉันยืมค่ารถเมล์เลย ถือว่าเจ๊ากัน เอาไปใช้ก่อนมีแล้วค่อยมาคืน แม่ไม่สบายต้องพาไปหาหมอไม่ใช่เหรอ รีบไปสิ" ในเวลานี้ฉันสัมผัสได้ถึงความลังเลใจขององุ่น แต่วันนี้ฉันได้ยินเรื่องราวของเธอทำให้นึกถึงวันที่ยังไม่เจอกับบิดา อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้ลำบากเหมือนกับองุ่น ที่บางวันต้องอดมื้อกินมื้อ เพราะมารดาของเธอล้มป่วยไม่สามารถที่จะออกไปขายข้าวแกงหน้าบ้านได้
บทสนทนาของคนทั้งคู่ ภาพของหญิงสาวที่ดูห่วงใยกันนั้น อยู่ภายใต้สายตาคมของสิงโตตลอดเวลา เขาเฝ้าดูเหตุการณ์และสะกดรอยตามเธอทั้งวัน แม้กระทั่งตอนที่เธอและเพื่อนถูกรุ่นพี่นักศึกษาเข้าไปหาเรื่องที่โรงอาหาร เขาเกือบอดใจไม่ไหวที่จะเข้าไปยุ่ง ดีนะที่กันยาควบคุมสติอารมณ์ไว้ได้ เธอไม่ทำอะไรที่หุนหันพลันแล่นออกมา
"สิงโตมาอยู่ตรงนี้เอง คาบสุดท้ายแล้วขึ้นห้องกันเถอะ อาจารย์เข้าแล้วมั้งป่านนี้" น้ำเสียงของเนตรดาวที่พูดออกมาดังเหมือนตั้งใจให้คนแถวนั้นได้ยิน และมันก็ได้ผลจริงๆ ด้วย เมื่อกันยาหันมามองและเห็นสิงโตยืนอยู่ตรงนั้นด้วย หญิงสาวทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะรีบเดินผ่านไปในทันที
จากนั้นสิงโตและเนตรดาว จึงเดินตามหลังกันยาขึ้นไปบนห้องเรียน เหมือนเพื่อนในห้องจะรู้ว่าเธอชอบนั่งแถวแรกริมสุด แล้วก็โต๊ะแรกอีกด้วย หญิงสาวค่อยๆ หย่อนก้นนั่งลงไปพร้อมกับครุ่นคิดภายในใจถึงเรื่องขององุ่น
อาจารย์เข้ามาบรรยายถึง หัวข้อสำคัญในรายวิชา นี่มันคือครั้งแรกที่ฉันรู้สึกอึดอัดที่สุดตั้งแต่เรียนมา นั่นคงเป็นเพราะว่าใจของฉันจดจ่ออยู่แต่เรื่องขององุ่น ไม่รู้ว่าป่านนี้เธอจะเป็นยังไง เธอจะถึงบ้านหรือยังพาแม่ไปหาหมอที่ไหน ไปกับใคร ฉันยังรู้สึกเจ็บใจตัวเองไม่หาย ถ้าวันนี้ขับรถมาคงได้พาองุ่นกลับบ้านและพาแม่เธอไปหาหมอที่โรงพยาบาลแล้ว
จากนาทีเป็นชั่วโมงจน กระทั่งอาจารย์บรรยายเสร็จหมดคาบเรียน ทุกคนค่อยๆ ทยอยเดินออกไปจากห้อง ในขณะที่ฉันยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
"เป็นอะไรหรือเปล่ากันยาแล้วเพื่อนเธอไปไหน" เสียงทุ้มดังขึ้น ทำให้ฉันรีบหันกลับไปมองและพบว่าจิงโจ้กับเพื่อนของเขาสามสี่คนยืนอยู่ด้านหลังออกจากฉัน
"แม่องุ่นไม่สบาย เราขอตัวนะ" ฉันพูดพร้อมกับรีบลุกขึ้นยืนและเตรียมเก็บสมุดหนังสือมาถือเอาไว้ พร้อมที่จะเดินออกไปจากห้อง "เดี๋ยวก่อนสิ จะรีบไปไหน ให้เราไปส่งไหม... ตอนเช้าได้ข่าวว่าเธอมารถเมล์ไม่ใช่เหรอ" จิงโจ้ยังคงยืนกรานที่จะพูดคุยกับกันยาต่อ ที่สำคัญเขารู้อีกว่าเธอนั้นนั่งรถเมล์มากับองุ่นในตอนเช้า
"ไม่เป็นไรหรอกขอบใจมากนะจิงโจ้"
"เดี๋ยวนั่งคุยกันก่อนสิ เธอจะรีบไปไหน มันยังไม่ค่ำเลย บอกแล้วไงเดี๋ยวจะส่ง เราอยากจะทำความรู้จักกับเธอมากกว่านี้" ตอนนี้ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาในทันที แม้ว่าจะอยู่ในห้องเรียน แต่ทุกคนก็กลับไปหมดแล้วเหลือเพียงแค่ฉันกับกลุ่มของจิงโจ้เท่านั้น
"เราต้องรีบกลับบ้านไปดูแลแม่ เพราะตอนนี้แม่ของเราท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว ขอโทษนะจิงโจ้เอาไว้วันหลัง เดี๋ยวเราค่อยคุยกันใหม่ก็แล้วกันนะ" ฉันพยายามทำใจดีสู้เสือ เพราะหน้าตาของเพื่อนเขาแต่ละคนนั้นดูน่ากลัว ภายใต้ใบหน้าอันหล่อเหลา ฉันกลับไม่รู้สึกสะดุดตาสะดุดใจเลยสักนิด
"โอเค ถ้าอย่างนั้นเราไม่กวนเธอแล้ว แล้วเจอกันใหม่พรุ่งนี้บ๊ายบาย" จิงโจ้ยกยิ้มที่มุมปาก ชายหนุ่มรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากที่ได้ยินกันยาพูดออกมาแบบนั้น
"โอเค... บ๊ายบายจ้า" ฉันส่งยิ้มแหยๆ กลับไปให้จิงโจ้ ก่อนจะรีบก้าวเท้าเดินออกมาจากห้อง ทำไมฉันถึงกลับรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนจ้องมองมาที่ฉันตลอดเวลาก็ไม่รู้ แต่พอหันกลับไปก็ไม่พบใครเลย ฉันจึงรีบเดินตรงไปที่ลิฟต์ เพื่อออกไปจากตึกให้เร็วที่สุด
ฉันรีบเดินออกมาจากมหาวิทยาลัย แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าหนทางมันช่างยาวไกล เดินยังไงก็ไม่ถึงป้ายรถเมล์สักที และดูเหมือนในเวลานี้ฟ้าฝนจะไม่เต็มใจ เพราะมันเริ่มโปรยปรายลงมา
"โอ๊ย... วันแรกของฉันแย่จังเลย" ฉันเพ้อออกมาคนเดียวเวลานี้คงโทษใครไม่ได้ เพราะฉันเลือกที่จะนั่งรถเมล์มาเอง
ปี๊ด! ปี๊ด! เอี๊ยด! เสียงแตรรถดังขึ้นพร้อมกับขับมาจอดขอบฟุตบาทแล้วเบรกเสียงดัง จนฉันสะดุ้งเพราะความตกใจ แถมสายฝนที่โปรยปรายลงมานั้นยังทำให้ เสื้อสีขาวบางมองไปเห็นบราสีแดงที่สวมใส่ได้อย่างชัดเจน
"ขึ้นมา! " เสียงทุ้มของชายหนุ่มแฝงไปด้วยอำนาจ บ่งบอกให้คนฟังรับรู้ว่าเขากำลังออกคำสั่งให้เธอขึ้นไปในรถ โดยห้ามเธอปฏิเสธใดๆ ทั้งสิ้น
"ฉันจะกลับรถเมล์" ฉันรีบปฏิเสธเขาออกไปในทันที แม้ยังรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อยทำไมแฟนเขาไม่เห็นนั่งมาด้วย สงสัยวันนี้คงจะนั่งมาคนละคัน