บทที่ 1 เจ็บ แต่ไม่มีน้ำตา
ฉันชื่อนวลพรรณ อายุ 34 ปี แต่งงานอยู่กินกับสามีได้ 6 ปีแล้ว พวกเราคบตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย พอจบออกมามีงานทำ แต่ได้งานทำคนละที่ ความรักของพวกเราก็ยังหวานชื่นมาตลอด (ฉันคงคิดไปเอง)
เราสองวางแผนสร้างครอบครัวด้วยกัน ตั้งใจว่าจะมีลูกหัวปีท้ายปี แต่ฉันเชื่อว่าทุกคนเคยพบเจอเหตุการณ์อย่างที่คู่ของฉันเจออยู่ สิ่งที่พวกเราวาดฝันไว้ บางอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ใจเราต้องการ แม้จะมีเงินมหาศาลก็ตาม
หลังแต่งงาน 2 ปีแรก พวกเราสองคนใช้วิธีตามธรรมชาติ แต่ลูกไม่มาอยู่กับพวกเราสักที ปีที่ 3,4,5,6 พวกเราหันไปพึ่งวิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ผล หมดเงินไปหลายสิบล้าน ฉันไม่เคยท้อ แม้จะต้องแลกกับความเจ็บปวดทรมานที่ได้รับ
ปลายปีที่6 ความรักที่เคยหวานชื่นมันค่อย ๆจางหายไป จนพวกเรากลายเป็นคนเฉยชาใส่กัน แต่ความรักของฉันไม่เคยลดน้อยลง คิดว่าจะให้เวลาสามีทำใจ แล้วค่อยคุยกันเรื่องอุ้มบุญ…ที่ฉันเว้นช่องว่างให้เขาเพราะฉันเคารพให้เกียรติเขามาตลอด
เวลานี้เราทั้งคู่ขับรถไปทำงานต่างคนต่างไป ทานข้าวต่างคนต่างทาน สามีมาขอแยกห้องนอน บอกว่าต้องหอบงานมาทำกลางคืน ฉันเข้าใจ แต่กลายเป็นความเฉยชา ไปสู่ความหมางเมินต่อกัน
แล้ววันที่ฉันคิดไม่ถึง เช้านั้นวันเสาร์ สามีพาหญิงสาวหน้าตาสะสวย อายุ 25 ปีเดินเข้ามาพร้อมลูกชายที่น่ารัก อายุ 3 ขวบ ทำไมเด็กผู้ชายคนนั้น หน้าตาเหมือนสามีฉันตอนเด็ก ๆล่ะ
จากนั้นความจริงปรากฏ พร้อมกับหัวใจที่แตกสลายของฉัน สามีขอให้ฉันยอมรับผู้หญิงคนนั้น กับเด็กน้อยไร้เดียงสา………ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน…
เรื่องบัดซบที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อน…ฉันไม่พูดอะไร ทั้งตกใจและเสียใจ แต่ทำไมไม่มีน้ำตาออกมานะ ฉันคิดไม่ถึง ว่าสามีจะทำแบบนี้ เรื่องนี่มันเกิดขึ้นนานเท่าไรแล้วนะ…คำถามในใจที่ไร้คำตอบ…
ฉันไม่พูดอะไร แต่กลับเข้าไปหยิบกุญแจกับกระเป๋าเงินพร้อมเสื้อคลุม ขับรถหรูออกไปโดยไม่ทราบจุดหมายปลายทาง ฉันขับไปได้ครึ่งทาง อยู่ ๆ ฝนตกลงมาไม่กะทันหัน พยายามมองหาโรงแรม แล้วก็เจอรีสอร์ต ฉันไม่เคยสังเกตมาก่อน ว่าแถวนี้มีรีสอร์ตอยู่ด้วย เมื่อเข้ามาจอด รีสอร์ตแต่ละหลังสร้างมาคล้ายเลียนแบบมาจากจีนโบราณสมัยก่อน
คิดว่าคืนนี้ขอพักสงบสติอารมณ์ที่นี่ แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับไปบ้าน ว่าจะทำอย่างไร ถ้าฉันเป็นฝ่ายไปเอง จะต้องมีการแบ่งสินสมรสกัน…แต่ถ้าเขาไม่ยอม ฟ้องเหรอ บ้าน่า ฉันไม่มีเวลาขึ้นโรงขึ้นศาลขนาดนั้นหรอก…ความคิดที่สับสนตีกันวุ่นวายไปหมด
ระหว่างที่นวลพรรณเอนตัวนอนลงนั้น เหมือนโลกหยุดหมุน แล้วเธอไปโผล่อีกที่หนึ่ง…แม้หญิงสาวจะอายุ 34 ปีแล้ว แต่ดูแลตัวเองมาตลอด ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางตอนนี้เหมือนคนอายุ 25-26 ปี
ใบหน้างามเลิกคิ้วสูงขึ้น หน้าผาตรงหน้าฉันนี่มันที่ไหน ทางรีสอร์ตจำลองเหตุการณ์ให้แขกที่มาพักอย่างหนึ่งหรือ ดูเป็นธรรมชาติที่สวยงามเหมือนของจริงมาก อากาศดีไร้ซึ่งมลพิษ
แล้วผู้ชายที่แต่งกายด้วยชุดจีน หน้าตาคมเข้มท่าทางเหมือนคนแบกโลกทั้งใบไว้คนนั้น ข้าง ๆ เขามีเด็ก ๆ หน้าตาน่ารักน่าชัง 3 คน เด็กผู้ชายคนโตยืนดูบุรุษที่ยืนด้วยความเป็นห่วง คนรองเป็นผู้ชายแล้วคนเล็กเป็นเด็กผู้หญิง พวกเขาน่าจะเป็นพ่อลูกกัน เธอสังเกตจากกรอบหน้าและจมูกโด่งของพวกเด็ก ๆกับผู้ชายที่ยืนอยู่คล้ายคลึงกัน
เธอเข้าไปยกมือสวัสดี คิดว่าคงเป็นนักท่องเที่ยวจีน ที่มาพักที่รีสอร์ตแห่งนี้
“สวัสดีค่ะคุณ…คุณคะ…สนใจลูก ๆคุณหน่อยสิคะ” อาจเป็นเพราะนวลพรรณรักเด็ก และอยากมีลูกมาตลอด จึงเกิดความรู้สึกสงสารเอ็นดูเด็ก ๆขึ้นมา
แต่ไม่มีใครสนใจหรือได้ยินเสียงของเธอ แล้วแววตาของพ่อเด็กน้อยเม่อมองไปไกล ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความเจ็บปวด…ท่าทางอาลัยอาวรณ์นั้น…หรือว่าภรรยาเขาเพิ่งจะเสียนะ…ทันใดนั้น
“ชิงเอ๋อร์ เจ้ากลับมาหาพี่เถอะ…อย่าทิ้งพี่กับลูกไปแบบนี้เลย…ได้โปรด…กลับมาหาพวกเราเถอะ”
เสียบแหบแห้งที่เธอได้ยินนั้น นวลพรรณใจอ่อนยวบ ที่แท้เขาถูกภรรยาทอดทิ้ง พร้อมกันนั้นใบหน้าคมเข้มปล่อยให้น้ำตาร่วงลงมา เมื่อเด็ก ๆเห็นพ่อร้องไห้ พวกเขาพยักหน้าให้กัน แล้วรีบเข้าไปกอดขาคนเป็นพ่อ
แล้วทำไมเธอต้องร้องไห้ตามพวกเขาด้วยนะ…นวลพรรณน้ำตาไหลอาบแก้มสองข้าง จากนั้นภาพตรงหน้าเธอหายไป เธอใจหายวาบ อย่าบอกนะว่าไอ่ตาทึ่มจะพาลูก ๆกระโดดหน้าผาก……………
ท่ามกลางความมืด เธอมองเห็นแสงสว่างรำไร พยายามเดินไปหาแสงสว่างนั้น ในใจก็กระวนกระวาย กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเด็ก ๆ…แต่แล้วอยู่ ๆมีแสงสว่างจ้าเข้ามา เธอรีบหลับตา
“มาแล้วหรือแม่นางลั่วอัน…” เสียงอ่อนโยนที่ดังขึ้นมา ฉันค่อย ๆเงยหน้าขึ้นมา…นี่ฉันเจอคนแต่งกายด้วยชุดจีนอีกแล้วหรือ ตรงหน้าฉันคือ คุณตาอายุ 60 ปีได้มั้ง เดี๋ยวก่อนนะ…ใครกันที่ชื่อลั่วอัน นวลพรรณกวาดสายตามองรอบ ๆ …แต่ไม่เห็นใครเลย
“เจ้านั้นแหละ…เอาล่ะ…เจ้าสงสัยอันใดถามข้ามาเถอะ…”
“คุณตา…ฉันชื่อนวลพรรณจ้ะ…ว่าแต่คุณตามาเที่ยวที่ประเทศไทยเหรอคะ…”
“พวกเจ้าก็คนเดียวกันนั่นแหละ…ข้ามาทำธุระเกี่ยวกับเจ้า…วันที่ 5 เดือน 5 ปี2565 จะเป็นวันที่วิญญาณของเจ้าจะออกจากร่าง แล้วเข้าไปอยู่ในร่างที่แท้จริงของเจ้า…”
“คุณตา ท่านเข้าฝันฉันใช่ไหมคะ” ฉันไม่เชื่อในสิ่งที่ท่านตาพูด ก็ฉันยังไม่ตาย วิญญาณจะออกจากร่างได้อย่างไรกัน
“ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อ จงดูภาพนี้” ท่านตากางมือออก ภาพตรงหน้าคือครอบครัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในชนบท นั่น 4 พ่อลูกที่เธอเมื่อกี้นี่นา พวกเขาทั้งสี่คนสะบักสะบอม โดยเฉพาะคนเป็นพ่อ เหมือนถูกซ้อมมาอย่างหนัก
“ปล่อยพ่อหลิ่งหมิง เจ้าอยู่กับน้อง ๆ พ่อจะไปเอาเงินกลับมา” ทั้งสามคนเข้ามากอดขาพ่อไว้แล้วร้องไห้
“ท่านพ่อ…อย่าไปขอรับ…หากท่านพ่อเป็นอันใดไป พวกเราจะอยู่กับใคร”
“ท่านพ่อ…ข้ากับพี่ใหญ่จะช่วยท่านพ่อทำงานหาเงิน…อย่าไปเลยขอรับ”
“ท่านพ่อ…ข้าจะช่วยท่านพ่อด้วย อย่าไปนะเจ้าคะ”
ทั้ง 4 คนกอดกันกลม แต่แววตาของคนเป็นพ่อนั้นไม่เหมือนครั้งแรกที่เธอเห็น เป็นแววตาอาลัยอาวรณ์ภรรยา ตอนนี้แววตาที่เธอเห็นเปลี่ยนจากอาลัยอาวรณ์เป็นแววตาแห่งความอาฆาตแค้น…
“เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม…หลิ่งเฟิ่งเป็นบุรุษที่รักมาก แค้นมาก มีเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงเขาได้…เจ้าอยากดูไหมเล่า ถ้าเจ้าไม่ไปที่นั้น พวกเขาทั้ง 4 คนจะเป็นอย่างไรบ้าง”