“ยัยมัท! เกิดอะไรขึ้นลูก ทำไม! แล้วนี่ใคร! ...”
จักรภัทรหันไปหาเจ้าของเสียง ซึ่งกำลังเดินออกจากบ้านมา แล้วเปิดประตูรั้วให้ พร้อมสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด มีเจ้าสี่ขาสองตัวออกมาทำหน้าสงสัยให้เขาเห็นด้วย เขารีบยกมือไหว้อย่างรวดเร็ว เพราะเดาได้ว่าคงเป็นยาย และเดาว่านั่นคงเป็นน้องหมาที่เลี้ยงไว้เป็นแน่
“สวัสดีครับคุณยาย...”
“เอ่อๆ สวัสดีค่ะ แล้วคุณเป็น...”
ยายบุญมียกมือรับไหว้หนุ่มใหญ่ท่าทางภูมิฐาน ติดแต่ตรงเสื้อผ้ามีรอยเลือดเปรอะเปื้อน ไม่ต่างจากหลานตัวเองนัก เลยตกใจไม่น้อย
“คุณเกียร์เป็นเจ้านายของมัทเองจ้ะยาย เสื้อผ้าเปื้อนเลยจะขอเข้าไปเปลี่ยนหน่อย แล้วจะไปธุระต่อจ้ะ” คนเป็นหลานเองก็รีบเดินไปยืนข้างๆ ยาย
“ได้ค่ะ เชิญๆ ค่ะ ว่าแต่เปื้อนอะไรมาล่ะมัท...”
“ยายเข้าบ้านก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวมัทจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ให้คุณเกียร์ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจ้ะ เดี๋ยวจะไปธุระไม่ทัน”
“จ้ะๆ ๆ มัทพาไปเลย เดี๋ยวยายจะปิดประตูเอง”
มัทรียิ้มให้ยาย แล้วรีบเดินนำเจ้านายหลังรับชุดจากคนรถ ที่เอาออกจากกระโปรงหลังมาส่งให้แล้ว เพื่อรอให้เจ้าของบ้านบอกว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน
“คุณเกียร์ไม่ต้องถอดรองเท้าก็ได้ค่ะ” มัทรีหันมาบอก เพราะเห็นว่ามือเขาไม่ว่าง
“ไม่เป็นไรครับ ผมถือ! เวลาเข้าบ้านใครใส่รองเท้าจะไม่ดี งั้นฝากแป๊บนะครับ”
มือบางรับชุดจากเขามาถือไว้ เมื่อเขายื่นมาให้ นี่ก็ไม่เคยคาดคิด ว่าจะได้สัมผัสเสื้อผ้าราคาเรือนหมื่นเรือนแสนของเขาเลยในชีวิต ส่วนการมีเขามาเยี่ยมเยือนบ้านหลังน้อยนั้น เป็นอะไรที่ไกลเกินจินตนาการมากมายอยู่แล้ว
จากนั้นก็เดินนำเขาไปห้องน้ำเล็กๆ แม้จะรักษาความสะอาดอยู่เสมอ แต่ก็ขอเข้าไปสำรวจความเรียบร้อย และเปิดไฟไว้ ก่อนจะยอมให้เขาพาไป
“มีอะไรหรือเปล่ามัท เล่าให้ยายฟังหน่อย ยายร้อนใจ” ยายบุญมีไม่คิดจะรอ เพราะความห่วงหลาน กลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เลยมาซักไซ้ตั้งแต่แขกยังไม่ออกจากบ้านด้วยซ้ำ เจ้าสองตัวก็อยากรู้ด้วย มันยืนมองเจ้านายทั้งสองด้วยสายตาใสซื่อ
“พอดีว่ามัทบังเอิญไปเห็น...”
ส่วนหลานก็รู้ว่ายายห่วง เลยรีบเล่าให้ฟังอย่างไม่ปิดบังทันที มือก็รินน้ำจากขวดใส่แก้วสองใบ หนึ่งสำหรับคนขับรถ ที่ยืนรออยู่หน้าบ้าน สองสำหรับคนเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ
“เฮ้อ! ค่อยโล่งอกหน่อย ยายนึกว่ามีอะไรหนักกว่านั้น...” ยายบุญมีต้องหยุดพูด เมื่อเห็นเจ้านายของหลานเปิดประตูห้องน้ำออกมา
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับคุณยาย แล้วก็ขอบคุณมากนะครับ ที่ให้ผมเข้ามาเปลี่ยนชุด”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดื่มน้ำตะไคร้เย็นๆ ก่อนนะคะ จะได้ชื่นใจ”
ยายบุญมียื่นแก้วให้ ส่วนมัทรียกอีกแก้วออกไปให้อีกคน ยังไม่ทันได้กลับเข้ามา จักรภัทรก็เดินถือแก้วตามออกไปเพราะความรีบ เขาดื่มจนหมด แล้วยื่นแก้วเปล่าให้เจ้าของมือบางพร้อมกับยิ้มให้
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณยาย เดี๋ยวจะไม่ทันนัด”
“เสียดายจังเลยนะคะ ยายเตรียมทำแกงเลียงไว้หม้อเบ้อเร่อ ถ้ารู้ว่าเจ้านายมัทมาด้วย จะได้รีบแกงแล้วจะได้ตักให้ไปกินบ้านหน่อย ยายทำอร่อยนะจะบอกให้”
เป็นนิสัยประจำของยายบุญมี ที่มักจะมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนรอบข้าง ยิ่งรู้ว่าเป็นเจ้านายของหลานด้วยแล้ว ยิ่งเต็มใจจะทำให้ใหญ่
“บ้านคุณเกียร์มีอาหารเยอะแยะแล้วจ้ะยาย”
คนเป็นหลานเลยรีบออกตัว เพราะกลัวยายจะเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ก็ในเมื่อบ้านเขานั้น อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ราวกับโรงแรมห้าดาว คงไม่สนแกงบ้านๆ ของยายอย่างแน่นอน
“แกงเลียงผมชอบกินครับคุณยาย ที่บ้านจะทำเป็นมื้อเย็นบ่อย ไว้โอกาสหน้าผมจะมาขอฝากท้องนะครับ แต่ตอนนี้คงต้องขอตัวก่อนครับ ต้องไปแล้วจริงๆ เดี๋ยวไม่ทันนัดครับ”
จักรภัทรรีบยกมือไหว้ยาย แล้วหันมารับไหว้หลานยาย ก่อนจะเดินออกประตูรั้วไปหารถ มีเจ้าของบ้านทั้งสอง เดินไปยืนส่งอย่างคนมีมารยาท กับเจ้าสี่ขาก็ทำตามเจ้านายไม่แพ้กัน
“เจ้านายมัทนี่หล่อจังเลยนะ ว่าแต่มีลูกมีเมียหรือยัง”
ยายบุญมีหันมาหาหลานสาว ขณะก้าวผ่านประตูรั้วบ้าน หลังเจ้านายหลานกลับไปแล้ว
“อืม! ไม่รู้สิจ๊ะยาย ไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย”
จากคำถามของยาย ทำให้คนเป็นหลานอดสงสัยไม่ได้เช่นกัน ว่าจนป่านนี้ทำไมเขายังไม่มีใคร หรืออาจจะแต่งงานแล้ว แต่คนในบริษัทไม่รู้ก็เป็นได้ แล้วก็ไม่รู้ทำไมถึงเกลียดข้อสันนิษฐานนี้นัก
“ถ้าไม่มีใครพูดถึง ก็แปลว่ายังไม่แต่งงานน่ะสิ คนรวยๆ ไม่แต่งงานเร็วหรอก กว่าจะหาเมียได้ ก็ต้องเลือกแล้วเลือกอีกนั่นล่ะ อยากรู้จังว่าจะสวยแค่ไหน นี่ขนาดยายปูนนี้แล้วยังเห็นว่าเขาหล่อเลย สาวๆ ไม่ตาค้างกันเป็นแถวเหรอมัท”
“ก็มีเหมือนกันจ้ะ อ้อ! มัทซื้อขนมจีนน้ำยากุ้งเจ้าประจำมาฝากยายด้วยนะ” มัทรีเดินไปเปิดกระเป๋าสะพาย เอาขนมจีนน้ำกับสตรอว์เบอร์รี่รีลูกใหญ่ๆ ออกมา ส่วนตัวเองมีสลัดทูน่า
“ยายเตรียมจะแกงเลียงไว้ รอมัทมาก่อนถึงจะทำ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเหอะ เดี๋ยวยายทำเสร็จแล้วจะได้ให้เอาตักไปส่งแถวนี้หน่อย ทำหม้อใหญ่เผื่อตักบาตรพรุ่งนี้ด้วย”
“จ้ะ”
แม้หลานจะรับปากไปอย่างนั้น แต่ยายคงไม่รู้หรอกว่า อาหารฝีมือยาย คนเป็นหลานแทบไม่รู้สึกถึงรสชาติอะไรเลย เพราะหัวใจกำลังอิ่มเอมกับความบังเอิญ ที่ทำให้ได้ใกล้ชิดกับชายในฝันอีกครั้ง และเชื่อแน่ว่า ไม่มีหญิงใดในบริษัท ประสบพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้เป็นแน่ ไม่งั้นคงจะต้องมีข่าวคราวออกมาให้ได้ยินแล้ว ในเมื่อสาวๆ ต่างพาคอยเกทับกันเป็นทิวแถว
กับเรื่องที่บังเอิญได้ใช้ลิฟต์ร่วมกับผู้บริหารหนุ่ม หรือบางครั้ง เกิดบังเอิญได้พบเจอเขาเดินไปกินมื้อเที่ยงในแคนทีน ซึ่งนานทีปีหนจะมีสักครั้ง และมัทรีก็ไม่เคยประสบพบเจอเลย เพราะคิวการกินของตัวเอง จะล่าช้ากว่าคนอื่น หรือต่อให้มีเหตุต้องให้ได้พบเจอเขาแบบบังเอิญมากกว่านี้ มัทรีก็ไม่คิดจะเอาไปโพนทะนาบอกใคร รังแต่จะเป็นผลเสียตามมามากกว่าผลดี
หนึ่งคือไม่มีใครจะเชื่อ สองคือถ้ามีคนเชื่อ อาจจะทำให้คนอื่นหมั่นไส้มากกว่า การอยู่เงียบๆ และถือคติที่ว่า ‘พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง’ มาแต่ไหนแต่ไรนั้น ก็ยังใช้ได้ผลดีเสมอ จึงจะขอเก็บเขาเข้ามาไว้ในความทรงจำเพียงเงียบๆ คนเดียว มีความสุขคนเดียวและฝ่ายเดียวเท่านั้น