CHAPTER 04
“คิดว่าพี่ไม่รู้อะไรขนาดนั้นเลย”
“...”
ไม่คิดแต่มันก็ผ่านไปนานแล้วเหลือกันไม่ใช่แผลสด ตอนนี้มันคงเหลือแค่รอยแผลที่ปิดสนิทไม่มีอะไรทำให้มันเปิดขึ้นมาอีกแล้ว เรื่องราวพวกนั้นก็จบลงโดยไม่มีใครเดือดร้อนนอกจากฉันคนเดียว
ฉันคนเดียวที่ได้รับทั้งความเกลียดชัง
ฉันคนเดียวที่ได้รับผลของมันทุกอย่างจากความเชื่อใจ
“โลกมันคงเหวี่ยงให้เรามาเจอกันอีกสินะซาน เด็กน้อยในวันนั้น”
“หยุด!”
“เด็กน้อยแสนซื่อ อ่อนต่อโลกหลงเชื่อคำพูดง่ายๆ ของเพื่อนเหี้ย”
“คุณมันก็ไม่ต่างจากเดนนรกพวกนั้นหรอก การกระทำเลวระยำกว่าตั้งเยอะ!”
“ก็ใช่” คนตรงหน้าฉันยักไหล่ทำท่าทางไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น จิตสำนึกอย่าถามเลยแค่นี้ก็ทำให้รับรู้แล้วว่าถ้าฉันเอ่ยปากถามจะได้อะไรกลับมาตอกหน้า “จะว่าอะไร ด่าออกมาก็ได้”
“จะทำอะไร!”
แต่แล้วตัวฉันเองที่เป็นฝ่ายตกใจจากการที่เขารวบมือทั้งสองของฉันด้วยมือเดียวก่อนที่จะใช้อีกมือหนึ่งเข้ามาลูบวนบนรอยแผลเป็นนั้น ยิ่งปลายนิ้วสัมผัสทุกความรู้สึกทุกการกระทำของคืนนั้นก็เข้ามาสู่หัวสมองน้อยนิดของฉันอีกราวกับว่าอยากฉายภาพคืนนั้นให้เห็นให้จดจำ
“...”
“ปล่อยหนูนะ ปล่อยไง!”
“เจ็บมั้ย?”
“หนูไม่เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่เจ็บเหมือนอย่างที่คุณคิดเลย”
“นั่นสินะ ตอนผ่า.... คงสลบ” เขาจงใจเว้นไว้จากนั้นก็พูดต่อ “คิดว่าไอ้ผู้ชายที่หนีมามันไม่เคยรับรู้เรื่องของเธอเลย”
“...”
เป็นไปไม่ได้แน่ๆ
“ใช่หรือเปล่า”
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
แต่แล้วไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกสายตาฉันไปมอง ความกลัวจับจิตจับใจเกิดขึ้นพร้อมกับร่างการที่มันต้องออกแรงประท้วงให้หลุดรอดจากพันธนาการของเขา การพยายามดิ้นให้หลุดก่อนจากนั้นค่อยคิดต่อว่าจะเอายังไงดีถ้าเกิดอีกฝ่ายที่เคาะประตูมีกุญแจสำรองในมือทุกอย่างต้องจบแน่
“ซานแกล็อคประตูทำไมเนี่ย”
ป้าอุ่น...
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
เสียงเคาะดังขึ้นถี่มากเพราะป้าอุ่นเล่นใส่รัวไม่ยั้งจึงกดดันให้ฉันต้องมองขึ้นไปสบตากับเขาอีกครั้งการสบตาแกมสื่อขอร้องว่าอย่าทำให้เรื่องราวมันยุ่งยากไปมากกว่านี้อีกเลยแต่แล้วรู้ไหมว่าสิ่งที่ฉันได้กลับคืนมาคือรอยยิ้มร้ายเหยียดยกขึ้นตรงมุมปากพร้อมกับการสื่อความหมายว่า...
‘ไม่ทำตาม’
‘เอามันให้รู้ไปเลย’
และนี่คือสิ่งที่ทำให้ฉันอยากจะบ้าตาย
“คุณปล่อยหนูก่อน”
“ไม่”
“แต่ป้าอุ่นมีกุญแจสำรองเข้ามาเห็นมันไม่ดี” การพยายามพูดด้วยเหตุผลสุดท้ายแล้วมือใหญ่ก็ปล่อยข้อมือฉันเป็นอิสระแต่ยังไม่ย้ายออกไป “คุณลุกไปสิ”
“นี่แกอยู่ในนั้นหรือเปล่าซาน”
“ยะ...” แค่นั้นฉันพูดได้แค่นั้นเพราะถูกกระชากให้กึ่งลุกกึ่งนั่ง ไม่สมควรเอ่ยออกไปสินะถึงได้จ้องเขม่นขนาดนั้นแล้วก็ไม่บอกกันดีๆ “นิ!”
“ทำตัวดีๆ”
แล้วการขู่เข็ญก็เข้ามาทำให้ตัวฉันแข็งนิ่งเพราะเวอร์ชั่นนี้ของเขาไม่ควรเข้าไปขวางเด็ดขาด การกระทำต่อมาที่เขาทำด้วยความรวดเร็วมากนั่นคือการลากฉันให้ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปยังหน้าตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างกันทันทีที่ประตูเลื่อนถูกเขาเปิดฉันก็รับรู้ตัวดีว่าต้องซ่อนอยู่ในนี้
อีกทั้งยังมีแรงดันร่างฉันอีก
“...”
“อย่าให้ได้เหลืออด”
สันกรามปูดนูนขึ้นเพราะเขากำลังระงับอารมณ์เต็มที่
“แต่หนู...”
การพยายามจะแย้งของฉันดูหมดหนทางหมดความหมายไปในทันทีเมื่อท่าทีแข็งกระด้างประกอบกับวาจาที่กำลังจะพ่นออกมานั้นไม่ทันให้ฉันได้พูดต่อได้เลย
“ซาน เธอคงรู้นะว่าต่อจากนี้มันจะเป็นยังไงถ้าทำให้พี่โกรธ”
“...”
ความพินาศย่อยยับตามมาเป็นพรวดนะสิทำไมฉันจะไม่รู้ ไม่มีอะไรปิดบังฉันได้หรอกโดยเฉพาะไอ้นิสัยเหล่านั้นถึงจากกันนานมันก็ยังทำให้ฉันจำได้ขึ้นใจไม่มีทางลบเลือนได้ทั้งนั้น ความเลวร้ายซึ่งกลายเป็นจุดด่างดำในจิตใจฉันต่อให้ทำความดีแค่ไหนก็ไม่สามารถทำอะไรไอ้จุดดำนั้นได้เลย
พยายามไปก็ไร้ค่า
เหมือนกับเรารู้ว่าตัวเองเป็นยังไงอยู่แล้วพอเอาทุกอย่างเข้ามาสาดใส่มันก็แค่นั้น พยายามแกล้งลืมเลือนแกล้งโหมงานหนักหน่วงยังไงสุดท้ายพอมาอีกวันมันก็กลับมาทำให้นึกถึงอยู่ดี ไม่มีอะไรมาทำให้ลืมได้หรอกนอกเสียจากว่าเราจะต้องปรับตัวอยู่ร่วมกันให้ได้
เหมือนที่ฉันพยายามทำอยู่ทุกวันนี้
แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ตลอด
“ฉะนั้นก็เงียบและนิ่งเฉยซะ”
“หึ...” ฉันเค้นเสียงออกมา
“เอาเลย เอาตามสบายเลยยังไงซะคุณมันก็เป็นจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอยู่แล้ว”
~คลื่น~
แค่นี้ประตูตู้ก็ถูกเลื่อนปิดลงความมืดมิดบวกกับความเงียบยิ่งทำให้ใจฉันหวั่นไหวรนลานไปหมด นิ่งเฉยสั่งมาได้ยังไงใครมันจะไปทำได้ในเวลานี้กันสุดท้ายฉันก็ได้ประชดออกไปแต่เนื่องด้วยเวลาหรือปัจจัยอื่นๆ ที่เข้ามาเขาจึงไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับฉันมั้งถึงตัดปัญหาด้วยการปิดประตูใส่หน้าแบบนี้
ทุกครั้งที่พยายามลุ้นถึงเหตุการณ์ด้านนอกหัวใจก็กระหน่ำเต้นระรัวไม่อยากนึกถึงมันเลยว่าสุดท้ายเหตุการณ์นี้จะลงเอยจบไปในรูปแบบไหนกันแน่ วุ่นวายหรือว่าเรียบร้อยเดาใจอีกคนซึ่งเป็นเหมือนผู้คุมซะตาเอาไว้หมดไม่ได้เขาอยากให้มันเป็นดั่งที่ใจของคิดไม่สนความเดือดร้อนของใครแม้กระทั่งฉันเองก็ตาม
ที่แน่ๆ
ถ้าป้าอุ่นเห็น เขาไม่ปฏิเสธ ฉันวุ่นวายที่สุด
แต่ถ้าตรงกันข้ามฉันก็รอด เรื่องวันนี้ก็คงเป็นความลับต่อไป
~คลื่น~
อ้าว...
แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ต้องงงงวยมากกว่าเดิมคือประตูตู้ถูกเคลื่อนเปิดออกทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมองสบตาคู่นั้นของเขาอีกทว่ากำลังจะเอ่ยปากถามเสื้อคลุมก็ถูกขว้างโยนควบลงบนศีรษะทันทีจากนั้นประตูตู้ก็เคลื่อนปิดลง
กลิ่นนี้
ไม่เคยลืมเลือน
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเฉกเช่นเสื้อตัวโคร่งผืนนั้นที่อยู่บนตัวฉันเมื่อหลายปีก่อน
นั่นใคร... ทำไมสายตาเขาสวยจัง
มันก็เป็นธรรมดาเมื่อคนเราได้มองไปพบเจอผู้คนแต่คนที่ฉันกำลังมองอยู่ในขณะนี้เขาช่างสมบูรณ์แบบเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาส่วนสูงเกินร้อยแปดสิบแน่ๆ การแต่งตัวที่ไม่เหมือนคนปกติทั่วไปเพราะดูทั่วเนื้อตัวของแพงทั้งนั้นทั้งที่เป็นแค่วัยรุ่น
“จ้องตาเป็นมันเลยนะอีซานชอบอ่ะดิ เห็นเขาบอกว่ามาเที่ยวอ่ะ” ฉันละสายตาจากเขาเพื่อมามองพี่มิ้นลูกเจ้าของร้านขายของชำหน้าปากซอย “กลุ่มพวกพี่เขาสุดๆ โคตรของความหล่อว่ามั้ยอีซาน”
“ก็...”
“ทำเป็นเรียบร้อยนะมึง!”
ศีรษะของฉันเอียงไปอีกทางตามที่ถูกพี่มิ้นดัน
“ซานแค่มาซื้อของค่ะพี่มิ้น”
“เร็วๆ ซื้อมัวอ่อยอยู่นั้นแหละ เห็นเงียบๆ ฟาดเรียบหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ไม่ใช่ฉันแน่ ถึงผู้ชายคนนั้นจะรูปหล่อแค่ไหนแต่ฉันก็ไม่คิดอะไรแบบนั้นกับคนที่ตัวเองได้เห็นแค่ไม่ถึงนาทีอีกอย่างไม่ได้พูดจาหรืออ่อยด้วยซ้ำ
“ซานซื้อ...”
“น้ำเปล่าขวดเท่าไหร่ครับ?”
แต่แล้วประโยคของฉันหยุดชะงักไม่สามารถพูดอะไรต่อเนื่องจากมีลำแขนใหญ่ยื่นขวดน้ำจากด้านหลังเกือบสัมผัสกับหัวไหล่ฉันแล้วตอนนี้ถ้าฉันขยับตัวหน่อยมันต้องสัมผัสกันแน่ๆ
นิ่งไว้ไอ้ซาน
ท่องไว้ใจเย็นๆ
“10 บาทค่ะ” พี่มิ้นตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ส่วนแกจะซื้ออะไรอีซาน”
“เอ่อ... ซะ ซื้อมาม่า 1 ซองค่ะพี่มิ้น”
“รอ”
ฉันรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ มาตรฐานการบริการของพี่มิ้นทั้งคำพูดจาการกระทำต่างกันโขดมากถึงมากที่สุดแต่ก็สมควรแล้วแหละ
“ไม่ต้องทอนครับคิดรวมมาม่าซองนั้นได้เลย”
แค่นี้ฉันก็หันตัวขวับมองผู้ชายคนดังกล่าวที่เปิดขวดน้ำยกขึ้นดื่มไม่สนใจสายตาใคร การดื่มน้ำที่ทั้งเท่ราวกับเป็นพรีเซนเตอร์เองขนาดนั้นและแล้วสายตาเขาก็สบตากับฉันแบบระยะห่างที่ใกล้กว่าเมื่อก่อนหน้า แบบนี้เป็นฉันเองที่โคตรประหม่ากำเหรียญในมือแน่น
“ชื่อซานเหรอเรา ชื่อเหมาะกับตัวดี”
“...”
ครั้งแรกที่ชื่อฉันถูกชม
ครั้งแรกที่มีคนเอ่ยเรียกซานโดยไร้คำไอ้อีนำหน้า
ครั้งแรกที่มีคนส่งยิ้มให้ทั้งที่ฉันเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา
“อีกอย่างก็ so cute”
“...”
So cute
งั้นเหรอ...
ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเกร็งขนาดไม่กล้าสบสายตากับคนตรงหน้า การที่ได้แต่หลุบมองไปยังรองเท้าของเขาซึ่งมันก็สวยและก็แพงนั้นฉันแทบจะไม่กล้าทำอะไรเลยนอกจากเงียบนิ่งเก็บความรู้สึกต่างๆ มากมายเอาไว้ภายใต้ร่างกายของตัวเอง
“แถมขี้เขินด้วย”
ยิ่งไปกันใหญ่กับประโยคนี้
ฉันไม่ได้ขี้เขิน ไม่ได้เป็นแบบนั้นสักนิดเลยนะ
“...”
“แก้มแดงเชียว”
“อีซานมาม่าเอาไป มือมีตีนไม่หัดหยิบเอาเอง”
แต่แล้วเสียงของพี่มิ้นก็ดังขึ้นขัดจังหวะอึกอัดพวกนั้นดีนะ มันดีมากๆ เลย ฉันจึงหันหน้าไปหาพี่มิ้นเพราะไม่อยากโดนว่าให้อีกแล้วแค่นี้เธอก็เกลียดฉันเข้ากระดูกดำโดยไม่ทราบสาเหตุถ้าขืนยืนหันหลังให้ในขณะที่เธอพูดเธอต้องเอาไปประจานใส่สีตีไข่อีกแน่
แค่นี้ก็เข็ดแล้ว
ไม่อยากอยู่นานๆ
“...”
“เป็นอะไรไปอีกใบ้หรือไงหรือนึกว่าตัวเองเป็นคุณหนูบ้านนอกถึงโดนผู้ชายหล่อแซวนิดแซวหน่อยตัวอ่อยปวกเปียกเอียงอาย ทำอย่างไม่เคยนะมึงอีซาน!” พูดจบมาม่าซองเล็กก็ถูกโยนตรงมาให้ฉันดีนะที่รับทัน “รีบไสหัวมึงไปเลยนะ เห็นหน้าแล้วหมั่นไส้!”
“ค่ะๆ”
“ไปสิ!”
นาทีนั้นถ้าไม่รีบออกจากร้านฉันคงโดนเละมากกว่านี้แน่จึงรีบเผ่นออกมาก่อนดีกว่าโดยไม่สนใจมองไปทางผู้ชายคนนั้นอีกแต่ได้ยินเสียงพี่มิ้นพูดจาดีกับเขามากชนิดที่เรียกว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแทน
ในขณะที่ฉันเดินไกลออกจากร้านมาเรื่อยๆ เสียงบทสนทนาของทั้งสองคนก็เบาลงตามกันไปพอห่างออกไปทุกทีๆ สุดท้ายไอ้ประโยครั้งท้ายที่ได้ยินก็คือ
ถ้าทำให้จะได้เท่าไหร่...
ประโยคของพี่มิ้นที่มีน้ำเสียงกึ่งท้าทาย
ซึ่งวันนั้นเมื่อสองปีฉันไม่รู้
แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าวันนั้นไอ้ประโยคนั้นมันคืออะไร
รู้แล้วว่ามันหมายความว่าอย่างไร
การเป็นบุคคลที่สาม เป็นเป้าหมาย เป็นคนโง่และเป็นเหยื่อให้คนพวกนั้นเอ่ยพูดจาถึงโดยที่พวกเขาไม่ได้หวังดีกับเราสักนิดเดียว การโดนหลอกด้วยการเอาความเชื่อเข้ามาเป็นสื่อจากนั้นทุกคนก็หักหลังฉันอย่างเลือดเย็นไร้ความปรานีใดๆ และฉันก็ไร้การต่อสู้ต้อกรกับพวกเขา
มันโคตรทุเรศสิ้นดี
น่าสมเพชตัวเองเป็นที่สุด
และมันก็ฝังใจฉันมาจนถึงทุกวันนี้ว่าอย่าให้ความเชื่อใจใครง่ายๆ สุดท้ายมันมักกลับมาทำร้ายเราเอง
ก๊อกๆ ก๊อกๆ ก๊อกๆ
ความคิดของฉันถูกคั่นด้วยเสียงรัวการเคาะประตูของป้าอุ่นจะไม่ตื่นเลยถ้าฉันไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องของเขาดังขึ้น ความเงียบเกิดขึ้นภายนอกซึ่งเดาได้ไม่อยากว่าป้าอุ่นต้องอึ้งอยู่แหงๆ
ทำอะไรไม่ถูกใช่ไหมป้าอุ่น
ฉันเองตอนนี้ก็เหงื่อท้วมตัวมือเปียกชื้นไปหมดเพราะลุ้น
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“เอ่อ...”
“มีผมคนเดียวอยู่ในห้องนี้ครับ จัดการบอกเลขาให้ผมทีหน่อย”
“หรือว่า...”
“ครับ ผมประธาน...”
“สวัสดีค่ะ ขอโทษทีนะคะ พอดีลูกน้องดิฉันทำความสะอาดห้องนี้ในตอนเช้านึกว่ายังไม่เสร็จจึงเสียมารยาทเคาะรัวเพราะห่วงเธอนิดหน่อย” ดูเหมือนป้าอุ่นไม่ฟังการแนะนำตัวของอีกฝ่ายเพราะป้าอุ่นต้องรู้มาก่อนแน่ๆ ไม่งั้นจะขอโทษขอพายขนาดนั้นเหรอ ข่าวการมาของเขาดังระเบิดในกลุ่มพนักงานขนาดนี้ “ร่างกายเธอไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่ค่ะแต่ทำงานได้เต็มร้อยนะคะท่าน”
“อ๋อ... ครับ”
เสียงรับราบเรียบเหมือนเดิม
“เดี๋ยวดิฉันจัดการที่สั่งให้ค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะ”
“ไม่เป็นไรฝากจัดการอีกเรื่องผมชอบห้องนี้ อยากมาทำงานห้องนี้กรุณาบอกเลขาให้หน่อย”