“คุณหนึ่ง...”
รัฐศาสตร์นี่ตายยากจริงอะไรจริง เธอแค่นินทาเขาในใจมาตลอดทั้งทางแค่นี้ ก็กลายเป็นว่าในบรรดาคนสามคนที่เธออยากเจอที่สุด เธอได้เจอเขาก่อนใครเลย
“เฮ้ย ! ระวังสิวะ”
โครม !!!
ไม่ทันแล้ว แม้รัฐศาสตร์จะบอกให้เธอระวัง แต่รถจักรยานคันเก่าที่ยางแบนตะแล้ดแต๊ดแต๋มาแต่แรกเพราะไม่มีคนใช้งานนัก แถมยังถูกเธอซอยปั่นมาด้วยความเร็วสูง เมื่อถึงคราวที่ต้องเบรกกะทันหันมันจึงเสียหลักแถลงข้างทางแบบนี้
“อูย ซี้ด เจ็บฉิบเป๋ง”
“แกนี่น้าไอ้หญ้า จะมีสักครั้งมั้ยฮึที่เจอหน้ากันแล้วจะไม่เจ็บตัวน่ะ” รัฐศาสตร์ยืนกอดอกแล้วส่ายหน้าช้าๆ ไม่แม้แต่จะยื่นมือไปช่วยเจ้าตัวจุ้นที่นั่งคลุกฝุ่นร้องซี้ดอ๊าซี้ดอ๊าอยู่ที่พื้น
“ก็นายนั่นแหละที่เตือนหญ้าช้า อูย...”
ญาติกายังร้องโอดโอยไม่เลิก ก็มันเจ็บจริงๆ นี่ แสบไปหมดทั้งแขนทั้งขาโดยเฉพาะที่ข้อศอก สงสัยต้องถลอกแหงๆ
“เอ้า ความผิดฉันอีก”
“ว้าย ! ตายแล้ว ! ทำไมคุณหนึ่งไม่ช่วยน้องคะ” พนักงานบัญชีสาวที่ในอ้อมอกยังกอดแฟ้มงบดุลของไร่อยู่แทบจะถลาเข้าไปดูเด็กสาว เมื่อก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงโครมครามเอะอะอยู่หน้าสำนักงาน แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น
“แค่นี้มันไม่ตายหรอกน่าว่าน ไอ้หญ้ามันหนังเหนียวฟันแทงไม่เข้าเพราะหลวงตามั่นปลุกเสกยันต์กระโดกกระเดกไว้ให้ตั้งแต่เด็ก” รัฐศาสตร์อ้างไปถึงหลวงตามั่นที่เป็นญาติห่างๆ ของตัวเอง และท่านก็เป็นคนเก็บเด็กสาว
ญาติกามาเลี้ยงตั้งแต่ที่พ่อหรือแม่เด็กหญิงเอามาวางทิ้งไว้ที่หน้าวัดเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
“จริงด้วยพี่ว่าน หญ้ายังไม่ได้ตายสักหน่อยนะ”
มีกังวานค้อนเข้าให้ ทีเรื่องเฉไฉไร้สาระนี่พอกันทั้งพี่ทั้งน้อง เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว ทำเหมือนก่อนหน้านี้เสียงที่ทุ่มเถียงกันไปมาไม่ใช่ของทั้งสองคนเองอย่างนั้นแหละ… นี่ละมั้งที่โบราณสักยุคเขาเคยว่าไว้ ‘ยามศึกเราร่วมรบ ยามสงบเราตีกันเอง’
“เอาเถอะๆ ลุกขึ้นมาเร็ว ลุกไหวหรือเปล่าล่ะเรา”
“ไหวจ้ะพี่ว่าน”
“ปัดฝุ่นปัดเศษไม้ใบหญ้าบนหัวด้วยนะ แล้วก็ตามพี่เข้าไปข้างในเดี๋ยวจะทำแผลให้”
รัฐศาสตร์มองพนักงานคนสำคัญแล้วนึกอยากแกล้ง พอสั่งเสร็จสรรพเจ้าหล่อนก็หอบแฟ้มกลับเข้าข้างในทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นคนอาสาจะไปเป็นเพื่อนเขาเจรจาทำสัญญากับร้านปุ๋ยชีวภาพที่เพิ่งดีลงานกันได้เมื่อสองวันก่อนแท้ๆ
“พี่ว่านนี่เผด็จการขึ้นเยอะเลยนะนาย” ญาติกาเดินกะเผลกเข้ามากระซิบกระซาบกับรัฐศาสตร์
“นี่ยังน้อย พักนี้ไม่รู้เป็นอะไรพี่สะใภ้แกถึงเหวี่ยงเช้าเหวี่ยงเย็น ล้อนิดหยอกหน่อยก็ไม่ได้”
เขาอุปการะญาติกาต่อจากตาและยายตั้งแต่เด็กสาวอายุยังไม่ถึงสิบขวบดี คนในไร่ทุกชีวิตต่างรู้กันว่าหญิงสาวเปรียบเสมือนนายอีกคนของที่นี่ เป็นน้องสาวต่างสายเลือดของเขา บังคับขู่เข็ญให้เรียกพี่เรียกน้องกันมานานแต่
ญาติกาเอาแต่พูดประมาณว่าขอยกเขาไว้เหนือทุกคน เป็นผู้มีพระคุณและเป็นนายเหนือหัวไปชั่วชีวิต
... แต่ก็น่าตลกดีที่เจ้าหล่อนกับมีกังวานเมียเขาสนิทสนมกลมเกลียวราวพี่น้องที่พลัดพรากจากกันมานานแสนนาน ญาติกาบอกว่าเขาคือเจ้าชีวิต แต่คงลืมคิดไปว่านายเหนือหัวอย่างเขาเทิดทูนเมียแบบประเคนให้ได้ทุกอย่าง
ญาติกาควรรู้ว่าพี่สะใภ้ของเจ้าหล่อนนั่นแหละคือผู้มีอำนาจตัวจริง
“ว่านได้ยินนะคะคุณหนึ่ง”
“โอ๋ๆ ผมไม่ได้นินทาว่าร้ายอะไรเมียเลยครับ แค่สงสัยว่าก็ไหนว่านบอกจะออกไปข้างนอกกับผมไม่ใช่เหรอ มัวมาทำแผลให้เจ้าเด็กทโมนเดี๋ยวก็ได้สายกันทั้งคู่”
“กลับลำเร็วจริงนะนาย” ญาติกากระแซะไล่หลังคนที่เดินเข้าไปโอบเอวออเซาะเมียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“จริงด้วยสิคะ ว่านลืมไปซะสนิท...” มีกังวานหยุดคิดก่อนจะนึกหาทางออกที่สวยงามให้กับเรื่องนี้ได้แล้ว “เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวว่านวานคุณสิงห์ทำแผลให้น้องหญ้าหน่อยนะคะ ปล่อยทิ้งไว้เดี๋ยวบาดทะยักจะกิน มีรอยแผลเป็นติดตัวอีก เป็นสาวเป็นนางเรื่องความสวยความงามสำคัญมาก มองข้ามไม่ได้เลย”
อันที่จริงญาติกาสังเกตเห็น ‘คุณสิงห์’ ที่พี่ว่านเรียกตั้งแต่ตอนที่ล้มกลิ้งอยู่หน้าออฟฟิศเล็กๆ แห่งนี้แล้ว เพราะที่นี่ร่มรื่นเย็นสบาย ต้นไม้สูงใหญ่รายล้อมโดยรอบ ผนังออฟฟิศหรือจะเรียกว่าห้องเล็กก็ได้กรุด้วยกระจกรอบด้าน ตกแต่งด้วยผ้าม่านสีชมพูพาสเทลซึ่งแทบไม่ต้องเดาเลยว่าใครเป็นคนเลือกสีเลือกลายถ้าไม่ใช่เจ้าของไร่ตัวจริงอย่างพี่ว่าน ‘เมียคุณหนึ่ง’
ขนาดเขาก้มหน้าง่วนอยู่กับกองเอกสารเป็นตั้งเธอก็ยังเห็นว่าเขาดูดีเพียงใด ผมสีดำขลับยาวระมาถึงต้นคอปรกหน้าจนแทบไม่เห็นคิ้วหรือลูกกะตา น่าจะเพราะเอาแต่มุทำงานลืมดูแลตัวเองเหมือนทุกทีนั่นแหละ สมัยก่อนยังมีเธอคอยดูแล จัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ทั้งเรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องส่วนตัวทุกอย่างรวมถึงกันท่าผู้หญิงขี้อ่อยทั้งหลายที่คอยแต่มาทอดสะพานให้เขาด้วย
‘ประหม่าจังวุ้ย’
ก็เธอไม่ได้เจอกับเขาคนนั้นมาตั้งหลายปีแล้วนี่ และนั่นก็เป็นความต้องการของเธอเอง หนึ่งปีก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการเธอขออนุญาตรัฐศาสตร์ไปเรียนกวดวิชารวมถึงการเรียนรู้ความเป็นอยู่ในเมืองหลวง สี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยเธอแทบไม่เคยกลับมาที่นี่เลยนอกจากจะมีเหตุสำคัญจริงๆ เท่านั้น และทุกครั้งที่มาก็เลี่ยงที่จะเจอหน้าเขาคนนั้นจนเกินความจำเป็น
ใช่ว่าไม่คิดถึงโหยหา เธอมีความคิดแน่วแน่มาตั้งแต่เริ่มรู้ความว่ารักชอบเขา ทั้งหวงห่วงและอยากอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต แต่เขาสิมองเธอเป็นแค่เด็กกะโปโล เป็นน้องสาวที่ต้องดูแล ไม่เคยมองเป็นอย่างอื่นมากกว่านั้น การอยู่ให้ห่างให้ไกลกันเข้าไว้อาจทำให้เราทั้งคู่มีระยะห่างจากกันจนพอดี ไม่ใกล้สายตาเกินไปเหมือนแต่ก่อน ระหว่างที่อยู่ไกลบ้านเธอก็หมั่นฝึกฝนตัวเองเพื่อให้เป็นคนที่ดีขึ้น สวยขึ้น ศึกษาเรียนรู้วิธีการที่จะเป็นภรรยาที่ดีที่สุดของใครสักคน เพื่อจะได้กลับมาอยู่กับเขาคนนั้น ได้ดูแลและรักเขาตลอดไป
“อื้อ ว่านไปเถอะ”
เขาตอบรับมีกังวานทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองสรรพสิ่งรอบตัวด้วยซ้ำ มันน่าน้อยใจชะมัด !
“นายสิงห์...” เธอเด็กกว่ามาก ทักทายยกมือไหว้เขาก่อนก็คงไม่น่าเกลียด สำหรับเธอ ‘นาย’ คือรัฐศาสตร์หรือคุณหนึ่ง แต่ถ้าเป็น ‘นายสิงห์’ นั่นคือยอดดวงใจ
“กลับมาก็ดีแล้ว จะได้มาช่วยกันดูแลไร่”
สิงห์คบเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารได้สักที และพอได้เห็นชัดๆ ความคิดถึงที่อัดแน่นอยู่ในอกมานานก็เหมือนจะปะทุระเบิดออกมาเป็นน้ำตาแห่งความดีใจ แม้เขาจะไว้หนวดไว้เคราตอสั้นๆ แต่ก็ครึ้มเขียวน่ารำคาญลูกตาปิดบังใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าอายุที่แท้จริงของตัวเอง กินพื้นที่เกือบครึ่งค่อนหน้า แต่มองมุมไหนนายสิงห์ของเธอก็ยังดูดีเหนือใครๆ