วันนี้เป็นวันที่ 3 ที่เธออยู่ที่อุดรแล้วและก็เป็นวันสุดท้ายที่เธอมาเป็นอาสาสมัครกับเขาที่นี่
เธอคิดว่าการตื้อเท่านั้นที่จะครองโลก ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกตกใจกับเรื่องเมื่อวาน ตอนที่เขาจูบและก็รู้สึกไม่อยากเข้าใกล้เขา แต่นี่เป็นเหตุผลเดียวที่จะช่วยพ่อเธอได้
“หมอคะ นี่ค่ะของที่หมอต้องการ”
อรพรรณีเดินถือของที่หมอศินวิทย์ต้องการเข้ามาให้ เขาเงยหน้าขค้นมามองแล้วก็ทำหน้างง
“นี่เธอยังอยู่อีกหรอ...?”
“อยู่สิคะ จะให้หนูไปไหนละ”
“เธอนี่มันเป็นเด็กแบบไหนกันแน่ ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ...”
“ถ้าหมออยากรู้ หมอก็ต้องลองเปิดใจคบกับหนูค่ะ หมอถึงจะรู้จักหนูมากขึ้น”
“ฉันไม่อยากคุยกับเด็กกะโปโลอย่างเธอ จะไปไหนก็ไป”
“หนูไม่ไปค่ะ เพราะหนูมีหน้าที่คอยอยู่ช่วยหมอ คอยดูว่าหมอต้องการอะไรหนูจะได้ช่วยได้ทัน”
“งั้นก็ไปอยู่ให้ไกลๆสายตาฉัน ฉันจะทำงาน”
เธอเดินห่างออกไปเล็กน้อยแล้วไปนั่งลงที่เก้าอี้อยู่ไม่ห่างจากเขานัก เขามองมาอย่างนึกรำคาญที่มีเด็กไม่รู้จักคิดมาทำแบบนี้ใส่ จริงๆเขาแก่กว่าเธอมากเกินกว่าที่จะเข้าใจสิ่งที่เธอทำตอนนี้
“หนูมาหาหมอค่ะ หมออยู่ไหนคะ หมออยู่ไหมคะ...?”
เสียงเด็กผู้หญิงจากข้างนอกดังเข้ามาในบ้านพักที่เขานั่งทำงานอยู่ โดยมีอรพรรณีที่นั่งเฝ้าเขาหันไปมองตามเสียง
“หมอครับ มีเด็กผู้หญิงมาร้องไห้โวยวายอยู่หน้าห้องตรวจครับ...”
บุรุษพยาบาลท่านหนึ่งเดินเข้ามา อรพรรณีนึกขึ้นได้ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นคนที่มาเมื่อวานแน่ๆเธอจึงรีบวิ่งออกไปดู
“หมออยู่ไหนคะ หมออยู่ไหน...?”
“น้องคะ...”
“พี่สาว พี่บอกว่าจะพาหมอไปหาพ่อหนู ทำไมไม่ไปคะ...? หนูรอทั้งคืนเลย ให้หมอไปดูพ่อหนูทีนะคะ นะคะพี่”
“เอ่อ...”
“นะคะ ช่วยพ่อหนูที หนูอยากให้หมอไปรักษาพ่อของหนู นะคะพี่ อึกๆๆ”
เด็กผู้หญิงร้องไห้อ้อนวอนเธอจนเธอเริ่มเห็นใจ
“มีอะไร...?”
หมอศิรวิทย์เดินออกมาจากห้องห้องตรวจ
“คุณหมอ...คนนี้คุณหมอใช่ไหมคะ คุณหมอไปช่วยพ่อหนูทีนะคะ..?”
“ค่อยๆพูดนะหนู บอกหมอก่อนว่าพ่อหนูเป็นอะไร..?”
“พ่อโวยวายเสียงดัง แล้วก็ทำลายข้าวของ เมื่อกี้แม่เอาพ่อขังไว้ในบ้านแต่พ่อก็จะเอามีดมาทำร้ายตัวเอง พวกเราไม่กล้าเข้าไปห้ามค่ะ หนูกลัวหนูกลัวว่าพ่อจะตาย อึกๆๆ”
อรพรรณีได้ยินแล้วก็รู้สึกสงสารเด็กคนนี้มากๆ เธอหันไปรอฟังคำตอบจากหมอศิรวิทย์ว่าเขาจะทำยังไง
“ได้..หมอจะไปเดี๋ยวนี้เลย หนูนั่งรถไปกับหมอนะ..”
“ค่ะ..”
แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปก็หันมาสั่งคนแถวนั่นให้แจ้งความแล้วขับรถตามไปสมทบ
“ใครก็ได้ช่วยแจ้งตำรวจให้ตามไปที่บ้านของเด็กคนนี้ด้วยนะ เผื่อเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นจะได้ช่วยกันจัดการได้ทัน..”
“ครับ..คุณหมอ..”
หมอศิรวิทย์พูดจบก็วิ่งนำทุกคนไปที่รถ มีรถ 2 คันขับตามกันออกไปโดยมีฉันนั่งไปด้วย
“อย่าเข้ามานะ ใครเข้ามากูจะเอามีดแทงตัวเองให้ตายเลย”
พ่อของเด็กคนนั่นโวยวายเสียงดังออกมา
“แม่ๆ หมอมาแล้ว”
“แกไปตามหมอมาทำไม บอกแล้วไงไม่มีใครช่วยได้ พ่อแกมันบ้าไปแล้วตำรวจเขายังไม่รับแจ้งความเลย บอกแต่ว่าพ่อแกเป็นบ้าให้พาไปอยู่โรงบาล โอ้ยย...ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว”
แม่ของเด็กคนนั้นร้องไห้โวยวายด้วยความเสียใจที่ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
“เราไม่มีเงินพาพ่อไปอยู่โรงพยาบาล ยาเราก็ไม่ได้ไปเอาเพิ่มพ่อเลยต้องเป็นแบบนี้ หนูไม่อยากให้พ่อเป็นแบบนี้เลย หนูอยากให้พ่อหายเป็นปกติ แต่เราไม่มีเงินพาพ่อไปหาหมอค่ะ อึกๆ”
เด็กผู้หญิงคนนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้นพูดอธิบายออกมาให้หมอศิรวิทย์ฟังด้วยเสียงสั่นเครือ อรพรรณีมองเธอด้วยแววตาที่ดูน่าสงสาร
“คุณครับฟังหมอนะ คุณใจเย็นๆนะครับตั้งสติก่อน ลูกสาวของคุณอยู่ข้างนอกเขาเป็นห่วงคุณมากนะครับ....”
“ไม่ต้องมายุ่งกับกู..พวกมึงจะมาจับตัวกู กูไม่ไปไหนทั้งนั้น กูไม่ไป.....”
หมอศิรวิทย์ตะโกนเข้าไปในบ้านแล้วก็มองเข้าไปในช่องประตูเล็กๆ คอยดูพฤติกรรมของพ่อเด็กคนนั้น
“พ่อจ๋า พ่อ...พ่อ อึกๆๆ ฮืออออ...”
อรพรรณีเดินเข้ามากอดเด็กผู้หญิงคนนี้ไว้เพื่อปลอบใจ แล้วคอยมองดูสถานการณ์ตลอดเวลาอยู่ใกล้ๆเขา
“คุณวางมีดลงก่อนนะ แล้วเราค่อยๆคุยกัน”
“ไม่ กูไม่วาง อย่ามายุ่งกับกู”
อรพรณีคอยฟังเหตุการณ์ไปด้วย มองไปรอบๆบ้านด้วยเห็นภาพครอบครัวพวกเขาแขวนอยู่ที่ผนังมีพ่อแม่ลูกถ่ายด้วยกัน 3 คน มันมีหลากหลายอารมณ์มาก พ่อที่ถ่ายกับลูกสาว แม่ที่ถ่ายกับพ่อ จนเธอสัมผัสได้ว่าเขาต้องรักครอบครัวมากแน่ๆ แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงเป็นแบบนี้
“พวกมึงจะเอาหนูดีไปจากกู พวกมึงคิดว่ากูบ้าแล้วจะพรากลูกไปจากกู”
“พ่อจ๋า พ่อจ๋า...อึกๆๆๆ”
อรพรรณีมองหน้าเด็กผู้หญิงคนที่อยู่ในอ้อมกอดเธอ แล้วรู้ทันทีว่าคนที่ผู้ชายคนนั้นพูดถึงคือเด็กคนนี้
“หนูดี...?”
เธอเรียกชื่อเด็กผู้หญิงคนนี้
“อึกๆๆ...”
“หนูดีกลัวพ่อไหม...?”
อรพรรณีนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ แล้วถามเธอขึ้น เธอส่ายหน้าทั้งน้ำตาแทนการตอบว่าเธอไม่กลัว
“ถ้าหนูดีเข้าไปหาพ่อตอนนี้หนูกล้าไหม...?”
ทุกคนหันมามองตามสิ่งที่เธอพูดเพราะตกใจทั้งคำถามของเธอและคำตอบของหนูดีด้วย
“คุณจะบ้าหรอ ให้ลูกฉันเข้าไปตอนนี้พ่อมันได้ทำร้ายหนูดีแน่ๆ ยิ่งไม่มีสติอยู่”
“คุณไม่ได้ยินหรอคะ ว่าเขาพูดชื่อหนูดี...แปลว่าเขาต้องรักลูกมากแน่ๆ ถ้าเขาได้เห็นหน้าหนูดีเขาอาจจะสงบลงก็ได้”
“....”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างคิดตามที่เธอพูด
“หนูดีเป็นลูกสาวที่พ่อเขารักมากก็จริง แต่ฉันก็ไม่กล้าเสี่ยงให้ลูกฉันเข้าไปหรอกนะ”
“แล้วถ้าเราไม่ทำแบบนี้คุณอาจจะสูญเสียพ่อของหนูดีไป แล้วตัวคุณเองก็จะเสียสามีของคุณไปด้วยนะคะ”
“กรี๊ดดด...พ่ออย่าาาา....”
ทุกคนรีบหันไปมองตามเสียงที่หนูดีกรี๊ดเสียงดัง เพราะเห็นว่าพ่อตนเองกำลังจะใช้มีดกรีดไปตามเนื้อตัวเองแต่พอได้ยินเสียงหนูดีก็ชะงัก
“เห็นไหมคะว่าเขาหยุดจริงๆด้วยเมื่อได้ยินเสียงหนูดี เราต้องเสี่ยงแล้วค่ะ ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ปล่อยไว้นานๆเขาอาจทำอะไรรุนแรงกับตัวเองอีกแน่ๆ...”
“แม่ หนูดียอม หนูดีจะเป็นคนเข้าไปห้ามพ่อเอง...”
หนูดีหันมาบอกกับทุกคนด้วยแววตาจริงจัง ถึงเธอจะเป็นเด็กแต่เธอก็ดูมีความกล้าพอที่จะเข้าไปเสี่ยงแบบนั้นเพื่อพ่อตัวเอง
“ถ้าแกเข้าไปฉันก็จะเข้าไปด้วย ถ้าพ่อแกทำอะไรแกเราจะได้ตายไปพร้อมๆกันเลย...”
ทั้งหมดมองหน้ากันด้วยความหดหู่ แต่ก็ต้องยอมทำตามที่อรพรรณีพูดเพราะคิดว่านี่น่าจะได้ผลที่สุดแล้ว
ทั้งหมดรอลุ้นอยู่หน้าประตูปล่อยให้ 2 แม่ลูกเข้าไปด้วยกัน โดยมีสายตาของอรพรรณีมองอยู่ตลอดเวลาเธอลุ้นไปด้วยว่า พ่อของเขาจะทำร้ายทั้ง 2 คนไหม เขาจะยอมใจอ่อนมีสติแล้วควบคุมมันได้ไหมถ้าหากเจอคนที่รักมากๆ และในที่สุดแผนการของเธอก็เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ จนทุกคนยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ
พ่อของหนูดีมีสติมากขึ้นเมื่อเจอหน้าลูกสาวที่กำลังร้องไห้เรียกแต่พ่อจ๋า พ่อจ๋า ไม่หยุด เห็นหน้าภรรยาที่ร้องไห้พูดอ้อนวอนให้เขาวางมีดลง น้ำตาของหนูดีและท่าทางที่ดูเหมือนกลัวพ่อตัวเอง แต่ก็ยังกล้าเข้าไปใกล้เพราะเป็นห่วงพ่อ
ท่าทางพวกนี้เหตุการณ์แบบนี้เธอรู้ว่ามันรู้สึกยังไง น้ำตาที่เริ่มไหลออกมาของอรพรรณีทำให้หมอศิรวิทย์ที่มองอยู่ถึงกลับละสายตาไม่ได้ เขาทึ่งในสิ่งที่เธอกล้าคิดกล้าตัดสินใจ และเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้เขามองเธอเปลี่ยนไปจากเดิม
เหตุการณ์จบลงด้วยดีพ่อของหนูดีถูกพาไปรักษาที่โรงพยาบาล โดยมีหมอศิรวิทย์ออกค่ารักษาพยาบาลให้ทุกอย่างจนกว่าเขาจะหายดี ทำให้อรพรรณีตกใจที่เขาช่วยเหลือคนไข้ได้ถึงขนาดนี้ หรือว่าเธอจะเปลี่ยนแผนเป็นทำตัวให้น่าสงสารเพื่อให้หมอศิรวิทย์ออกค่ารักพยาบาลให้พ่อเธอบ้าง
.....
ช่วงเย็น
หมอศิรวิทย์เริ่มสังเกตุเห็นว่าอรพรรณีดูเงียบๆไปตั้งแต่กลับมาจากบ้านของหนูดี แล้วเธอก็ดูเหม่อลอยเหมือนมีอะไรคิดในใจ
“นี่เธอ...”
เขาเดินเข้าไปทักเธอที่เห็นนั่งเงียบคนเดียวหน้าห้องพัก
“คุณหมอ...”
เธอสะดุ้งทันที่รู้ว่าเป็นเขาที่เดินเข้ามาทักแบบเงียบๆ
“ฉันเห็นเธอนั่งคิดอะไรคนเดียวอยู่สักพักแล้วนะ ตั้งแต่กลับมาจากบ้านหนูดี คิดอะไรอยู่...?”
เธอมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ
“คุณสนใจหนูด้วยหรอคะ...?”
“เปล่า...ฉันก็แค่ถามเฉยๆ”
เขาเห็นว่าเธอไม่ตอบก็กำลังจะเดินไป
“ทำไมหมอถึงไม่ชอบหนูคะ...?”
เธอถามเขาจนเขาหยุดชะงักทันที
“หนูเด็กเกินไป หรือหนูดูเหมือนเด็กแก่แดดที่ชอบคนที่อายุมากว่าอย่างคุณหมอ แล้วหนูผิดหรอคะ...?”
“....”
เขาไม่ตอบอะไรแต่เลือกที่จะเงียบ
“หนูไม่เคยคิดที่จะชอบใครเลยแต่หนูก็ดันมาชอบคนแก่กว่าอย่างคุณหมอ จะให้หนูทำยังไงคะคุณหมอถึงจะเชื่อว่าหนูชอบคุณหมอจริงๆ..?”
เธอกำลังจะพูดต่อแต่เขาพูดแทรกขึ้น
“ถ้าเธอไม่ใช่เด็กจริงๆเธอคงไม่บอกชอบฉันเพียงแค่ต้องการให้ฉันยอมคบกับเธอ เพื่อให้ได้สิ่งที่เธอหวัง เพราะอยากให้ฉันช่วยเรื่องค่ารักษาพ่อเธอ เธอคิดผิดนะ....”
เขาหันมามองหน้าเธอนิ่งๆ โดยมีสายตาของเธอมองมาอย่างอึ้งๆ
“นี่หรอที่ไม่ใช่ความคิดเด็กๆ...?”
“คุณหมอ...รู้หรอคะ?”
“คนไข้ในโรงพยาบาลฉันรู้จักดีทุกคน ญาติคนไข้ที่เข้าออกโรงพยาบาลฉันก็จำหน้าได้ทุกคน...ฉันไม่ใช่แค่เป็นหมอที่รักษาคนไข้นะ แต่ทุกคนก็เหมือนเป็นครอบครัวฉัน”
เธอฟังเขาอย่างอึ้งๆตาค้างไม่คิดว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ด้วย
นี่เธอทำผิดแผนไปมากเลยจริงๆ