บทนำ - เฉินหว่านอิ๋ง
ค่ายทหารแคว้นเยี่ยน รัชศกเทียนหนี่ ปีที่สอง
เศษดินทรายที่เต็มพื้นสนาม กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งทั่วสนามรบ ซากศพจำนวนมากกองสูงดั่งภูผา ปรากฏร่างของนักรบหนุ่มในชุดเกราะสีน้ำเงินเข้มบนหลังอาชาสีดำสนิท กำลังควบตะบึงเหยียบซากศพทหารแคว้นเสวี่ยที่เสียชีวิตจำนวนมาก เนื่องจากการสู้รบที่เกิดขึ้นในดินแดนนี้
‘หวังซานเย่’ ชินอ๋องผู้เป็นแม่ทัพพิชิตทักษิณแห่งแคว้นเยี่ยน เกรียงไกรเหนือผู้ใด ไม่ว่าเขาปรากฏกายที่ใดล้วนมีแต่กลิ่นอายสังหารแผ่ออกมา ใบหน้าหล่อเหลาบัดนี้เปื้อนไปด้วยเขม่าควัน และเศษฝุ่นผงที่ลอยปลิดปลิวมาตามอากาศ นัยน์ตาสีนิลดุจพญาอินทรีย์กำลังจ้องมองไปยังทิศเบื้องหน้า ‘แคว้นเสวี่ย’ ที่เขาสามารถพิชิตมาได้ในระยะเวลาเพียงเจ็ดวัน
บัดนี้ซากศพของกองทัพแคว้นเสวี่ยถูกกองสุมรวมกันดั่งขุนเขา บริเวณหน้าประตูวังหลวง กองทัพทหารแคว้นเยี่ยนจำนวนมากต่างตั้งทัพให้ชินอ๋องผู้เป็นนายควบอาชามาตรงกลางเข้าสู่วังหลวงแคว้นเสวี่ยอย่างสง่างาม
สายตาคมกริบของหวังซานเย่กวาดมองไปรอบๆ ทิศ ราวกับจะสำรวจซากบ้านเมืองที่ปรักหักพัง เบื้องหน้าเขาเมื่อก้าวเข้ามาวังหลวงคือฮ่องเต้แห่งแคว้นเสวี่ยที่คุกเข่ายอมจำนนต่อชินอ๋องผู้นี้ หวังซานเย่หรือหวังชินอ๋องไม่ยอมลงจากหลังอาชาของตน แม้ว่าฮ่องเต้แคว้นเสวี่ยจะมีพระชนมายุเทียบเท่าบิดาของตน
ด้านข้างกันนั้นคือรัชทายาทแคว้นเสวี่ยที่ยังไม่มีทีท่ายอมจำนน ทว่ากลับถูกทหารของหวังชินอ๋องกดไหล่ทั้งสองให้นอนราบกับพื้น สายตาคมกริบนั้นกวาดมองเชื้อพระวงศ์ทั้งสองอย่างเย็นชา ประกายสายตามีแต่ความโหดเหี้ยมอำมหิตยามมองกบฏทั้งสองคนนี้
“ถึงพวกเจ้าจะทำลายแคว้นเสวี่ยของข้าได้ แต่พวกข้าก็ไม่ยอมจำนนเด็ดขาด!” ฮ่องเต้แคว้นเสวี่ยกล่าววาจาประกาศกร้าวชัดเจน ส่วนองค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นรัชทายาทนั้นกลับไม่มีทีท่ายอมจำนนง่ายๆ เขายังคงมองหวังซานเย่ด้วยสายตาอำมหิตระคนโกรธแค้น
หวังซานเย่มองสองพ่อลูกด้วยสายตาอำมหิต อ๋องหนุ่มนึกขันในใจ ฮ่องเต้แคว้นเสวี่ยและรัชทายาทต่างไร้ซึ่งคุณธรรม ไม่ยอมส่งบรรณาการให้แคว้นเยี่ยนในฐานะเมืองขึ้นยังไม่พอ ยังหาทางลักลอบซ่องสุมไพร่พลกับพวกแคว้นเยวี่ยหลุนอย่างลับๆ เพื่อหมายก่อสงครามกับแคว้นเยี่ยน อีกทั้งในยามที่เกิดสงครามเช่นนี้ พวกเขาได้แต่เก็บซ่อนตัวอยู่ในวังหลวง ไม่ยอมออกมาเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังส่งแม่ทัพนายกองมาเป็นด่านหน้าจนต้องล้มตายมากมาย แม้กระทั่งราษฎรที่ต่างเข้ามาขอความช่วยเหลือก็ถูกทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี คนเช่นนี้หากปล่อยเอาไว้เกรงว่าในภายภาคหน้าอาจกลายเป็นหอกข้างแคร่ในอนาคตได้
เมื่อคิดถึงผลที่อาจจะตามมา หวังชินอ๋องดึงคมกระบี่ออกจากฝักก่อนจะควบอาชาบั่นศีรษะของฮ่องเต้แคว้นเสวี่ยและรัชทายาทอย่างรวดเร็ว
ศีรษะของฮ่องเต้แคว้นเสวี่ยและรัชทายาทบัดนี้กระเด็นกลิ้ง
หลุนๆ อยู่บนพื้น โลหิตไหลนองไปทั่วอาณาบริเวณนั้น ก่อนที่หวังซานเย่จะเก็บคมกระบี่เข้าฝักตามเดิม และทหารของฝ่ายตนโบกธงแคว้นเยี่ยนเพื่อประกาศชัยชนะ
ในการศึกสงครามนี้มีสาเหตุเนื่องมาจากว่าทางหน่วยสอดแนมที่คอยสอดส่องในแต่ละแคว้นซึ่งเป็นเมืองขึ้นของแคว้นเยี่ยน ต่างลอบส่งรายงานสถานการณ์ของแต่ละแคว้นมาที่เมืองหลวงทุกสัปดาห์ตามพระบัญชาของหวังลู่ฮ่องเต้ ผู้เป็นพระเชษฐา[1] ซึ่งนั่งครองบัลลังก์เป็นโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน จนกระทั่งพบว่าแคว้นเสวี่ยไม่มีการส่งเครื่องบรรณาการมาหลายครั้ง อีกทั้งยังลักลอบติดต่อพวกแคว้นเยวี่ยหลุนเพื่อซ่องสุมไพร่พลและอาวุธจำนวนมาก
แคว้นเยวี่ยหลุนเป็นแคว้นใหญ่ที่อยู่ทางทิศเหนือ เดิมทีแผ่นดินจงหยวนเคยรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จนกระทั่งเกิดมหานครฉางอันขึ้นมาซึ่งเป็นศูนย์กลางของทั้งแผ่นดิน การทำสงครามแย่งชิงเพื่อครอบครองฉางอันจึงเกิดขึ้นอย่างดุเดือด ในการนั้นส่งผลกระทบให้รัชทายาทแคว้นเยวี่ยหลุนต้องสิ้นพระชนม์ในสนามรบ อีกทั้งพระธิดาองค์น้อยที่ประสูติได้ไม่กี่วันก็ต้องหายสาบสูญไป จึงเหลือเพียงพระชายาหลี่กับรัชทายาทองค์ปัจจุบันที่เป็นบุตรชายเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ทางแคว้นเยวี่ยหลุนกับแคว้นเยี่ยนจึงไม่ลงรอยกันเสมอมา ด้วยเพราะทางฮ่องเต้แคว้นเยวี่ยหลุนโทษความผิดทุกอย่างให้กับชาวเยี่ยน เนื่องจากเป็นต้นเหตุที่ทำให้พระโอรสเพียงองค์เดียว ซึ่งเป็นรัชทายาทต้องสิ้นพระชนม์ อีกทั้งองค์หญิงน้อยที่ประสูติได้เพียงไม่กี่วันกลับต้องหายสาบสูญไปยี่สิบปี!
“นำศีรษะของพวกมันไปเสียบประจานที่หน้าประตูเมือง เพื่อให้พวกแคว้นบรรณาการทั้งหลายได้ตระหนักชัดถึงความผิดของการคิดกบฏครั้งนี้!” สิ้นคำสั่งของหวังชินอ๋อง ถังลู่หลินซึ่งเป็นองครักษ์คนสนิทก็นำศีรษะและร่างที่ไร้วิญญาณของอดีตฮ่องเต้แคว้นเสวี่ยและองค์รัชทายาทไปเสียบประจานที่หน้าประตูเมืองทันที
แม้ว่าภาพเหตุการณ์นี้จะน่าสยดสยองมากเพียงใด เสียงร่ำไห้ของเด็ก สตรี และคนชราจะดังระงมไปทั่ว แต่กลับไม่ทำให้ชินอ๋องผู้นี้สงสารแต่อย่างใด เขาหันหลังตะบึงอาชากลับค่ายอย่างรวดเร็ว โดยไม่หันมามองเหล่าเด็ก สตรี และคนชราที่ร่ำไห้รายทางเลยแม้แต่นิดเดียว
จวนสกุลเฉิน
‘เฉินหว่านอิ๋ง’ บุตรีของเจ้ากรมพระคลังเฉินซู่กวงกำลังนั่งเย็บผ้าไหมอยู่บริเวณหลังเรือนอย่างมีความสุข ภายในเรือนเล็กๆ ราวกับกระท่อมหลังน้อยก็ไม่ปาน แต่ทว่ากลับไม่ทำให้สาวงามผู้นี้ต้องรู้สึกทุกข์ใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามนางกลับมีความสุขกับเรือนหลังน้อยนี้ด้วยซ้ำ
“คุณหนูรอง ได้เวลาเตรียมสำรับเย็นให้ฮูหยินใหญ่และคุณใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” หัวหน้าคนรับใช้ของจวนเดินเข้ามาพลางเอ่ยด้วยท่าทีหยิ่งยโสต่อ
หน้าสตรีร่างบางผู้นี้
เฉินหว่านอิ๋งถอนหายใจ นับตั้งแต่นางเกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้ นางก็พบว่าตนเองเป็นสมาชิกของสกุลเฉินไปคนหนึ่งแล้ว สตรีวางมือจากผ้าที่กำลังเย็บอยู่แล้วลุกเดินตรงไปยังโรงครัวของจวน ในทุกๆ วันนางจะเป็นผู้ทำอาหารแจกจ่ายแก่สมาชิกในบ้านเสมอตามคำสั่งของฮูหยินใหญ่และพี่สาว เนื่องจากทั้งสองเพิ่งเดินทางกลับมาจากร่วมพิธีอภิเษกฮองเฮาของวังหลวง
‘อู๋ฮองเฮา’ ที่ว่ากันว่าเป็นสตรีที่มีน้ำพระทัยเมตตา และเป็นที่รักใคร่ของราษฎรในบ้านเกิดเมืองนอนของตน แต่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนกลับมีสาสน์ทาบทามพระนางจากไทเฮา[2] พระราชมารดาของหวังลู่ฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบัน ให้เป็นนางหงส์คู่พระบารมี ทั้งๆ ที่ทุกคนต่างรู้กันดีว่าฝ่าบาทนั้นทรงมีพระสนมเอกที่โปรดปรานมากอยู่ผู้หนึ่ง ‘เกากุ้ยเฟย’ ซึ่งเป็นบุตรีอัครมหาเสนาบดีผู้งดงาม ว่ากันว่านางงดงามดั่งจันทร์เดือนเพ็ญที่สว่างไสว แต่กับอู๋ฮองเฮานั้นแม้ไม่อาจงามทาบรัศมีเกากุ้ยเฟยได้ แต่ด้วยมีศักดิ์เป็นถึงพระราชธิดาองค์โตของฮ่องเต้แคว้นเหลียว จึงได้รับการอภิเษกเป็นฮองเฮาในแผ่นดินแคว้นเยี่ยน
เฉินหว่านอิ๋งจัดเตรียมวัตถุดิบในโรงครัว ทั้งพืชผักที่นางเป็นคนไปจัดหาซื้อมาตั้งแต่เช้า ทั้งเนื้อหมูและเนื้อปลาที่เก็บรักษาเอาไว้อย่างดี สตรีจัดการขอดเกล็ดปลา และล้างกลิ่นคาวให้สะอาดด้วยเกลือ ขัดถูไปตามผิวเนื้อของปลาสดตัวใหญ่อย่างประณีต ท่ามกลางสายตาของบรรดานางครัวที่มองมาอย่างไม่ชอบใจ
เมื่อล้างปลาจนกลิ่นคาวหายหมดแล้ว สตรีนำมีดขนาดใหญ่มาแล่เนื้อปลาเป็นชิ้นบางๆ เนื่องจากปลาชนิดนี้เป็นปลากะพงขาว นางตั้งใจว่าจะทำปลากะพงนึ่งให้ฮูหยินใหญ่และคุณหนูใหญ่ได้รับประทานเป็นมื้อเย็นนี้
ร่วมกับท่านพ่อของนางที่กำลังจะเดินทางกลับมา
เฉินหว่านอิ๋งจำได้ว่าตั้งแต่เด็กนางก็เติบโตมาโดยมีความรักของบิดาที่มอบให้อย่างเต็มที่ ต่อให้เฉินซู่กวงจะวุ่นวายกับราชกิจของฝ่าบาทขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยละเลยต่อนางในฐานะบิดา แต่ความรักจากมารดานั้นกลับไม่มี ตั้งแต่เด็กพอนางเริ่มจำความได้ ฮูหยินใหญ่กับบุตรสาวที่ตนขานเรียกว่าพี่สาวก็ชอบรังแกนางอยู่วันยังค่ำ บางคราหากบิดาไม่กลับจวนก็จะให้นางมีชีวิตอยู่ไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่าต่อให้เฉินฮูหยินกับเฉินรั่วหลานจะรังแกนางอย่างไร เพื่อความสบายใจของบิดาและความสงบสุขของจวน นางจึงไม่ต้องการตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้นให้กลายเป็นปัญหาใหญ่
“ใครก็ได้ ตั้งหม้อร้อนให้ข้าที” นางสั่งกับบ่าวในครัวในขณะที่ตนเองกำลังแล่เนื้อปลาอยู่ แต่ว่าบ่าวพวกนั้นหาได้มีใครฟังไม่ พวกนางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมทำราวกับคำสั่งของเฉินหว่านอิ๋งเป็นดั่งสายลม สาวงามถอนหายใจก่อนจะละมือจากเนื้อปลาที่ยังแล่ไม่ทันเสร็จมาตั้งหม้อร้อนเพื่อให้น้ำเดือดจัด เพื่อที่ว่าอาหารจะได้เสร็จทันเวลาที่ฮูหยินใหญ่จะกลับมา
เดิมทีเฉินหว่านอิ๋งแทบไม่อยากใส่ใจต่อพฤติกรรมของคนเหล่านี้มากนัก อีกทั้งนางมักถูกบิดาตักเตือนบ่อยๆ เรื่องมารยาทและการวางตัว ซึ่งนางล้วนถูกบิดาอบรมสั่งสอนเรื่องเหล่านี้มาทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่การสั่งสอนพวกนี้ควรเป็นหน้าที่ของเฉินฮูหยินผู้เป็นภรรยา และเปรียบเสมือนมารดามากกว่า
เหตุที่เปรียบเสมือนมารดาเพราะว่า...อีกฝ่ายไม่เคยทำหน้าที่ในฐานะมารดาของนางเลยสักครั้ง มีหลายครั้งที่นางทะเลาะกับเฉินรั่วหลานแล้วเฉินฮูหยินก็มักจะเข้าข้างบุตรสาวคนโตอยู่เสมอ ต่อให้พี่สาวอย่างเฉินรั่วหลานเข้ามารังแกนางก่อนก็ตาม แต่เฉินหว่านอิ๋งก็ได้แต่เก็บความทุกข์ระทมและน้อยใจเอาไว้ จนกระทั่งเวลาผ่านล่วงเลยมาหลายสิบปี นางได้เติบโตขึ้นและเห็นความจริงของชีวิตมากขึ้น จึงไม่อยากใส่ใจไม่ว่าใครจะทำเรื่องอะไรไม่ดีกับนางก็ตาม อย่างเช่นวันนี้ที่พวกเขาไปร่วมงานวันสถาปนาฮองเฮาที่ยิ่งใหญ่ แต่เฉินฮูหยินกลับห้ามนางให้อยู่แต่ในเรือนเท่านั้น มีสถานะไม่ต่างจากสาวรับใช้
เฉินหว่านอิ๋งจัดสำรับเย็นตั้งโต๊ะเอาไว้ที่เรือนใหญ่ รอช่วงเวลาที่ฮูหยินใหญ่กับเฉินรั่วหลานและเฉินซู่กวงจะกลับมา นางตั้งตารอพวกเขาตามคำสั่งของพ่อบ้านประจำตระกูล จนกระทั่งเห็นบุคคลทั้งสามเข้าจวนมาพร้อมกัน สีหน้าขบขันและรอยยิ้มอันอ่อนโยนจากเฉินฮูหยินในฐานะมารดา แม้นางอยากได้สักเพียงใด แต่ก็ไม่มีวันได้
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะท่านพ่อ” เฉินหว่านอิ๋งเดินเข้ามาหาบิดาอย่างนอบน้อม นางรับหมวกขุนนางมาจากบิดาส่งให้กับพ่อบ้านประจำตระกูลนำไปเก็บไว้ที่เรือนนอนหลัก
“แค่ลูกของบ่าวรับใช้ มีสิทธิ์อะไรมาถามท่านพ่อข้าแบบนี้กัน” เป็นเฉินรั่วหลานที่เอ่ยขึ้นมาขณะกำลังโบกพัด ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าของเฉินหว่านอิ๋ง นางก็อดอิจฉาในความงามไม่ได้ อีกฝ่ายงดงามอ่อนช้อยตามแบบสตรีที่บุรุษต้องการ ทั้งเก่งการบ้านการเรือน ทำอาหารหรือรสมือดีเสียยิ่งกว่าพ่อครัวในวังบางคนเสียอีก หากคราใดมีพวกขุนนางจากตระกูลสูงพาบุตรชายมาเยี่ยมเรือน ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมองหาเฉินหว่านอิ๋ง สตรีที่นางเกลียดแสนเกลียด
“รั่วหลาน!” เฉินซู่กวงตำหนิบุตรสาวคนโตอย่างไม่พอใจ เขาหันมาลูบหัวเฉินหว่านอิ๋งอย่างปลอบใจเชิงว่าไม่ต้องสนใจคำพูดของเฉินรั่วหลานให้มากนัก
ส่วนเฉินหว่านอิ๋งเองก็พอจะเข้าใจสิ่งที่บิดาต้องการจะสื่อผ่านสัมผัสนี้เช่นกัน นางจึงได้แต่นิ่งเงียบ และไม่กล่าวคำใด
เฉินซู่กวงกล่าวกับเฉินหว่านอิ๋งอย่างอ่อนโยน “มาเถิดเสี่ยวอิ๋ง มานั่งกินข้าวกับพ่อมา”
เมื่อถูกชักชวนจากบิดาเช่นนี้ เฉินหว่านอิ๋งกำลังจะหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ข้างบิดา ทว่ากลับถูกเฉินฮูหยินปรายหางตามองอย่างเดียดฉันท์แล้วกล่าวอย่างเหน็บแหนม “แค่ลูกบ่าวรับใช้ มีสิทธิ์อะไรมานั่งเสมอเทียบเคียงพวกเราเจ้าคะท่านพี่ ลูกคนรับใช้ก็สมควรทำตัวตามฐานะ”
ถ้อยคำของเฉินฮูหยินราวกับคมมีดกรีดลึกในใจของเฉินหว่านอิ๋งก็ไม่ปาน นับตั้งแต่นางเกิดมาก็ไม่เคยเห็นหน้ามารดาเลยด้วยซ้ำ มีเพียงแต่บิดาบังเกิดเกล้าอย่างเฉินซู่กวงที่คอยดูแลอบรมนางมา ให้ความรักและความอบอุ่นไม่เคยขาด แต่เฉินฮูหยินนอกจากไม่เคยเมตตานางสักนิดกลับใช้แต่ถ้อยคำวาจาถากถางนางให้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่ร่ำไป อีกทั้งยังมีเฉินรั่วหลานที่คอยหาทางกลั่นแกล้งนางเสมอ ต่อให้นางจะพยายามอดทนมากแค่ไหนก็ตาม
“อิ๋งเอ๋อร์เป็นลูกสาวข้า นางมีสิทธิ์ทุกที่ในบ้านหลังนี้เช่นเดียวกับพวกเจ้า หากพวกเจ้าจะถามหาสิทธิ์ละก็ สิทธิ์ที่นางเป็นบุตรสาวของข้าอย่างไรล่ะ พอใจหรือยัง อีกทั้งอาหารทั้งหมดนี้นางก็เป็นคนทำ หากจะว่าใครไม่มีสิทธิ์ก็คงเป็นพวกเจ้าสองคน” เมื่อประมุขสกุลเอ่ยเช่นนี้ เฉินฮูหยินมีหรือจะกล้าต่อปากต่อคำกับสามี นางทำได้เพียงสะบัดหน้าหันมองทางอื่นราวกับสตรีอีกคนเป็นสิ่งปฏิกูลโสมม
เฉินหว่านอิ๋งนั่งกินอาหารที่ตนเองเป็นฝ่ายทำอย่างเงียบๆ นางไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เนื่องด้วยเกรงว่าบิดาอาจจะมีปัญหากับฮูหยินใหญ่ ซึ่งนางไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น แต่ถ้าหากนางสามารถเลือกทางเดินของชีวิตตนเองได้ นางก็อยากหลุดพ้นจากสถานที่แห่งนี้ สถานที่ที่นางไม่เคยมีความสุขเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่เด็กยันโต
รอจนกระทั่งเวลาอาหารเย็นผ่านไป เฉินหว่านอิ๋งกลับเรือนหลังของตน นางอาบน้ำชำระกายล้างกลิ่นอาหารที่ติดตัวออกจนหมด เรือนผมยาวนุ่มสลวยดุจแพรไหมถูกปล่อยให้ยาวสยายคลอเคลียแผ่นหลัง บัดนี้ในห้องนอนมีเพียงสตรีผู้งดงามราวนางสวรรค์กำลังมองตนเองในกระจกด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ฝ่ามือบางหยิบหวีอันเล็กขึ้นมาหวีเส้นผมของตนเองด้วยใจที่เหม่อลอย ครั้งหนึ่งนางเคยฝันว่าอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น มีมารดาที่คอยกอดให้กำลังใจยามที่นางท้อแท้ นางเคยอ้อนวอนต่อสวรรค์ว่าปรารถนาอยากพบมารดาที่แท้จริงสักครั้ง แต่ว่าทุกครั้งคำขอเหล่านั้นก็เป็นแค่สายลมที่พัดผ่าน ในเมื่อยามหลับนางฝันเห็นมารดา แต่พอตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็เป็นดังเดิม
ชีวิตที่นางควรมีความสุข มีครอบครัวที่สมบูรณ์ก็เป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น เพราะในชีวิตจริงต่อให้บิดาจะดีกับนางมากแค่ไหน แต่เฉินฮูหยินกับเฉินรั่วหลานกลับกดขี่นางอยู่วันยังค่ำ นางอยากมีสักวันที่จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้
“คุณหนูรองเจ้าคะ คุณหนูใหญ่มีคำสั่งให้มาตามคุณหนูไปพบที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ” เฉินหว่านอิ๋งวางหวีที่กำลังหวีเส้นผมบนโต๊ะไม้ นางหันไปมองตามที่มาของเสียงซึ่งดังมาจากหน้าประตู
ดึกดื่นป่านนี้เฉินรั่วหลานมีอะไรหรือเปล่านะ?
เฉินหว่านอิ๋งเดินออกมาเปิดประตู เห็นบ่าวรับใช้ของเฉินรั่วหลานมายืนอยู่ด้านหน้าด้วยท่าทีหยิ่งผยอง อีกฝ่ายเชิดหน้าขึ้นแล้วกล่าวด้วยท่าทีหยิ่งยโสว่า “คุณหนูใหญ่มีคำสั่งให้บ่าวมาตามท่านไปที่เรือนในยามนี้เจ้าค่ะ”
เฉินหว่านอิ๋งถาม “ดึกดื่นป่านนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นชักสีหน้าตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณหนูใหญ่จะเรียกใช้ท่าน จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือเจ้าคะ”
เฉินหว่านอิ๋งถอนหายใจ แต่ไหนแต่ไรมาบ่าวของเฉินรั่วหลานและเฉินฮูหยินมีท่าทีเป็นปรปักษ์กับนางอยู่แล้ว นางจึงไม่ควรเอาเรื่องนี้มาใส่ใจให้มาก หากไม่ยอมทำตามที่เฉินรั่วหลานต้องการก็ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าหรือวันพรุ่งนี้ชีวิตจะต้องเจอกับความยุ่งยากอะไรอีกบ้าง
[1] พระเชษฐา เป็นคำราชาศัพท์หมายถึง พี่ชาย
[2] ไทเฮา คืออดีตพระอัครมเหสีในจักรพรรดิพระองค์ก่อน
**นิยายเรื่องนี้อัพเดตทุกวันนะคะ วันละ 2 ตอนค่ะ**