Chapter 02

3141 คำ
คุณเพลิงกัลป์พาฉันมาติดต่อสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างใหญ่โตและน่าอยู่ เขาเป็นคนจัดการทุกอย่างโดยที่ฉันนั่งฟังเงียบ ๆ และใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำ “เดี๋ยวเธอเดินดูอาคารเรียนไปก่อนนะ เสร็จแล้วค่อยให้ทัศน์เทพพาไปรับยาที่โรงพยาบาล” “คุณเพลิงกัลป์จะไปแล้วเหรอคะ” ทำไมฉันถึงเป็นคนแบบนี้นะ เหมือนได้คืบจะเอาศอก ยิ่งเขาดีด้วย ฉันยิ่งอยากตัวติดกัน “ไม่อยากเดินดูที่เรียน?” สายตาเย็นชามองสบตาฉัน เพียงแค่วูบเดียวที่เผลอประสานตาเขาฉันต้องรีบเบนสายตาหนีไปทางอื่นทันที “ปะ... เปล่าค่ะ” เขาอุตส่าห์ให้เรามีโอกาสเรียนแล้วนะ อย่าทำตัวงี่เง่าสิ “ไอ้เทพ” เสียงทุ้มเรียกลูกน้องเขา ฉันทำได้แค่ยืนแอบฟังเงียบ ๆ “ครับนาย” “เดี๋ยวมึงพาเธอเดินดูรอบ ๆ มหาลัย เอาแค่สถานที่ที่จำเป็นต้องใช้ประจำพอ” “นายไม่ให้ผมไปด้วยเหรอ” “งานนี้ไอ้เทชิเหมาะกว่า มึงพูดมาก เดี๋ยวลูกค้าจะรำคาญเอา” “โธ่นาย งานที่มีสาว ๆ สวย ๆ ต้องเป็นคนอื่นตลอด” “ก็สันดานมึงแบบนี้ไง เดี๋ยวงานใหญ่กูเสีย ส่วนเธอ... ถ้าอยากรู้จุดไหนก็บอกไอ้เทพมันแล้วกัน” “...” “นี่! ได้ยินที่ฉันพูดไหม?” “...” “จินฟางเซียน” “อะ! คะ?” “เหม่ออะไรอยู่น่ะ นายเรียกตั้งนาน” ฉันมองคุณทัศน์เทพงง ๆ ก่อนจะหันไปสบตาคนที่เขาบอกว่าเรียกฉันนานแล้ว “คุณเพลิงกัลป์เรียกหนูเหรอคะ” มันไม่ได้ยินจริง ๆ ตั้งแต่ที่ลูกน้องเขาบอกว่าธุระที่เขาจะไปมีแต่ผู้หญิงสาว ๆ สวย ๆ มันก็ทำให้ฉันกลัวจนเผลอคิดถึงแก๊งคนชั่วพวกนั้น “เหม่ออะไร” “ขอโทษค่ะ” ฉันจะบอกเขาไม่ได้ว่าวูบหนึ่งเผลอคิดว่าเขาคือคนไม่ดีเหมือนพวกที่ฉันหนีตายมา “ถ้าไม่มีอะไรก็ไปเถอะ” เขาบอกเสร็จก็เดินกลับไปขึ้นรถลีมูซีนสีดำมะเมี่ยมคันหรู ฉันยืนมองท้ายรถคันนั้นขับออกไปจนลับตา “ไปเถอะครับ คุณฟางเซียนอยากดูจุดไหนก่อนไหมครับ” “...” “งั้นเอาเป็นตึกบัญชีแล้วกันเพราะคงได้ใช้บ่อยสุด” อาจจะเพราะฉันไม่ตอบคำถาม คุณทัศน์เทพเลยตัดสินใจเอง ส่วนตึกบัญชีที่เขาพูดถึง คือสาขาที่คุณเพลิงกัลป์เลือกให้ฉัน ตอนแรกเขาก็ให้ฉันเลือกเองแหละ แต่เพราะฉันเองก็ไม่ได้สนใจวิชาชีพไหนอยู่แล้ว เขาเลยเสนอบัญชีธุรกิจให้ฉัน เพราะเขาบอกว่าเรียนสาขานี้จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจเขาในภายภาคหน้า ซึ่งจนตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าผู้มีพระคุณทำอาชีพอะไร รู้แค่ว่าเขารวยมาก มีรถหรูมากกว่าสิบคัน มีบ้านหลังใหญ่ราวปราสาท มีบอดี้การ์ดคอยดูแลทั้งที่เพนต์เฮาส์และติดสอยหอยตามเขาเป็นพรวนนั่นอีก แอบคิดเหมือนกันนะว่าเขาเป็นมาเฟียหรือเปล่า ฉันเห็นในหนังเจ้าพ่อบ่อย ๆ น่ะ “เชิญทางนี้ครับคุณฟางเซียน” “อย่าเรียกหนูว่า ‘คุณ’ เลยนะคะ” รีบโบกมือส่ายหน้าห้ามอีกคนที่ผายมือเชิญให้ฉันเดินนำหน้าอย่างมีมารยาท ที่ฉันเรียกพวกเขาว่า ‘คุณ’ เพราะนับถือ แต่ถ้าพวกเขาเรียกฉันกลับด้วยสรรพนามเดียวกันกับคนที่อายุน้อยกว่ามากมันรู้สึกอึดอัด “แต่นายสั่งให้พวกเราเรียกคุณฟางเซียนแบบนั้น” ยิ่งได้ยินว่าใครสั่งฉันยิ่งรู้สึกลำบากใจ สี่เดือนที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้พูดคุยกันมาก ฉันเลยยังรับไหว แต่ตอนนี้ต้องพูดอะไรบ้างแล้ว “งั้นเอาแบบนี้ดีไหมคะ ถ้าต่อหน้าคุณเพลิงกัลป์ ก็เรียกหนูตามที่เขาสั่ง แต่ถ้าอยู่กันลำพังให้เรียกหนูแค่ฟางเซียนก็พอ” ลุ้นในคำตอบของอีกคนที่อะไรที่เป็นคำสั่งผู้เป็นนายเขาจะเคร่งครัดมาก “เอาแบบนั้นก็ได้ครับ เพราะตอนนี้คุณ ไม่สิ ฟางเซียนใช้นามสกุลผมอยู่ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินสรรพนามแปลก ๆ แบบนั้นจะสงสัยเอา” ดีจังที่เขาคุยง่าย “งั้นไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ถ้าอยู่ลำพังฟางเซียนเรียกผมว่าเฮียเทพแล้วกัน จะได้เหมือนเป็นพี่น้องกันจริง ๆ” ฉันพยักหน้าตกลงก่อนจะลองเรียกคนตรงหน้าดู “ค่ะ เฮียเทพ” “ในที่สุดก็เห็นรอยยิ้มสักที” รอยยิ้ม? “เมื่อกี้หนูยิ้มเหรอคะ” “ไม่แน่ใจ คิดว่ายิ้มนะ” อะไรของเขา ตกลงฉันยิ้มหรือไม่ยิ้มกันแน่ แต่ที่ฟันธงได้คือ... ฉันไม่รู้จักหน้าตาของรอยยิ้มที่เขาพูดมาเป็นปีแล้วล่ะ “ไปกันเถอะ เดี๋ยวเฮียเทพจะพาไปทัวร์มหาลัยเก่านายกัน” “คุณเพลิงกัลป์เคยเรียนที่นี่ด้วยเหรอคะ” “อืม น่าจะสิบกว่าปีแล้วล่ะ” สิบกว่าปี? นี่เขาอายุห่างฉันกี่ปีกันนะ... เฮียเทพพาฉันเดินดูอาคารต่าง ๆ ที่ต้องใช้เรียนหลัก ๆ โรงอาหารของคณะและโรงอาหารรวม สหกรณ์ร้านค้าที่ไว้ใช้ซื้อของใช้จำเป็นบางอย่างรวมถึงที่นัดแนะเวลาเลิกเรียน “เดี๋ยวเราไปโรงพยาบาลกันเลยนะ” เขายกนาฬิกาข้อมือสีเงินขึ้นมาดู “ค่ะ” ฉันพยักหน้าส่งยิ้ม เดินตามร่างสูงที่มีสายตาหลายสิบคู่ทั้งของนักศึกษาที่มาติดต่องาน อาจารย์ที่ยังสาวอยู่ ต่างก็จดจ้องเขาตลอดทางเดิน ใครจะไม่มอง ในเมื่อเฮียเทพทั้งหล่อ สูงยาวเข่าดี ยิ่งทรงผมไถเปิดข้างของเขาคงจะเป็นที่ถูกใจของสาว ๆ แถวนี้ “มีอะไรเหรอ” ฉันคงเผลอพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจดเท้านานเกินไปอีกคนเลยรู้สึกได้ “เฮียเทพมีแฟนยังคะ” ไม่มีอะไรคุยฉันเลยสุ่มคำถามเบสิกที่สุดออกมาเพื่อไม่ให้บรรยากาศรอบตัวเงียบจนเกินไป “อาชีพอย่างฉันมีแฟนไม่ได้หรอก” เขาตอบแบบไม่ได้มีความรู้สึกผิดหวังหรือเสียใจในสิ่งที่เป็นอยู่เลยสักนิด “บอดี้การ์ดน่ะเหรอคะ?” “อืม ฉันเป็นบอดี้การ์ดให้กับตระกูลนายตั้งแต่จำความได้ ครอบครัวนายมีพระคุณกับฉันมาก ถ้าไม่ได้พวกเขา ฉันเองก็ไม่รู้ป่านนี้ชีวิตจะเป็นยังไง” ชีวิตเขาคล้ายฉันเลยนะ ถึงแม้ฉันจะเพิ่งถูกคุณเพลิงกัลป์มอบชีวิตใหม่ให้แค่สี่เดือน ทว่าฉันกลับตั้งสัตย์ไว้กับตัวเองแล้วว่าจะตอบแทนเขาชั่วชีวิต เพราะงั้นฉันเข้าใจความรู้สึกของเฮียเทพที่อยู่มาก่อนฉันตั้งนานดี “แล้วคุณเทชิล่ะคะ” หลุดถามออกไปจนได้ เขาจะหาว่าฉันถามซอกแซกไหมนะ “เทชิเพิ่งเข้ามาอยู่กับนายใหญ่ที่เสียไปแล้วตอนอายุห้าขวบ ถูกนายใหญ่เก็บมาเลี้ยงอีกนั่นแหละ” นายใหญ่ที่ว่าคงหมายถึงพ่อของคุณเพลิงกัลป์ ฉันเคยเห็นภาพ ถ่ายของท่านที่แขวนไว้ที่เพนต์เฮาส์ของเขา “งั้นทั้งสามคนคงสนิทกันมากเลยใช่ไหมคะ” ชักอยากรู้ความสัมพันธ์พวกเขาแล้วสิ “ฉันกับเทชิยอมตายแทนนายได้เลยละ” ทำไมถึงพูดคำว่าตายออกมาง่ายจัง “ถ้าตายไปแล้วตอบแทนบุญคุณต่อไม่ได้นะคะ หนูว่าเฮียเทพกับคุณเทชิรักษาชีวิตตัวเองแล้วตอบแทนบุญคุณตอนมีชีวิตอยู่ดีกว่าค่ะ” ฉันไม่ชอบเห็นใครตาย เพราะคนที่ตายคือคนที่ไร้ประโยชน์ ไม่สามารถปกป้องคนที่เรารักต่อได้ “พูดมีเหตุผล งั้นฉันจะจำคำเธอไว้นะ” รอยยิ้มบนใบหน้าเขาเห็นแล้วมีความสุขจัง “อ๊ะ! เมื่อกี้หนูไม่ได้ตั้งใจจะสอนสั่งนะคะ” เพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าคำพูดเมื่อกี้ไม่สมควรพูดกับผู้หลักผู้ใหญ่ “คิดมาก ขึ้นรถเถอะ” ได้แต่ก้มหน้างุดอย่างไม่กล้าสู้สายตาอีกคน แม้เขาจะมองมาอย่างแย้มยิ้มก็เถอะ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง “น้ำหนักยังไม่ขึ้นเลยนะคะ ช่วงนี้นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายหรือเปล่า” คุณหมอคนสวยถามฉัน เดือนก่อนหมอประจำตัวฉันเป็นผู้ชายวัยสักสามสิบกว่า ๆ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้เปลี่ยนกะทันหัน เป็นคุณหมอผู้หญิงที่สวยเฉี่ยวคนนี้ได้ “มีอะไรเหรอคะ เห็นจ้องหมอนานแล้ว” “ขอโทษค่ะ” รีบยกมือไหว้ขอโทษคุณหมอที่เสียมารยาทมองเธอตาไม่กะพริบ “คุณหมอสวยมาก หนูเลยมองเพลินไปหน่อย” ตอบเสียงเขิน ๆ จนอีกคนหัวเราะคิกคักออกมา “ใคร ๆ ก็บอกหมอแบบนั้นจนชินแล้วค่ะ” ถึงว่าคุณหมอคนสวยไม่ค่อยดูตื่นเต้นกับสิ่งที่ฉันชมออกไป “ที่หมอถาม ตกลงมีอาการไหนบ้างไหมคะ” อ้อ! ลืมตอบคำถามไปเลย “หนูชอบฝันร้ายซ้ำ ๆ ค่ะ” “ฝันร้าย? พอจะเล่าให้หมอฟังได้ไหมเอ่ย” ฉันกำมือทั้งสองข้างเข้าหากันแน่น ทั้งบีบมันจนเลือดไม่ไหลเวียนรู้สึกชาหนึบแล้วค่อยคลายออก “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องกลัว มันก็แค่ฝันนะคะ” มันก็แค่ฝัน... ทว่าเป็นฝันที่เคยเกิดขึ้นจริงกับฉันมาก่อน “คุณขัติมากรคะ หายใจเข้าลึก ๆ นะคะ ค่อย ๆ หายใจค่ะ” ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนมีหมุดหรืออะไรหนัก ๆ มาทับที่อกจนหายใจลำบาก ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ฉันถูกคนกลุ่มนั้นพาตัวขึ้นรถแล้วกระชากลงรถลากไถไปกับพื้นฉันยิ่งตัวสั่น “คนไข้คะ! ตั้งสติค่ะ ขัติมากร! ตั้งสติหน่อย” “ฮึก ฮือ...” กลัว ฉันกลัวเหลือเกิน เจ็บ! ตรงหลังฉันมันเจ็บมาก ร่างกายก็รู้สึกรวดร้าวไปหมด จึก! รู้สึกจี๊ดขึ้นมาที่ต้นแขนข้างหนึ่ง ตามมาด้วยดวงตาค่อย ๆ ปรือลง ร่างกายรู้สึกเบาโหวงไร้เรี่ยวแรง หมับ! “พาขึ้นไปพักบนเตียงก่อนค่ะ” หูฉันได้ยินเสียงคนคุยกัน แต่ไม่กี่นาทีต่อมาทุกอย่างก็ดับวูบลง Special Part หลังจากที่หมอลิลณาซักไซ้คนไข้ในความดูแลของเธอ อาการของขัติมากรก็ดูแปลกไปจากปกติ เธอเริ่มเหงื่อตกตามกรอบหน้า ร่างกายสั่นเทา ดวงตาเริ่มเลิ่กลั่กจากอาการหวาดกลัว หมอลิลณาเห็นท่าไม่ดีกลัวเธอจะช็อกจึงรีบฉีดยาสลบแบบอ่อน ๆ ให้ ก่อนจะเรียกพยาบาลเข้ามาช่วยพยุงคนไข้ขึ้นพักบนเตียง “เกิดอะไรขึ้นครับคุณลิลลี่?” ทัศน์เทพที่ได้รับคำสั่งให้ดูแลผู้หญิงในปกครองของนายให้ดีได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงรีบเข้ามาดู “ฉันน่าจะไปกระตุ้นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำของเธอเข้า” ลิลลี่ หรือ หมอลิลณา บอกบอดี้การ์ดมือขวาของพี่ชายเธอ จู่ ๆ ที่หมอประจำตัวของขัติมากรที่ดูแลรักษาเธอมาตั้งสี่เดือนแต่สุขภาพเธอกลับไม่ดีขึ้นเลยทั้ง ๆ วินิจฉัยออกมาเป็นแค่โรคขาดสารอาหาร สาเหตุเพราะความไร้จรรยาบรรณของหมอที่เห็นแค่ความสำคัญของเม็ดเงิน พอครอบครัวเธอจ่ายหนักจ่ายไม่อั้นจึงไม่อยากรีบรักษาให้หาย จนกันตพลจับได้เลยถูกเด้งออกจากโรงพยาบาล “ผมต้องโทร.รายงานนายก่อน” ทัศน์เทพรีบเดินออกจากห้องนี้ เขาควักโทรศัพท์เครื่องหรูออกมากดโทร.หานายทันที “นายเสร็จธุระยังครับ” เขายังคงเกริ่นออกไปแบบปกติ [ยัง เหมือนจะตกลงกันไม่ได้] ทางนั้นก็มีปัญหาคาราคาซังยิบย่อยอยู่เหมือนกัน แต่ก็รู้สึกแปลกใจทำไมมือขวาเขาถึงโทร.มาถามเรื่องนี้ [เกิดอะไรขึ้น] คนถูกตั้งคำถามกลับรวบรวมความกล้ารายงานสถานการณ์ปัจจุบันออกไปทันที “คุณฟางเซียนเหมือนจะมีปัญหาแล้วครับ” เพียงแค่อีกฝ่ายได้ยินชื่อที่เขาจดจำได้ขึ้นใจ เสียงเหมือนขยับตัวก็ดังลอดออกมา ตามมาด้วยเสียงโวยวายจากคนหลายคนดังเข้ามาในสาย แลดูวุ่นวายกันหนักกว่าทางนี้ [ตอนนี้อยู่ที่ไหน] “โรงพยาบาลครับ” เขาตอบผู้เป็นนายสั้น ๆ อย่างไม่ยืดยื้อ ฝ่ายนั้นวางหูไปแต่ก็ได้ยินเสียงสบถหยาบคายดังมาก่อนสายจะตัด [แม่งเอ้ย!] อาการหัวเสียแบบนี้ไม่รู้เพราะยังเจรจาธุรกิจไม่เสร็จหรือเพราะอีกคนที่เขาโทร.ไปรายงาน “เฮียเพลิงจะมา?” คุณหมอคนสวยที่ยืนฟังบทสนทนานั้นตั้งแต่นาทีแรกถามขึ้น “ครับ” ทัศน์เทพตอบสั้น ๆ “ตกลงเกิดอะไรขึ้น แล้วผู้หญิงคนนั้นคือใคร?” หมอลิลณาเพิ่งกลับมาจากการไปอบรมวิชาชีพที่ปารีสมาเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เธอเลยไม่รู้ว่าสี่เดือนที่ผ่านมาพี่ชายเธอพาใครเข้ามาอยู่ร่วมชายคาด้วย พอกลับมาถึงที่นี่ปุ๊บเธอก็ถูกพี่ชายสั่งให้มาดูแลคนไข้คนนี้ แถมยังกำชับอีกว่าต้องพิเศษกว่าคนไข้คนอื่น ๆ เธอเองไม่เคยเห็นพี่ชายที่แสนเย็นชาจะดูห่วงใยใครขนาดนี้ โดยเฉพาะคนแปลกหน้า “เดี๋ยวคุณลิลลี่ถามจากนายดีกว่าครับ” ทัศน์เทพไม่อยากก้าวก่ายเรื่องนี้ เขาไม่รู้ว่านายตนเองพาเธอกลับมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร เขาเองก็ไม่เคยเห็นเจ้านายออกมือช่วยใครที่ไม่รู้จักสักที แต่เมื่อสี่เดือนก่อนคำสั่งนายเขายังจำได้ทุกคำ ‘จัดการพวกมัน แล้วไปเอาตัวเธอมา’ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดแม้เขาจะสนิทกับกันตพลมากแค่ไหนก็ยังเดาใจคนเป็นนายไม่ถูกอยู่ดี ”เกิดอะไรขึ้น!” กันตพลใช้เวลาเดินทางมาที่โรงพยาบาลไม่ถึงสิบนาที เขาให้ฮาเทชิบอดี้การ์ดมือซ้ายขับปาดรถทุกคันที่ขวางทางเขาโดยไม่สนใจว่าจะถูกจับความเร็วหรือมีเสียงร้องด่าตามหลัง ครั้นมาถึงโรงพยาบาลก็มุ่งหน้ามาที่ห้องทำงานน้องสาวทันที “ลิลลี่ก็แค่รักษาเบื้องต้น” หมอลิลณาเอ่ยบอกพี่ชาย “เบื้องต้นเธอคือแบบไหน?” ดวงตาสีเข้มตวัดมองน้องสาวบุญธรรมที่เติบโตมาด้วยกันอย่างดุกร้าว ก็เพราะแบบนี้ไง... พี่ชายชอบเย็นชากับคนอื่นแบบนี้ เธอเลยอยากรู้ว่าผู้หญิงที่นอนไม่ได้สติบนเตียงเป็นอะไรกับเขา แค่แววตาที่บ่งบอกว่าร้อนใจ สั่นไหวเมื่อมองหน้าคนบนเตียง เธอก็รู้แล้วว่ามันไม่ปกติสำหรับพี่ชาย “โรคนี้ไม่ใช่แค่ขาดสารอาหาร แต่เหมือนจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับจิตใจของเธอด้วย” หมอลิลณาเอ่ยบอกพี่ชายพร้อมสังเกตปฏิกิริยาเขาไปในตัว เธอเห็นกันตพลกำหมัดบ้าง คลายบ้าง เหมือนอยากจะสัมผัสอีกคน แต่ก็เก็บอาการเพราะคนรอบตัวเยอะเกินไป “ลิลลี่เลยเดาว่าเธออาจะมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วย เลยถามหาสาเหตุ” “เธอไม่ควรถามแบบบนั้น” เสียงแข็งกร้าวดังขึ้นอย่างไม่พอใจ ถ้าเป็นเขา... เขาจะไม่ถาม เพราะรู้ดีว่าที่เธอนอนฝันร้ายทุกคืนเพราะอะไร แต่สำหรับลิลณาเธอไม่รู้ เลยต้องรักษาไปตามขั้นตอน จะมาเสียงดุใส่ทำไมกัน “ลิลลี่เป็นหมอนะ ถ้าไม่ถามก็รักษาไม่ได้” เธออธิบายเหตุผลให้พี่ชายฟังจนอีกคนค่อย ๆ ตั้งสติแล้วผ่อนคลายอารมณ์หงุดหงิดลง “แล้วนี่ทำไมเธอไม่ฟื้น” “ลิลลี่ให้ยาสลบเพื่อระงับอาการหวาดกลัวของเธอ น่าจะอีกห้าถึงสิบนาที ถึงจะฟื้น” ไม่อยากคุยกับพี่ชายแล้ว อยู่แล้วอึดอัด ออกไปสูดอากาศพร้อมหาเรื่องหลอกถามความสัมพันธ์ของสองคนนี้จากลูกน้องเขาดีกว่า “ลิลลี่รอด้านนอกนะคะ ถ้าเธอฟื้นเรียกด้วย” ร่างเล็กสวมเสื้อกาวน์กำลังจะเดินออกไป ทว่าไม่ลืมส่งสายตาบอกให้บอดี้การ์ดพี่ชายทั้งสองคนตามออกมาด้านนอกด้วย เมื่อในห้องไม่มีคนอื่น เหลือแค่เขากับอีกคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง กันตพลจึงค่อย ๆ เอื้อมมือหนาวางบนเตียงที่ขัติมากรนอนอยู่ เขาวางมันไว้แค่พื้นเตียง ไม่ได้แตะต้องเนื้อตัวเธอสักนิด พลางสมองก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตัดสินใจพาคนแปลกหน้าคนแรกในชีวิตกลับมาด้วย เมื่อสี่เดือนก่อน เขามีนัดเจรจาธุรกิจค้าอาวุธกับรายใหญ่ที่เมืองกว่างโจว ครั้นตกลงกันเรียบร้อยเขาจึงให้ลูกน้องขับรถกลับที่พัก แต่จังหวะที่รถขับผ่านสะพานข้ามแม่น้ำจู สายตาดันสะดุดเข้ากับแผ่นหลังบางที่ยืนเกาะราวสะพานอยู่อย่างเหม่อลอย เขาสั่งให้ทัศน์เทพจอดรถเพื่อมองดูเธอคนนั้นหลายนาที เห็นหมดทุกอย่างว่าเธอคิดจะทำอะไร จวบจนเธอคนนั้นตัดสินใจเดินกลับมายังจักรยานคันเก่า ๆ เขาเลยโล่งอก และเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่เขาเห็นแผ่นหลังและใบหน้าเพียงครึ่งเสี้ยวแถมยังมืดสลัว เขากลับลืมเธอไม่ลง ไม่รู้ว่าต่อมาเป็นพรมลิขิตหรือแค่เรื่องบังเอิญ กันตพลขับรถผ่านไปทางเดียวกับรถที่จับตัวขัติมากรมาพอดี เพียงแค่เขาเห็นแผ่นหลังบางนั้นอีกครั้งก็จำได้ทันทีว่าคือคนเดียวกันที่ตรึงหัวใจเขาไว้จนถึงตอนนี้ เขาสั่งลูกน้องให้ลงไปช่วยเหลือเธอทันทีโดยไม่คิดถึงความวุ่นวายที่จะตามมา ขัติมากรสลบตั้งหลายนาทีพอฟื้นขึ้นมาก็เอาแต่หวาดกลัวเขาและลูกน้องเพราะคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน กว่าจะพูดให้เธอไว้ใจได้ก็นานเอาเรื่องอยู่ พอคนที่สติแตกกระเจิงตั้งสติได้ กันตพลก็ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นทันที เสียงสั่นเครือและยังหวาดระแวงในตอนนั้นเล่าเพียงแค่ว่า เธอถูกจับตัวมาจากพวกค้ามนุษย์เพราะที่บ้านติดหนี้พวกมัน โดยที่เก็บราย ละเอียดส่วนสำคัญเกี่ยวกับป้าแท้ ๆ เอาไว้ กันตพลได้ฟังเรื่องราวก็หดหู่ตาม เขาเซ็นเช็คจำนวนถึงสิบหลักส่งให้เธอในทันที
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม