คุณเพลิงกัลป์พาฉันมาติดต่อสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างใหญ่โตและน่าอยู่ เขาเป็นคนจัดการทุกอย่างโดยที่ฉันนั่งฟังเงียบ ๆ และใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวเธอเดินดูอาคารเรียนไปก่อนนะ เสร็จแล้วค่อยให้ทัศน์เทพพาไปรับยาที่โรงพยาบาล”
“คุณเพลิงกัลป์จะไปแล้วเหรอคะ”
ทำไมฉันถึงเป็นคนแบบนี้นะ เหมือนได้คืบจะเอาศอก ยิ่งเขาดีด้วย ฉันยิ่งอยากตัวติดกัน
“ไม่อยากเดินดูที่เรียน?”
สายตาเย็นชามองสบตาฉัน เพียงแค่วูบเดียวที่เผลอประสานตาเขาฉันต้องรีบเบนสายตาหนีไปทางอื่นทันที
“ปะ... เปล่าค่ะ”
เขาอุตส่าห์ให้เรามีโอกาสเรียนแล้วนะ อย่าทำตัวงี่เง่าสิ
“ไอ้เทพ” เสียงทุ้มเรียกลูกน้องเขา
ฉันทำได้แค่ยืนแอบฟังเงียบ ๆ
“ครับนาย”
“เดี๋ยวมึงพาเธอเดินดูรอบ ๆ มหาลัย เอาแค่สถานที่ที่จำเป็นต้องใช้ประจำพอ”
“นายไม่ให้ผมไปด้วยเหรอ”
“งานนี้ไอ้เทชิเหมาะกว่า มึงพูดมาก เดี๋ยวลูกค้าจะรำคาญเอา”
“โธ่นาย งานที่มีสาว ๆ สวย ๆ ต้องเป็นคนอื่นตลอด”
“ก็สันดานมึงแบบนี้ไง เดี๋ยวงานใหญ่กูเสีย ส่วนเธอ... ถ้าอยากรู้จุดไหนก็บอกไอ้เทพมันแล้วกัน”
“...”
“นี่! ได้ยินที่ฉันพูดไหม?”
“...”
“จินฟางเซียน”
“อะ! คะ?”
“เหม่ออะไรอยู่น่ะ นายเรียกตั้งนาน”
ฉันมองคุณทัศน์เทพงง ๆ ก่อนจะหันไปสบตาคนที่เขาบอกว่าเรียกฉันนานแล้ว
“คุณเพลิงกัลป์เรียกหนูเหรอคะ” มันไม่ได้ยินจริง ๆ
ตั้งแต่ที่ลูกน้องเขาบอกว่าธุระที่เขาจะไปมีแต่ผู้หญิงสาว ๆ สวย ๆ มันก็ทำให้ฉันกลัวจนเผลอคิดถึงแก๊งคนชั่วพวกนั้น
“เหม่ออะไร”
“ขอโทษค่ะ” ฉันจะบอกเขาไม่ได้ว่าวูบหนึ่งเผลอคิดว่าเขาคือคนไม่ดีเหมือนพวกที่ฉันหนีตายมา
“ถ้าไม่มีอะไรก็ไปเถอะ”
เขาบอกเสร็จก็เดินกลับไปขึ้นรถลีมูซีนสีดำมะเมี่ยมคันหรู ฉันยืนมองท้ายรถคันนั้นขับออกไปจนลับตา
“ไปเถอะครับ คุณฟางเซียนอยากดูจุดไหนก่อนไหมครับ”
“...”
“งั้นเอาเป็นตึกบัญชีแล้วกันเพราะคงได้ใช้บ่อยสุด”
อาจจะเพราะฉันไม่ตอบคำถาม คุณทัศน์เทพเลยตัดสินใจเอง
ส่วนตึกบัญชีที่เขาพูดถึง คือสาขาที่คุณเพลิงกัลป์เลือกให้ฉัน ตอนแรกเขาก็ให้ฉันเลือกเองแหละ แต่เพราะฉันเองก็ไม่ได้สนใจวิชาชีพไหนอยู่แล้ว เขาเลยเสนอบัญชีธุรกิจให้ฉัน เพราะเขาบอกว่าเรียนสาขานี้จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจเขาในภายภาคหน้า
ซึ่งจนตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าผู้มีพระคุณทำอาชีพอะไร รู้แค่ว่าเขารวยมาก มีรถหรูมากกว่าสิบคัน มีบ้านหลังใหญ่ราวปราสาท มีบอดี้การ์ดคอยดูแลทั้งที่เพนต์เฮาส์และติดสอยหอยตามเขาเป็นพรวนนั่นอีก แอบคิดเหมือนกันนะว่าเขาเป็นมาเฟียหรือเปล่า ฉันเห็นในหนังเจ้าพ่อบ่อย ๆ น่ะ
“เชิญทางนี้ครับคุณฟางเซียน”
“อย่าเรียกหนูว่า ‘คุณ’ เลยนะคะ”
รีบโบกมือส่ายหน้าห้ามอีกคนที่ผายมือเชิญให้ฉันเดินนำหน้าอย่างมีมารยาท ที่ฉันเรียกพวกเขาว่า ‘คุณ’ เพราะนับถือ แต่ถ้าพวกเขาเรียกฉันกลับด้วยสรรพนามเดียวกันกับคนที่อายุน้อยกว่ามากมันรู้สึกอึดอัด
“แต่นายสั่งให้พวกเราเรียกคุณฟางเซียนแบบนั้น”
ยิ่งได้ยินว่าใครสั่งฉันยิ่งรู้สึกลำบากใจ สี่เดือนที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้พูดคุยกันมาก ฉันเลยยังรับไหว แต่ตอนนี้ต้องพูดอะไรบ้างแล้ว
“งั้นเอาแบบนี้ดีไหมคะ ถ้าต่อหน้าคุณเพลิงกัลป์ ก็เรียกหนูตามที่เขาสั่ง แต่ถ้าอยู่กันลำพังให้เรียกหนูแค่ฟางเซียนก็พอ” ลุ้นในคำตอบของอีกคนที่อะไรที่เป็นคำสั่งผู้เป็นนายเขาจะเคร่งครัดมาก
“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ เพราะตอนนี้คุณ ไม่สิ ฟางเซียนใช้นามสกุลผมอยู่ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินสรรพนามแปลก ๆ แบบนั้นจะสงสัยเอา”
ดีจังที่เขาคุยง่าย
“งั้นไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ถ้าอยู่ลำพังฟางเซียนเรียกผมว่าเฮียเทพแล้วกัน จะได้เหมือนเป็นพี่น้องกันจริง ๆ”
ฉันพยักหน้าตกลงก่อนจะลองเรียกคนตรงหน้าดู
“ค่ะ เฮียเทพ”
“ในที่สุดก็เห็นรอยยิ้มสักที”
รอยยิ้ม?
“เมื่อกี้หนูยิ้มเหรอคะ”
“ไม่แน่ใจ คิดว่ายิ้มนะ”
อะไรของเขา ตกลงฉันยิ้มหรือไม่ยิ้มกันแน่ แต่ที่ฟันธงได้คือ... ฉันไม่รู้จักหน้าตาของรอยยิ้มที่เขาพูดมาเป็นปีแล้วล่ะ
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวเฮียเทพจะพาไปทัวร์มหาลัยเก่านายกัน”
“คุณเพลิงกัลป์เคยเรียนที่นี่ด้วยเหรอคะ”
“อืม น่าจะสิบกว่าปีแล้วล่ะ”
สิบกว่าปี?
นี่เขาอายุห่างฉันกี่ปีกันนะ...
เฮียเทพพาฉันเดินดูอาคารต่าง ๆ ที่ต้องใช้เรียนหลัก ๆ โรงอาหารของคณะและโรงอาหารรวม สหกรณ์ร้านค้าที่ไว้ใช้ซื้อของใช้จำเป็นบางอย่างรวมถึงที่นัดแนะเวลาเลิกเรียน
“เดี๋ยวเราไปโรงพยาบาลกันเลยนะ” เขายกนาฬิกาข้อมือสีเงินขึ้นมาดู
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าส่งยิ้ม
เดินตามร่างสูงที่มีสายตาหลายสิบคู่ทั้งของนักศึกษาที่มาติดต่องาน อาจารย์ที่ยังสาวอยู่ ต่างก็จดจ้องเขาตลอดทางเดิน ใครจะไม่มอง ในเมื่อเฮียเทพทั้งหล่อ สูงยาวเข่าดี ยิ่งทรงผมไถเปิดข้างของเขาคงจะเป็นที่ถูกใจของสาว ๆ แถวนี้
“มีอะไรเหรอ” ฉันคงเผลอพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจดเท้านานเกินไปอีกคนเลยรู้สึกได้
“เฮียเทพมีแฟนยังคะ” ไม่มีอะไรคุยฉันเลยสุ่มคำถามเบสิกที่สุดออกมาเพื่อไม่ให้บรรยากาศรอบตัวเงียบจนเกินไป
“อาชีพอย่างฉันมีแฟนไม่ได้หรอก” เขาตอบแบบไม่ได้มีความรู้สึกผิดหวังหรือเสียใจในสิ่งที่เป็นอยู่เลยสักนิด
“บอดี้การ์ดน่ะเหรอคะ?”
“อืม ฉันเป็นบอดี้การ์ดให้กับตระกูลนายตั้งแต่จำความได้ ครอบครัวนายมีพระคุณกับฉันมาก ถ้าไม่ได้พวกเขา ฉันเองก็ไม่รู้ป่านนี้ชีวิตจะเป็นยังไง”
ชีวิตเขาคล้ายฉันเลยนะ ถึงแม้ฉันจะเพิ่งถูกคุณเพลิงกัลป์มอบชีวิตใหม่ให้แค่สี่เดือน ทว่าฉันกลับตั้งสัตย์ไว้กับตัวเองแล้วว่าจะตอบแทนเขาชั่วชีวิต เพราะงั้นฉันเข้าใจความรู้สึกของเฮียเทพที่อยู่มาก่อนฉันตั้งนานดี
“แล้วคุณเทชิล่ะคะ”
หลุดถามออกไปจนได้ เขาจะหาว่าฉันถามซอกแซกไหมนะ
“เทชิเพิ่งเข้ามาอยู่กับนายใหญ่ที่เสียไปแล้วตอนอายุห้าขวบ ถูกนายใหญ่เก็บมาเลี้ยงอีกนั่นแหละ”
นายใหญ่ที่ว่าคงหมายถึงพ่อของคุณเพลิงกัลป์ ฉันเคยเห็นภาพ ถ่ายของท่านที่แขวนไว้ที่เพนต์เฮาส์ของเขา
“งั้นทั้งสามคนคงสนิทกันมากเลยใช่ไหมคะ”
ชักอยากรู้ความสัมพันธ์พวกเขาแล้วสิ
“ฉันกับเทชิยอมตายแทนนายได้เลยละ”
ทำไมถึงพูดคำว่าตายออกมาง่ายจัง
“ถ้าตายไปแล้วตอบแทนบุญคุณต่อไม่ได้นะคะ หนูว่าเฮียเทพกับคุณเทชิรักษาชีวิตตัวเองแล้วตอบแทนบุญคุณตอนมีชีวิตอยู่ดีกว่าค่ะ”
ฉันไม่ชอบเห็นใครตาย เพราะคนที่ตายคือคนที่ไร้ประโยชน์ ไม่สามารถปกป้องคนที่เรารักต่อได้
“พูดมีเหตุผล งั้นฉันจะจำคำเธอไว้นะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าเขาเห็นแล้วมีความสุขจัง
“อ๊ะ! เมื่อกี้หนูไม่ได้ตั้งใจจะสอนสั่งนะคะ”
เพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าคำพูดเมื่อกี้ไม่สมควรพูดกับผู้หลักผู้ใหญ่
“คิดมาก ขึ้นรถเถอะ”
ได้แต่ก้มหน้างุดอย่างไม่กล้าสู้สายตาอีกคน แม้เขาจะมองมาอย่างแย้มยิ้มก็เถอะ
โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
“น้ำหนักยังไม่ขึ้นเลยนะคะ ช่วงนี้นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายหรือเปล่า” คุณหมอคนสวยถามฉัน
เดือนก่อนหมอประจำตัวฉันเป็นผู้ชายวัยสักสามสิบกว่า ๆ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้เปลี่ยนกะทันหัน เป็นคุณหมอผู้หญิงที่สวยเฉี่ยวคนนี้ได้
“มีอะไรเหรอคะ เห็นจ้องหมอนานแล้ว”
“ขอโทษค่ะ” รีบยกมือไหว้ขอโทษคุณหมอที่เสียมารยาทมองเธอตาไม่กะพริบ
“คุณหมอสวยมาก หนูเลยมองเพลินไปหน่อย” ตอบเสียงเขิน ๆ จนอีกคนหัวเราะคิกคักออกมา
“ใคร ๆ ก็บอกหมอแบบนั้นจนชินแล้วค่ะ”
ถึงว่าคุณหมอคนสวยไม่ค่อยดูตื่นเต้นกับสิ่งที่ฉันชมออกไป
“ที่หมอถาม ตกลงมีอาการไหนบ้างไหมคะ”
อ้อ! ลืมตอบคำถามไปเลย
“หนูชอบฝันร้ายซ้ำ ๆ ค่ะ”
“ฝันร้าย? พอจะเล่าให้หมอฟังได้ไหมเอ่ย” ฉันกำมือทั้งสองข้างเข้าหากันแน่น ทั้งบีบมันจนเลือดไม่ไหลเวียนรู้สึกชาหนึบแล้วค่อยคลายออก
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องกลัว มันก็แค่ฝันนะคะ”
มันก็แค่ฝัน... ทว่าเป็นฝันที่เคยเกิดขึ้นจริงกับฉันมาก่อน
“คุณขัติมากรคะ หายใจเข้าลึก ๆ นะคะ ค่อย ๆ หายใจค่ะ”
ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนมีหมุดหรืออะไรหนัก ๆ มาทับที่อกจนหายใจลำบาก ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ฉันถูกคนกลุ่มนั้นพาตัวขึ้นรถแล้วกระชากลงรถลากไถไปกับพื้นฉันยิ่งตัวสั่น
“คนไข้คะ! ตั้งสติค่ะ ขัติมากร! ตั้งสติหน่อย”
“ฮึก ฮือ...”
กลัว ฉันกลัวเหลือเกิน
เจ็บ! ตรงหลังฉันมันเจ็บมาก ร่างกายก็รู้สึกรวดร้าวไปหมด
จึก!
รู้สึกจี๊ดขึ้นมาที่ต้นแขนข้างหนึ่ง ตามมาด้วยดวงตาค่อย ๆ ปรือลง ร่างกายรู้สึกเบาโหวงไร้เรี่ยวแรง
หมับ!
“พาขึ้นไปพักบนเตียงก่อนค่ะ”
หูฉันได้ยินเสียงคนคุยกัน แต่ไม่กี่นาทีต่อมาทุกอย่างก็ดับวูบลง
Special Part
หลังจากที่หมอลิลณาซักไซ้คนไข้ในความดูแลของเธอ อาการของขัติมากรก็ดูแปลกไปจากปกติ เธอเริ่มเหงื่อตกตามกรอบหน้า ร่างกายสั่นเทา ดวงตาเริ่มเลิ่กลั่กจากอาการหวาดกลัว หมอลิลณาเห็นท่าไม่ดีกลัวเธอจะช็อกจึงรีบฉีดยาสลบแบบอ่อน ๆ ให้ ก่อนจะเรียกพยาบาลเข้ามาช่วยพยุงคนไข้ขึ้นพักบนเตียง
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณลิลลี่?”
ทัศน์เทพที่ได้รับคำสั่งให้ดูแลผู้หญิงในปกครองของนายให้ดีได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงรีบเข้ามาดู
“ฉันน่าจะไปกระตุ้นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำของเธอเข้า”
ลิลลี่ หรือ หมอลิลณา บอกบอดี้การ์ดมือขวาของพี่ชายเธอ
จู่ ๆ ที่หมอประจำตัวของขัติมากรที่ดูแลรักษาเธอมาตั้งสี่เดือนแต่สุขภาพเธอกลับไม่ดีขึ้นเลยทั้ง ๆ วินิจฉัยออกมาเป็นแค่โรคขาดสารอาหาร สาเหตุเพราะความไร้จรรยาบรรณของหมอที่เห็นแค่ความสำคัญของเม็ดเงิน พอครอบครัวเธอจ่ายหนักจ่ายไม่อั้นจึงไม่อยากรีบรักษาให้หาย จนกันตพลจับได้เลยถูกเด้งออกจากโรงพยาบาล
“ผมต้องโทร.รายงานนายก่อน”
ทัศน์เทพรีบเดินออกจากห้องนี้ เขาควักโทรศัพท์เครื่องหรูออกมากดโทร.หานายทันที
“นายเสร็จธุระยังครับ” เขายังคงเกริ่นออกไปแบบปกติ
[ยัง เหมือนจะตกลงกันไม่ได้]
ทางนั้นก็มีปัญหาคาราคาซังยิบย่อยอยู่เหมือนกัน แต่ก็รู้สึกแปลกใจทำไมมือขวาเขาถึงโทร.มาถามเรื่องนี้
[เกิดอะไรขึ้น]
คนถูกตั้งคำถามกลับรวบรวมความกล้ารายงานสถานการณ์ปัจจุบันออกไปทันที
“คุณฟางเซียนเหมือนจะมีปัญหาแล้วครับ”
เพียงแค่อีกฝ่ายได้ยินชื่อที่เขาจดจำได้ขึ้นใจ เสียงเหมือนขยับตัวก็ดังลอดออกมา ตามมาด้วยเสียงโวยวายจากคนหลายคนดังเข้ามาในสาย แลดูวุ่นวายกันหนักกว่าทางนี้
[ตอนนี้อยู่ที่ไหน]
“โรงพยาบาลครับ”
เขาตอบผู้เป็นนายสั้น ๆ อย่างไม่ยืดยื้อ ฝ่ายนั้นวางหูไปแต่ก็ได้ยินเสียงสบถหยาบคายดังมาก่อนสายจะตัด
[แม่งเอ้ย!]
อาการหัวเสียแบบนี้ไม่รู้เพราะยังเจรจาธุรกิจไม่เสร็จหรือเพราะอีกคนที่เขาโทร.ไปรายงาน
“เฮียเพลิงจะมา?”
คุณหมอคนสวยที่ยืนฟังบทสนทนานั้นตั้งแต่นาทีแรกถามขึ้น
“ครับ” ทัศน์เทพตอบสั้น ๆ
“ตกลงเกิดอะไรขึ้น แล้วผู้หญิงคนนั้นคือใคร?”
หมอลิลณาเพิ่งกลับมาจากการไปอบรมวิชาชีพที่ปารีสมาเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เธอเลยไม่รู้ว่าสี่เดือนที่ผ่านมาพี่ชายเธอพาใครเข้ามาอยู่ร่วมชายคาด้วย
พอกลับมาถึงที่นี่ปุ๊บเธอก็ถูกพี่ชายสั่งให้มาดูแลคนไข้คนนี้ แถมยังกำชับอีกว่าต้องพิเศษกว่าคนไข้คนอื่น ๆ เธอเองไม่เคยเห็นพี่ชายที่แสนเย็นชาจะดูห่วงใยใครขนาดนี้ โดยเฉพาะคนแปลกหน้า
“เดี๋ยวคุณลิลลี่ถามจากนายดีกว่าครับ”
ทัศน์เทพไม่อยากก้าวก่ายเรื่องนี้ เขาไม่รู้ว่านายตนเองพาเธอกลับมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร เขาเองก็ไม่เคยเห็นเจ้านายออกมือช่วยใครที่ไม่รู้จักสักที แต่เมื่อสี่เดือนก่อนคำสั่งนายเขายังจำได้ทุกคำ
‘จัดการพวกมัน แล้วไปเอาตัวเธอมา’
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดแม้เขาจะสนิทกับกันตพลมากแค่ไหนก็ยังเดาใจคนเป็นนายไม่ถูกอยู่ดี
”เกิดอะไรขึ้น!”
กันตพลใช้เวลาเดินทางมาที่โรงพยาบาลไม่ถึงสิบนาที เขาให้ฮาเทชิบอดี้การ์ดมือซ้ายขับปาดรถทุกคันที่ขวางทางเขาโดยไม่สนใจว่าจะถูกจับความเร็วหรือมีเสียงร้องด่าตามหลัง
ครั้นมาถึงโรงพยาบาลก็มุ่งหน้ามาที่ห้องทำงานน้องสาวทันที
“ลิลลี่ก็แค่รักษาเบื้องต้น” หมอลิลณาเอ่ยบอกพี่ชาย
“เบื้องต้นเธอคือแบบไหน?”
ดวงตาสีเข้มตวัดมองน้องสาวบุญธรรมที่เติบโตมาด้วยกันอย่างดุกร้าว ก็เพราะแบบนี้ไง... พี่ชายชอบเย็นชากับคนอื่นแบบนี้ เธอเลยอยากรู้ว่าผู้หญิงที่นอนไม่ได้สติบนเตียงเป็นอะไรกับเขา
แค่แววตาที่บ่งบอกว่าร้อนใจ สั่นไหวเมื่อมองหน้าคนบนเตียง เธอก็รู้แล้วว่ามันไม่ปกติสำหรับพี่ชาย
“โรคนี้ไม่ใช่แค่ขาดสารอาหาร แต่เหมือนจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับจิตใจของเธอด้วย” หมอลิลณาเอ่ยบอกพี่ชายพร้อมสังเกตปฏิกิริยาเขาไปในตัว
เธอเห็นกันตพลกำหมัดบ้าง คลายบ้าง เหมือนอยากจะสัมผัสอีกคน แต่ก็เก็บอาการเพราะคนรอบตัวเยอะเกินไป
“ลิลลี่เลยเดาว่าเธออาจะมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วย เลยถามหาสาเหตุ”
“เธอไม่ควรถามแบบบนั้น” เสียงแข็งกร้าวดังขึ้นอย่างไม่พอใจ
ถ้าเป็นเขา... เขาจะไม่ถาม เพราะรู้ดีว่าที่เธอนอนฝันร้ายทุกคืนเพราะอะไร แต่สำหรับลิลณาเธอไม่รู้ เลยต้องรักษาไปตามขั้นตอน จะมาเสียงดุใส่ทำไมกัน
“ลิลลี่เป็นหมอนะ ถ้าไม่ถามก็รักษาไม่ได้” เธออธิบายเหตุผลให้พี่ชายฟังจนอีกคนค่อย ๆ ตั้งสติแล้วผ่อนคลายอารมณ์หงุดหงิดลง
“แล้วนี่ทำไมเธอไม่ฟื้น”
“ลิลลี่ให้ยาสลบเพื่อระงับอาการหวาดกลัวของเธอ น่าจะอีกห้าถึงสิบนาที ถึงจะฟื้น” ไม่อยากคุยกับพี่ชายแล้ว อยู่แล้วอึดอัด ออกไปสูดอากาศพร้อมหาเรื่องหลอกถามความสัมพันธ์ของสองคนนี้จากลูกน้องเขาดีกว่า
“ลิลลี่รอด้านนอกนะคะ ถ้าเธอฟื้นเรียกด้วย”
ร่างเล็กสวมเสื้อกาวน์กำลังจะเดินออกไป ทว่าไม่ลืมส่งสายตาบอกให้บอดี้การ์ดพี่ชายทั้งสองคนตามออกมาด้านนอกด้วย
เมื่อในห้องไม่มีคนอื่น เหลือแค่เขากับอีกคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง กันตพลจึงค่อย ๆ เอื้อมมือหนาวางบนเตียงที่ขัติมากรนอนอยู่ เขาวางมันไว้แค่พื้นเตียง ไม่ได้แตะต้องเนื้อตัวเธอสักนิด พลางสมองก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตัดสินใจพาคนแปลกหน้าคนแรกในชีวิตกลับมาด้วย
เมื่อสี่เดือนก่อน เขามีนัดเจรจาธุรกิจค้าอาวุธกับรายใหญ่ที่เมืองกว่างโจว ครั้นตกลงกันเรียบร้อยเขาจึงให้ลูกน้องขับรถกลับที่พัก แต่จังหวะที่รถขับผ่านสะพานข้ามแม่น้ำจู สายตาดันสะดุดเข้ากับแผ่นหลังบางที่ยืนเกาะราวสะพานอยู่อย่างเหม่อลอย
เขาสั่งให้ทัศน์เทพจอดรถเพื่อมองดูเธอคนนั้นหลายนาที เห็นหมดทุกอย่างว่าเธอคิดจะทำอะไร จวบจนเธอคนนั้นตัดสินใจเดินกลับมายังจักรยานคันเก่า ๆ เขาเลยโล่งอก และเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่เขาเห็นแผ่นหลังและใบหน้าเพียงครึ่งเสี้ยวแถมยังมืดสลัว เขากลับลืมเธอไม่ลง
ไม่รู้ว่าต่อมาเป็นพรมลิขิตหรือแค่เรื่องบังเอิญ กันตพลขับรถผ่านไปทางเดียวกับรถที่จับตัวขัติมากรมาพอดี เพียงแค่เขาเห็นแผ่นหลังบางนั้นอีกครั้งก็จำได้ทันทีว่าคือคนเดียวกันที่ตรึงหัวใจเขาไว้จนถึงตอนนี้ เขาสั่งลูกน้องให้ลงไปช่วยเหลือเธอทันทีโดยไม่คิดถึงความวุ่นวายที่จะตามมา
ขัติมากรสลบตั้งหลายนาทีพอฟื้นขึ้นมาก็เอาแต่หวาดกลัวเขาและลูกน้องเพราะคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน กว่าจะพูดให้เธอไว้ใจได้ก็นานเอาเรื่องอยู่ พอคนที่สติแตกกระเจิงตั้งสติได้ กันตพลก็ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นทันที
เสียงสั่นเครือและยังหวาดระแวงในตอนนั้นเล่าเพียงแค่ว่า เธอถูกจับตัวมาจากพวกค้ามนุษย์เพราะที่บ้านติดหนี้พวกมัน โดยที่เก็บราย ละเอียดส่วนสำคัญเกี่ยวกับป้าแท้ ๆ เอาไว้ กันตพลได้ฟังเรื่องราวก็หดหู่ตาม เขาเซ็นเช็คจำนวนถึงสิบหลักส่งให้เธอในทันที