ฟิ้ว~
สายลมเย็น ๆ พัดต้องร่างบางที่ยืนอยู่บนสะพานสูงที่พาดผ่านแม่น้ำจูในมณฑลกวางตุ้งของประเทศจีน ค่ำคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างไสวทำให้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับแลดูสวยสดงดงามกว่าคืนไหน ๆ
หากแต่คนที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแสนโรแมนติกนี้ กลับมีใบหน้าที่เหม่อลอยทอดมองไปข้างหน้าอย่างไม่มีสิ้นสุดเท่าที่สายตาคนธรรมดาจะมองถึง
สองมือบางกำขอบราวสะพานไว้หลวม ๆ คืนนี้ทำไมผู้คนถึงได้เงียบเหงาทำให้เธอที่ยืนอยู่ตรงนี้คนเดียวดูโดดเดี่ยวขึ้นเป็นทวีคูณ
อืม…โดดเดี่ยวเหรอ?
ปกติก็โดดเดี่ยวเหมือนตัวคนเดียวอยู่แล้วนี่นะ
หญิงสาวยังคงยืนเหม่อมองสายน้ำที่ไหลอย่างเงียบสงบ พร้อมก่อเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาในหัวสมอง กลางดึกแบบนี้ หากสายน้ำที่นิ่งสงบมีอะไรหนัก ๆ หล่นกระทบจะเกิดเสียงดังกังวานหรือเปล่านะ
แล้วถ้าสิ่งที่หล่นลงในแม่น้ำตอนนี้คือวัตถุบางอย่างที่มีน้ำหนักสี่สิบห้ากิโลกรัมแบบเธอ สายน้ำจะกระเพื่อมสั่นไหวและจมลงไปได้ลึกเท่าไรกัน
เพียงแค่สมองคิด มือบางที่วางเกาะราวกั้นเหล็กของสะพานก็กำแน่น หัวใจที่เต้นตึกตักอยู่เหมือนจะเต้นแผ่วลงราวไม่อยากขยับ
ปู๊นนนน…
เสียงหวูดของเรือโดยสารลำใหญ่ดังขึ้น ทำให้สติเธอกลับมา
ร่างบางค่อย ๆ ถอนหายใจ ยกมือขึ้นรวบผมที่ยาวสลวยปลิวไปตามแรงลมรวบเข้าด้วยกันให้อยู่กลางศีรษะ ใช้ยางรัดผมค่อย ๆ มัดเส้นผมนั้นให้มั่นเป็นทรงหางม้า เดินหันหลังกลับไปยังจักรยานคันเก่า ๆ ที่สนิมเกรอะแทบจะทุกซี่ของล้อรถเพื่อปั่นนำโจ๊กร้อน ๆ กลับไปให้คนที่รออยู่ที่บ้านซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอ
ใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบนาทีรถจักรยานคันเก่า ๆ เจ้าของแรงปั่นก็กลับมาถึงบ้านปูนหลังหนึ่ง มองแค่ภายนอกก็รู้ฐานะของคนอาศัยอยู่ทันที
คราบน้ำและสีที่ลอกจากการคงอยู่ที่เป็นเวลานาน มีส่วนแตกหักของปูนเปลือยตามกำแพงบ้าน คราบตะไคร่สีเขียวที่ขัดทำความสะอาดอย่างไรก็ไม่เคยสะอาดดั่งใจคิด แต่กระนั้นก็ดีมากโขแล้วที่เธอยังมีที่ซุกหัวนอนไม่โดนน้ำฝน โดนแดดแผดเผา
“ทำไมวันนี้คนเยอะจัง”
จักรยานถูกจอดไว้หน้ารั้วบ้าน เธอมองเข้าไปด้านในเห็นแสงไฟสว่างอยู่แถมยังมีรถจอดอยู่เยอะกว่าทุกวัน
“คุณป้าคงจะเสี่ยงดวงอีกแล้ว”
เธอถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอากับนิสัยชอบเล่นการพนันของป้าเธอ เล่นมาตั้งเป็นปี จากบ้านที่หลังใหญ่หรูหรามีกินมีใช้ ต้องย้ายเร่ร่อนมาอยู่บ้านทรุด ๆ โทรม ๆ ก็เพราะไอ้ผีพนันพวกนั้นเข้าสิง
แทนที่จะคิดได้ แต่ยิ่งเสียก็ยิ่งอยากเอาคืน หวังว่าต้องมีสักตาที่เป็นของเรา ทั้ง ๆ ที่สุดท้ายก็วนลูปเสียแล้วก็เสียเหมือนเดิม
“ขออีกพันหยวนนะจะเอามาแก้มือ”
เสียงป้าเหยา ป้าแท้ ๆ ของเธอร้องขอยืมเงินจากเพื่อน ๆ ในวงดังลอดออกมาจนถึงหน้าบ้าน หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าไปมาเมื่อคำนวณเงินที่คนเป็นป้าเป็นหนี้ตอนนี้มากจนจะแตะห้าหมื่นหยวนอยู่แล้ว
ก้มลงมองโจ๊กในมือแล้วถอนหายใจอย่างสมเพชตัวเอง เงินพันหยวนถ้ามีคนให้ป้าได้ เธอก็อยากยืมมาไว้ใช้ซื้อข้าวสารกรอกหม้อบ้างเหมือนกัน ลำพังกินแต่โจ๊กทุกวันจนแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงทำงานตอนกลางวันอยู่แล้ว
“แสนหยวน!” เสียงตกใจของป้าเหยาดังลั่นบ้าน
ไม่ใช่แค่ป้าเธอตกใจ แต่ตัวเธอเองก็ตกใจเช่นกันที่ได้ยินคำว่า ‘แสนหยวน’
“เอาเลยม้า”
นี่ไม่ใช่เสียงใคร เป็นเสียงของลูกป้าเหยาที่ชื่อจิ้นหงนั่นเอง
“มันจะง่ายขนาดนั้นเหรอ” ผู้เป็นแม่ถามลูกสาวคืน
จำนวนเงินมันล่อตาล่อใจพวกเธอมาก หากแต่ของแลกเปลี่ยนคืออะไรล่ะ
“แลกกับอะไร”
เซินเหยาถามชายที่วันนี้มาร่วมเล่นพนันเป็นเพื่อนเธอ
“ได้ข่าวว่าบ้านนี้มีลูกสาวสวย”
สองแม่ลูกมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนที่คนดังกล่าวจะพูดต่อ
“อีกคนที่ไม่ใช่คนนี้”
คำว่า ‘ไม่ใช่คนนี้’ ย่อมหมายถึงจิ้นหงที่ตอนแรกหลงหวาดกลัวคิดว่าตนเองจะถูกแม่แท้ ๆ ขายแลกเงินเสียแล้ว แม้จะเสียหน้าแต่พอเงินมากมายขนาดนั้นแลกกับอีกคนเธอก็รีบสะกิดแม่แท้ ๆ ให้รับปากทันที
“แบบนั้นก็เท่ากับขายคนกินน่ะสิ”
“ม้าสงสารมันจริงอะ?”
จิ้นหงมองตาผู้เป็นแม่ก็รู้แล้วว่าแสร้งทำอยู่
“เดี๋ยวขอไปตกลงกับลูกสาวแป๊บนะ”
เซินเหยารีบดึงแขนลูกสาวแท้ ๆ ออกมาคุยกันในมุมอับสายตา
“ม้าว่าเราน่าจะเรียกได้เยอะกว่านี้นะ”
จิ้นหงมองหน้าแม่ตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะตาโตเมื่อสมองที่มีน้อยนิดเข้าใจในเวลาต่อมา
“สด ๆ ซิง ๆ แบบนั้น พวกในบ่อนชอบใช่ไหมม้า” รอยยิ้มชั่วร้ายของสองแม่ลูกผุดพรายขึ้น ก่อนทั้งสองคนจะเดินกลับไปแสร้งแสดงละครฉากใหญ่ขึ้นมา
“ฟางเซียนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของพวกเรา พวกคุณก็รู้”
เซินเหยาทำเสียงไม่พอใจออกมาเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับแข็งกระด้าง
“แค่แสนหยวนพวกเราใช้ไม่ถึงปีก็หมดแล้ว แต่ถ้ามีฟางเซียนอยู่ใช้แรงงาน เรารอดไปได้อีกหลายสิบปี” จิ้นหงเสริมอีกแรง
ชายฉกรรณ์สองคนหันมองหน้ากันราวรู้ทันสองแม่ลูกนี้
“เราต้องตรวจสอบของแลกเปลี่ยนก่อน ถ้าสดซิงจริง นายใหญ่จ่ายไม่อั้น”
คำว่า ‘จ่ายไม่อั้น’ ทำสองแม่ลูกตาโต และเป็นจังหวะเดียวกันกับบุคคลที่มีชื่อในบทสนทนาที่ไม่รู้ชะตากรรมของตนเองเดินเข้ามาในบ้านพอดี
“ฟางเซียนมานี่!”
ผู้เป็นป้าตะโกนเรียกเสียงดังทำเอาหญิงสาวเจ้าของชื่อ
‘ฟางเซียน’ ชื่อที่มีความหมายไพเราะเพราะพริ้ง ‘นางฟ้าผู้มีกลิ่นหอม’ รีบเดินก้มหน้าเข้าไปหาผู้มีพระคุณทันที
“ป้าจะกินโจ๊กเหรอคะ” เสียงแสนไพเราะถามขึ้น
เธอไม่กล้าแม้สบตามองชายสองคนที่นั่งร่วมวงกับผู้เป็นป้า แล้วไหนจะมีอีกสามคนที่ยืนคุมอยู่หน้าประตูนั่นอีก
วันนี้ทำไมถึงมีแต่ผู้ชายมาเล่นพนันกับป้าเธอกันนะ
“เก็บโจ๊กนั่นไปเถอะ ต่อไปพวกฉันจะไม่แตะของเส็งเคร็งแบบนั้นอีก”
“จิ้นหง!”
ผู้เป็นแม่รีบห้ามลูกสาวเพราะกลัวจะทำเสียแผนแหวกหญ้าให้งูตื่น
“แล้วคุณป้าจะให้หนูทำอะไรคะ”
ฟางเซียนเอ่ยถามอย่างสุภาพ ทั้ง ๆ ที่ในใจเธอรู้สึกว่าวันนี้มีหลาย ๆ อย่างผิดปกติ
“ตั้งแต่วันนี้ไป เธอต้องเปลี่ยนที่ทำงาน”
“ที่ไหนคะ แล้วทำไมต้องเปลี่ยน”
หญิงสาวถามออกไปอย่างไม่รั้งรอ
“ม้าสั่งอะไรเธอก็ทำ ๆ ไปเถอะ!”
ฟางเซียนมองสบตาจิ้นหงผู้มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ด้วยสายตาสงสัย
วันนี้เจ้หงทำไมพูดมากจัง แถมปกติเวลาเที่ยงคืนแบบนี้ต้องอยู่ในห้องนอนแล้ว แต่ทำไมวันนี้ทุกอย่างถึงดูไม่ปกตินะ
“แล้วงานอะไรล่ะคะ”
สุดท้ายจำต้องเลิกแสดงออกว่าสงสัยและอ่อนข้อลง
“พวกพี่เขามารับเธอไปทำงาน”
เธอมองตามสายตาป้าเหยาที่มองไปทางชายแปลกหน้าที่นั่งตรงข้ามกับพวกเธอ ทำไมแต่ละคนดูน่ากลัวเหมือนพวกมาเฟียเลย
“งานอะไรคะ?”
ถามไม่เต็มเสียงเพราะรู้สึกกลัวสายตาที่มองมา
“อย่าถามมาก แกก็แค่ตามพวกเขาไปก็จบแล้ว!” จิ้นหงหมั่นไส้ความอืดอาดเล่นตัวของญาติผู้น้องจนต้องตะคอกเสียงใส่
“แต่หนูต้องถามให้รู้ว่าคืองานอะไร”
แม้ปีนี้ฟางเซียนเพิ่งจะอายุเพียงแค่สิบแปด แต่เธอก็ไม่ได้หัวอ่อนเชื่อใครง่าย ๆ เลยยังไม่ยอมรับปากคนแปลกหน้าถ้าหากยังไม่รู้สิ่งที่อยากรู้ จนคนที่เสนอเงินแสนหยวนให้ครอบครัวนี้ต้องเอ่ยอะไรบ้าง
“งานนี้สบาย หนูได้ทำงานอยู่ในห้องแอร์ ค่าแรงก็เยอะ แถมยังช่วยครอบครัวให้สุขสบายขึ้น แบบนี้ยังจะลังเลอยู่อีกไหม”
มีด้วยเหรองานที่สบายขนาดนั้น
“ต้องไปตอนนี้เลยเหรอคะ”
ตุ้บ! เสียงทุบมือลงบนโต๊ะดังลั่นห้องสี่เหลี่ยม
“เลิกถามได้แล้ว แกคงไม่อยากเห็นป้าแก่ ๆ ที่เลี้ยงแกมาตั้งหลายปีสุขสบายสินะถึงได้ถามอะไรมากมายแบบนี้ นี่แหละนะที่เขาบอกอย่าเอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม เพราะต่อให้ดียังไง มันก็ไม่เห็นหัวเราเพราะไม่ใช่เลือดแท้ ๆ”
เสียงสะอื้นราวเสียอกเสียใจของเซินเหยาทำเอาฟางเซียนที่มีจิตใจบริสุทธิ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วรู้สึกเจ็บปวดที่คนเป็นป้าตัดพ้อเธอแบบนั้น
“หนูไม่เคยลืมบุญคุณที่ป้าเลี้ยงดูเลยนะคะ”
“โกหก! ก็เห็น ๆ อยู่ว่าแกไม่อยากทำงานที่พวกพี่เขาเสนอให้ งานที่ได้เงินเยอะ ๆ แล้วพวกฉันสบาย”
คำพูดของจิ้นหงทำเธอเจ็บในอก
ถ้างานที่ว่ามันสบายและได้เงินเยอะแบบนั้นทำไมเจ้ไม่ทำเองล่ะ
คนชอบสบายแบบเจ้น่าจะเหมาะกับงานแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?
“นี่แสนหยวน ไม่ขาดไม่เกิน ถ้าผลงานออกมาถูกใจ เราจะเอามาเพิ่มให้อีกสองเท่า”
กระเป๋าสีดำถูกวางลงตรงกลางโต๊ะ เพียงแค่ไม่ถึงนาทีสองคนแม่ลูกก็รีบคว้ามันไปและวิ่งไปยืนอยู่มุมห้องกอดกระเป๋านั้นไว้อย่างหวงแหน
ฟางเซียนได้แต่มองพฤติกรรมของญาติเธออย่างงุนงง ก่อนที่จะได้ซักถามอะไรต่อ ข้อมือน้อย ๆ ของเธอก็ถูกคว้าไว้แน่น ดวงตาเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ พยายามขืนแรงที่ฉุดกระชากเธอแต่สู้พลังของร่างชายคนนั้นไม่ไหว
“ขอบใจนะฟางเซียนที่ทำให้พวกเราสุขสบาย” เสียงจิ้นหงตะโกนอย่างเยาะเย้ยและสะใจที่ตัดกาฝากอย่างเธอออกไปจากชีวิตได้
“ไม่! ปล่อยนะ ป้าเหยา เจ้หง ช่วยหนูด้วย!”
เสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือของเธอส่งถึงคนที่ถูกเอ่ยชื่อ เพียงแต่พวกเขาเลือกเมินเฉยแล้วมีความสุขกับเม็ดเงินที่แลกมาด้วยชีวิตของคน ๆ หนึ่ง อย่างไม่มีความละอายแก่ใจ
“ขึ้นรถ!”
ตุ้บ!
หัวไหล่มนกระแทกเข้ากับขอบรถจนรู้สึกเจ็บแปลบ ร่างกายทุกส่วนบอบช้ำเพราะการขัดขืน ชายสองคนนั่งขนาบข้างเธอเพื่อให้ไร้หนทางหลบหนี ก่อนที่รถยนต์สีดำมะเมื่อมจะเคลื่อนออกไปจากบ้านที่เธออาศัยอยู่
“ปล่อยหนูไปเถอะนะคะ”
ตอนนี้รู้แล้วว่างานที่พวกเขาให้ทำไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่ ๆ เงินค่าตัวที่สูงลิ่วขนาดนั้น เธอไม่อยากจินตนาการเลยว่ามันคือการค้ามนุษย์ที่คนเป็นป้าทำกับเธอได้ลงคอ
“อย่าแค้นพวกเราเลยคนสวย ต้องโทษสองแม่ลูกหิวเงินนั่นที่ทำลายชีวิตเธอ”
ก็ถูกของเขา...
ถ้าป้าเหยาไม่รับเงิน เธอคงไม่อยู่ในสภาพนี้ แต่ถ้าเธอยอมรับชะตากรรมนี้ เธอก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วเช่นกัน
“โอ๊ย! นังบ้าเอ๊ย!”
เสียงชายที่นั่งข้าง ๆ เธอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อฟางเซียนตัดสินใจกัดเข้าที่หูของชายคนนั้น ส่วนอีกคนที่นั่งอีกฝั่งรีบดึงเธอออกแต่ก็ถูกแรงเท่ามดในคราวแรกกระแทกเข้าเต็ม ๆ ที่ของรักของหวงจนเจ็บจุก
รถที่เคลื่อนตัวอยู่รีบจอดทันทีเพื่อหวังจะสั่งสอนให้หลาบจำ ร่างบางถูกลากลงมาจากรถอย่างไม่มีความเมตตาสงสารใด ๆ ทั้งสิ้น ผลักเธอให้กองอยู่ข้างถนน มือหนาของคนใจร้ายง้างขึ้นหมายจะตบตี
ปี้น ๆ
เสียงแตรรถปริศนาคันหนึ่งขับผ่านมาพอดี จึงบีบแตรส่งสัญญาณ แต่พวกเขาไม่ได้ตกใจหรือเกรงกลัวรถอีกคันที่ขับมาเลยสักนิด นี่มันถิ่นเขา ใครจะใหญ่ไปกว่าเจ้านายที่คุมเขตกว่างโจว ทั้งเมืองกันล่ะ
“ฉุด?”
คำถามสั้น ๆ ดังขึ้นพร้อมร่างกำยำผมสีดำสวมสูทสีเดียวกับผมเดินลงมาจากรถหรูคันที่เพิ่งบีบแตรใส่พวกเขา เค้าโครงหน้าไม่ใช่คนประเทศตนแน่ ออกไปแนวคนชาติญี่ปุ่นมากกว่า แต่กลับพูดภาษาถิ่นได้ชัดขนาดนี้น่าจะไม่ใช่ผู้ผ่านทางธรรมดา
“ถ้าไม่อยากไปเฝ้ายมบาลก็ไสหัวไปซะ!” เสียงตะโกนกร้าวเบ่งความยิ่งใหญ่จากชายคนที่กำลังจะง้างมือขึ้นทำร้านผู้หญิงดังขึ้น
“ครับนาย”
ผู้มาเยือนคนใหม่ใช้มือแตะเครื่องสื่อสารที่ติดอยู่ในหูเพื่อรับคำสั่งจากนายที่อยู่ในรถให้จัดการสวะพวกนี้ให้สิ้นซาก
ร่างสูงในชุดสูทสีดำเดินอย่างองอาจไปด้านหน้าอย่างไม่กลัวคนกลุ่มหนึ่งที่มีมากกว่าตนถึงสี่เท่า เจ้าผอมหนึ่งในแก๊งที่เพิ่งฉุดฟางเซียนมารีบปรี่เข้าหมายจะทำผลงานแต่ถูกสับศอกลงท้ายทอยจนสลบเหมือด
คนอื่น ๆ เห็นท่าไม่ดีเตรียมจะล้วงปืนออกมาจัดการให้จบ ๆ ไปแต่เสียงปืนจากกระบอกอื่นจากฝ่ายตรงข้ามกลับดังขึ้นก่อน แถมเข้าเป้าที่หน้าขาชายคนที่สองที่เป็นพวกเดียวกันกับคนแรกที่สลบไปแล้ว
“ลากตัวยัยนั่นขึ้นมา!”
เสียงคนที่มีหน้าที่ขับรถตะโกนเรียกพรรคพวกเมื่อเห็นท่าไม่ดี
ร่างบอบบางของฟางเซียนถูกกระชากกลับขึ้นรถอีกครั้ง แต่นั่นช้ากว่าชายแปลกหน้าที่เป็นพลเมืองดี เขาคว้าแขนเธอไว้ทันแถมส่งลูกถีบเข้าเต็มหน้าท้องสมุนอีกคนของแก๊งอันธพาลจนล้มจุกกลิ้งไปมาบนพื้นแข็ง
บรืนนนน~
เสียงล้อลดเบียดถนนพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่คิดเหลียวแลเพื่อนสามคนที่นอนกองอยู่ตรงนี้
“ไสหัวไป ถ้าอยากมีชีวิตอยู่”
พลเมืองแปลกหน้าผู้ใจดีแต่น่ากลัวเอ่ยเสียงทุ้มบอกอีกฝ่าย ก่อนจะพยุงร่างบางที่บอบช้ำไปทั้งร่างกายแถมสลบไปตอนไหนก็ไม่รู้ขึ้นรถที่จอดสนิทอยู่ทันที
“ขอบใจ” เขาเอ่ยบอกเจ้าของกระสุนเมื่อสักครู่ที่เป็นเพื่อนกันก่อนจะเดินอ้อมไปขึ้นนั่งประจำที่อีกฝั่งข้างคนขับ
“นายจะเอายังไงต่อ” เจ้าของกระสุนนั้นถามผู้เป็นนายที่นั่งมองร่างบางที่ไร้สติอย่างเดาความคิดไม่ออก
“กลับ!”
สิ้นคำสั่งนั้น รถหรูก็ขับทะยานกลับสู่ที่พักทันที
ทุกอย่างถูกชายฉกรรณ์สามคนที่ถูกลอยแพจดจำรายละเอียดเท่าที่จำได้ไว้ในสมอง พวกเขาต้องเอาเรื่องนี้ไปฟ้องนายเพื่อลบความผิด พลาดในครั้งนี้
คิดมีเรื่องกับ ‘เฉิง กวง หมิน’ ผู้มีอิทธิพลดำมืดในกว่างโจวเท่ากับเอาขาข้างหนึ่งเหยียบนรกไปแล้ว
ประเทศไทย
4 เดือนต่อมา
‘ไม่นะ ปล่อย!’
เฮือก!!
ฉันสะดุ้งจากฝันร้ายจากเหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อน เหงื่อกาฬผุดเต็มหน้าผากจนต้องยกมือขึ้นปาดแล้วปาดอีก
“ตื่นแล้ว”
“อะ!”
เสียงทุ้มดังขึ้นอยู่ข้างเตียงทำเอาฉันตกใจรีบลุกพรวดขึ้นจากการนอนหายใจหอบเหนื่อยทันที
ผู้ชายผมสีเงิน ดวงตาแสนเย็นชา สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีดำตลอดเวลา กำลังนั่งจ้องหน้าฉันอย่างไม่อาจคาดเดาความคิดได้
“ฝันร้ายอีกแล้ว”
คำตอบแรกฉันยังไม่ได้ตอบเขาเลย แต่คิดว่าไม่จำเป็นแล้วแหละ
“ค่ะ” ตอบเขาเสียงอ้อมแอ้ม
ผู้ชายตรงหน้าเขาคือผู้มีพระคุณที่ช่วยฉันจากการถูกป้าแท้ ๆ ขายให้กับแก๊งมาเฟียตอนอยู่ที่บ้านเกิด จนจับพลัดจับพลูได้ติดสอยห้อยตามเขามาอยู่ที่ประเทศไทย
“ไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้ฉันจะพาเธอไปเข้าเรียน” ดวงตาเรียวเบิกกว้างขึ้น ก่อนคำถามต่อมาจะหลุดออกจากปากอย่างลนลาน
“คุณเพลิงกัลป์จะพาหนูไปเรียนเหรอคะ”
ตอนนี้ฉันมีสองอารมณ์ในคำถามนั้น
‘ดีใจ’ ที่จะได้ไปเรียน กับ ‘ตื่นเต้น’ ที่จะได้ไปทำในสิ่งที่ใฝ่ฝันมาโดยตลอด
“อืม” คำตอบสั้น ๆ ดังขึ้น
คุณเพลิงกัลป์เคยมีรอยยิ้มบ้างไหมนะ?
ถึงเขาจะเป็นคนหน้าตาดี แต่เท่าที่ฉันอาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะเด็กในปกครองของเขา ยอมรับเลยว่ายังไม่เคยเห็นมุมอ่อนโยนหรือแม้แต่รอย ยิ้มของเขาเลยสักครั้งเดียว
“มองอะไร” เสียงกึ่งดุถามขึ้น
“เปล่าค่ะ” ฉันรีบส่ายหน้าไปมา ก้มหน้างุดหลบสายตานั้นทันที
ร่างสูงคงเสร็จธุระกับฉันแล้ว เขาเลยค่อย ๆ ลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกจากห้องฉันไป
“เสื้อผ้า... ฉันแขวนไว้ตรงนั้น” มองตามสายตาที่เขาโฟกัส เห็นชุดนักศึกษาความยาวน่าจะคลุมเข่าอยู่ชุดหนึ่ง
“รีบอาบน้ำแล้วลงไปข้างล่าง”
ฉันพยักหน้าหงึก ๆ อย่างไม่ออกเสียงเพราะรู้สึกเกร็งทุกครั้งที่อยู่กับเขาตามลำพัง
“แค่เอาชุดมาให้เหรอ?” พึมพำกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เขาสั่งให้แม่บ้านเอามาให้ก็ได้ แต่นี่ลงทุนเดินจากชั้นสองเอามาให้ฉันที่อยู่ชั้นสี่ ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ แต่ก็ช่างเถอะ เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ฉันก็ไม่เคยรู้เหตุผลที่เขาช่วยฉันรวมถึงพาฉันมาที่นี่เลยสักเหตุผลเดียว
พาร่างบอบบางที่หนักเพียงแค่สี่สิบสามเพราะกินไม่ค่อยได้เนื่อง จากแปลกที่ ค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเตียงนอนขนาดคิงไซซ์ เดินไปจับชุดนักศึกษาที่ฉันใฝ่ฝันอยากจะสวมมันมานานมากแล้วแม้จะไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ใส่ชุดของประเทศเพื่อนบ้านนี้ก็ตาม
“นี่เรากำลังจะได้เรียนจริง ๆ ใช่ไหม”
รู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
ตอนที่อยู่ที่กว่างโจว ฉันเคยเรียนกับโรงเรียนเล็ก ๆ ที่มีอาจารย์มาเปิดสอนเด็กยากจนให้พออ่านออกเขียนได้ แต่ด้วยความที่ฉันมีพื้นฐานตอนเรียนมัธยมต้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วฉันเลยเก่งกว่าเด็กคนอื่น ๆ
ถามว่าฉันมีพื้นฐานได้ยังไงน่ะเหรอ?
เพราะตอนมัธยมต้นฉันยังไม่สูญเสียแม่แท้ ๆ ไปยังไงล่ะ
ท่านเพิ่งมาจากฉันเพราะโรคร้ายตอนฉันอายุสิบเจ็ด และเพียงแค่ปีเดียวที่อยู่กับป้าเหยา พี่สาวแท้ ๆ ของแม่ ชีวิตฉันก็เปลี่ยนจากเด็กไฮโซกลายเป็นยาจกในเวลาไม่ถึงสามเดือน
สาเหตุน่ะเหรอ?
ก็เพราะผีพนันไงล่ะ..!
ป้าเหยาติดพนัน เล่นอย่างหามรุ่งหามค่ำอยู่ในกาสิโนเถื่อน
ตอนแรก ๆ ฉันก็เห็นท่านอารมณ์ดี มีขนมและของฝากติดไม้ติดมือมาให้ฉันกับเจ้หงตลอด แต่ผ่านไปไม่ถึงสองเดือนเต็มด้วยซ้ำ จากเพชรเต็มคอ แก้วแหวนเงินทองเต็มบัญชี ท่านก็เริ่มเข้ามาวุ่นวายที่สมบัติของแม่ฉันที่ทำพินัยกรรมให้ท่านเป็นผู้ดูแลมรดกพวกนั้นจนกว่าฉันจะบรรลุนิติภาวะ
จนอยู่มาวันหนึ่ง มีกลุ่มชายน่ากลัวหลายสิบคนเข้ามายึดบ้านฉันที่เป็นหนึ่งในมรดกที่แม่ทิ้งไว้ให้ ยึดรถยึดโฉนดที่ดิน ทุก ๆ อย่างที่เป็นของ
‘จินฟางหรง’ หรือแม่แท้ ๆ ของฉันเอง
รีบสะบัดหัวไล่อดีตที่ขมขื่นออกไปแล้วกลับมาสู่ปัจจุบัน ฉันต้องรีบไปอาบน้ำเพราะไม่อยากเสียมารยาทให้ผู้ใหญ่รอนาน แต่พอส่องกระจกทีไรหัวใจก็แทบจะหยุดเต้น ตรงปีกไหล่ด้านหลังฉันมีรอยแผลเป็นยาวประมาณห้าเซนฯ ได้ ที่มาของแผลนี้ก็เกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันได้พบกับคุณเพลิง กัลป์นั่นแหละ
ฉันอยากลบรอยนี้!
แต่ก็อยากเก็บไว้เตือนสติและความทรงจำตัวเองว่าสาเหตุที่แท้ จริงเกิดจากใคร
ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นานก็รีบขึ้นลิฟต์ลงมาชั้นล่าง บ้านที่ฉันอาศัยอยู่ตอนนี้ เห็นคุณเพลิงกัลป์บอกว่ามันคือเพนต์เฮาส์ของเขา
มีทั้งหมดสี่ชั้น...
ชั้นบนสุดมีสามห้อง และหนึ่งในนั้นคือห้องนอนส่วนตัวของฉัน ส่วนชั้นสามทั้งชั้น ฉันไม่เคยได้เหยียบมันเลยเพราะเป็นชั้นส่วนตัวของเขา ถัดลงมาเป็นห้องทำงาน และชั้นสุดท้ายที่ยืนอยู่เป็นห้องนั่งเล่น ห้องออกกำลังกาย ห้องโฮมเธียเตอร์ ห้องครัว แบ่งตามสัดส่วนกันไป
“มาแล้วเหรอ”
ทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะทานข้าวขนาดใหญ่ที่ดูอ้างว้างเพราะเรานั่งทานกันแค่สองคน เสียงทุ้มทรงอำนาจของเจ้าบ้านก็ถามขึ้น
“ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ”
ไม่รู้ว่าตัวเองอาบน้ำแต่งตัวนานไปไหม แต่ฉันเป็นแค่ผู้อาศัยที่ค่อนไปทางคนแปลกหน้าสมควรจะมาถึงโต๊ะอาหารก่อนเจ้าของบ้านด้วยซ้ำ เลยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
“นั่งสิ”
เก้าอี้พนักพิงหลังทรงสูงถูกลูกน้องเขาที่ชื่อ ‘คุณฮาเทชิ’ ลากออกพอประมาณให้ร่างน้อย ๆ ของฉันสอดแทรกเข้าไปนั่งได้สะดวก
“ขอบคุณค่ะ”
รู้สึกเกร็งทุกครั้งที่ทำกิจวัตรประจำวันแบบนี้
“สี่เดือนแล้วยังไม่ชินอีกหรือไง”
ร่างสูงมีสง่าราศีนั่งไขว่ห้างมือข้างหนึ่งจับแก้วกาแฟดำของโปรดขึ้นจิบ ส่วนมืออีกข้างถือแท็บเล็ตเครื่องหรูตลอดเวลาเอ่ยถามขึ้นพร้อมเหลือบมองฉันเล็กน้อย
“ค่ะ” ไม่รู้จะตอบแบบไหนดี เลยได้แต่พยักหน้าและตอบออกไปคำเดียว
สี่เดือนสำหรับการกินอยู่ที่นี่ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกคุ้นชินเลย กลับกัน รู้สึกว่ายิ่งอยู่ฉันยิ่งเกร็งและอึดอัดเพราะบ้านหลังนี้หาคนที่ยิ้มและหัวเราะได้ยากมาก
“สุดหล่อมาแล้วครับนาย” เสียงทุ้มอีกเสียงดังขึ้น
ส่วนสูงร้อยแปดสิบกว่า ร่างกายกำยำ ไถผมเปิดข้าง ทรงฮิตของวัยรุ่นแนว ๆ มาเฟียที่ฉันเคยอ่านในการ์ตูนมังงะ เดินฉีกยิ้มกว้างมาหาผู้เป็นนาย คงมีแค่เขาคนนี้นี่แหละที่มีอารมณ์ขันและคอยสร้างสีสันให้กับบ้านหลังนี้ไม่ให้ดูวังเวงจนเหมือนปราสาทผีดิบ
“อารมณ์ดีอะไรแต่เช้า”
ฉันนั่งฟังเจ้านายกับลูกน้องคุยกันเงียบ ๆ สองมือวางบนตัก เผลอขยำเนื้อผ้าของกระโปรงเล่นบ้างเพราะไม่มีอะไรทำ
“คิดถึงนายไง”
ความทะเล้นของ ‘คุณทัศน์เทพ’ ทำเอาเจ้านายผู้มีดวงตาแสนเย็นชาตวัดมองอย่างไม่เล่นด้วย
“นายอย่าเย็นชานักสิ น้องเขากลัวตัวสั่นไปหมดแล้ว”
จู่ ๆ ก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ในบทสนทนา
“ทานสิ ไม่ต้องรอ” คนตัวโตวางท่าภูมิฐานเอ่ยบอกฉัน
ยิ่งเขาไม่ทาน และยิ่งตรงนี้มีคนหลายคนฉันยิ่งไม่กล้าจับช้อน
“พวกมึงออกไปรอข้างนอก” เสียงเข้มเอ่ยบอกลูกน้องคนอื่น ๆ รวมถึงคุณทัศน์เทพและคุณฮาเทชิเองก็ด้วย
“ทานสิ”
เหมือนเขาคอยสังเกตฉันตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่เวลาลอบมองหน้าเขา ฉันไม่เคยเห็นอาการใส่ใจของเขาส่งมาให้เลยสักนิด
“วันนี้มีนัดไปรับยา”
ถ้าเขาไม่พูดขึ้นมาฉันคงลืมไปแล้ว
“ขอบคุณค่ะที่เตือน” ยกมือไหว้อย่างมีมารยาท
ส่วนยาที่ว่าคือยาบำรุงร่างกาย
หลังจากฉันตัดสินใจตามคุณเพลิงกัลป์มาที่นี่เขาก็พาฉันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าฉันขาดสารอาหารจนต้องทานยาบำรุงจนกว่าน้ำหนักจะขึ้นและร่างกายแข็งแรงดี
“ทัศน์เทพจะเป็นคนพาไป”
“...” คิ้วฉันขมวดมุ่นเล็กน้อยก่อนตัดสินใจเอ่ยถาม
“คุณเพลิงกัลป์ไม่ไปด้วยเหรอคะ”
ดูเรื่องมากไปไหมนะ เพราะปกติตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ถ้าออกไปข้างนอกจะต้องมีเขาอยู่ด้วยตลอด ถึงแม้นาน ๆ ที จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาก็เถอะ
“ฉันจะพาเธอไปสมัครเรียน เสร็จแล้วต้องไปธุระต่อ”
ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
“ทานเถอะ” เขาบอกฉันอีกครั้ง
ทว่าจู่ ๆ ก็นึกเรื่องสำคัญเรื่องอื่นขึ้นมาได้
“สมัครเรียนต้องมีเอกสารอะไรบ้างคะ”
ฉันเหมือนคนต่างชาติที่ไม่มีอะไรเลยแม้สิ่งที่บ่งบอกตัวตนของตนเอง แบบนี้จะไปสมัครเรียนได้อย่างไรกัน
“ไม่ต้องห่วง ฉันเตรียมให้เธอเรียบร้อยแล้ว”
ไม่ว่าเปล่า คนตัวโน้มตัวไปด้านข้างเล็กน้อยก่อนจะหยิบกระเป๋าสำหรับใส่เอกสารบาง ๆ วางไว้บนโต๊ะ
“บัตรประจำตัวแสดงความเป็นคนของประเทศนี้ วุฒิการศึกษามัธยมปลาย ใบเกิด ทะเบียนบ้าน เอกสารทุกอย่างที่ใช้สมัครเรียนอยู่ในนั้นครบ”
“...” นั่งฟังแล้วก็ได้แต่ตกใจ
เขาละเอียดมากเลย ว่าแต่...
“ขัติมากร นามฑีธรรม์... นี่ไม่ใช่นามสกุลหนูนี่คะ”
ชื่อน่ะใช่ วันเดือนปีเกิดก็ถูกต้อง ส่วนนี้น่าจะเอามาตอนกรอกประวัติที่โรงพยาบาล แต่นามสกุลนี้ไม่ใช่นามสกุลฉัน
“ต่อไปเธออยู่ในฐานะน้องสาวของทัศน์เทพ”
หมายความว่านามสกุลที่อยู่ในบัตรนี้คือนามสกุลคุณทัศน์เทพสินะ
“แล้วทำไม...”
“เธอไม่กลัวพวกนั้นตามตัวเจอหรือไง”
ราวกับเขารู้ทันว่าฉันจะถามว่าอะไร
แต่ที่เขาพูดมาก็ถูก ถ้าฉันใช้ชื่อจริง นามสกุลจริงที่ทางบ้านฉันรู้ หากเกิดว่าพวกเขาตามตัวฉันอยู่คงหลบหนีได้อีกไม่นานแน่
“ขอบคุณนะคะ” เก็บเอกสารจำเป็นพวกนั้นใส่ไว้ที่เดิมพร้อมยกมือไหว้ผู้มีพระคุณที่ทำเพื่อฉันมากมายหลายอย่าง
“ต่อไปเธอจงใช้ชีวิตใหม่ที่นี่ให้มีความสุขที่สุดก็พอ”
ชีวิตใหม่ที่มีความสุขงั้นเหรอ?
“ฉันอ่านประวัติของจริงเธอจากทางโรงพยาบาลแล้ว นามสกุลเธอเป็นของคนไทยแน่ ๆ ถ้าอยากตามหาญาติฝั่งนี้บอกฉันได้นะ”
“ไม่ค่ะ!” รีบพูดแทรกอย่างเสียมารยาท ก่อนเอ่ยต่อมาในน้ำเสียงปกติ
“หนูไม่มีญาติที่นี่ หนูอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ตัวคนเดียวค่ะ”
ในเมื่อคนที่ฉันเคารพทำร้ายฉันแบบนั้น ฉันก็จะยอมทิ้งตัวตนที่แท้จริงไป อยู่แบบในสิ่งที่คนแปลกหน้าแต่กลับจิตใจดีสร้างให้เป็น
“ถ้าอิ่มแล้วก็ตามมา” คุณเพลิงกัลป์มองฉันเหมือนอยากล้วงหาอะไรบางอย่างในดวงตาคู่สวย แต่ก็แค่แวบเดียวที่เขาทำเหมือนอยากรู้แล้วก็ปล่อยวางไปในที่สุด ฉันมองแผ่นหลังกว้างของเขาเงียบ ๆ ก่อนจะตั้งสัตย์ให้กับตัวเอง
“หนูจะทดแทนบุญคุณคุณเพลิงกัลป์ไปตลอดชีวิต” จากนั้นก็ลุกจากเก้าอี้ เดินตามเขาไปขึ้นรถที่ติดเครื่องรออยู่ก่อนแล้ว