บ้านโหลว
"อาเยียน หล่อนอยู่ไหม? มีใครอยู่รึเปล่า"
หลังจากรับข้อเสนอจากบ้านจาง ป้าหลี่ก็รีบมาส่งข่าวให้กับบ้านโหลวได้รับรู้ ถือเป็นการดีกับนางเสียอีกที่หาสะใภ้ขยัน ๆ ให้บ้านโหลวได้ ถือเป็นผลงานของนางเช่นกัน
"อยู่จ้ะป้า ป้าหลี่ เชิญเข้ามาข้างในก่อนจ้ะ"
"จ้า ๆ แล้ววันนี้มีใครอยู่บ้างละ ฉันมีข่าวดีมาแจ้งนะ"
โหลวเยียนเดินกลับมาหาแขกพร้อมกับน้ำดื่มหนึ่งแก้ว จากนั้นก็นั่งลงตรงหน้าป้าหลี่ด้วยความตื่นเต้น หรือว่าเรื่องที่นางให้ป้าหลี่ช่วยหาภรรยาให้ลูกชายคนเล็กจะสำเร็จแล้วอย่างนั้นเหรอ
"มีแค่ฉันกับสะใภ้ใหญ่อยู่บ้านจ้ะป้า ส่วนผู้ชายพากันไปตัดฟืนมาเก็บไว้ ว่าแต่เรื่องนั้น..."
"ใช่แล้ว ที่ฉันมาวันนี้ก็เพราะเรื่องนั่นแหละ พอดีบ้านจางก็หาสามีให้ลูกสาวคนโตเหมือนกัน เธอจำได้ใช่ไหมนังหนูฉุนหรานน่ะ"
"จางฉุนหรานเหรอป้าหลี่ จำได้สิจ๊ะ เด็กคนนั้นขยันมาก แต่ติดที่แม่เลี้ยงไม่ค่อยชอบใช่รึเปล่า?"
ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ดีว่าจางฉุนหรานเป็นลูกสาวของภรรยาคนแรก ทั้งไม่ค่อยได้รับความรักจากคนเป็นพ่อและแม่เลี้ยง วัน ๆ คนบ้านนั้นเอาแต่กดขี่ข่มเหงเด็กสาว ใช้ให้ทำงานในบ้านทุกอย่างต่างจากลูกติดของภรรยาใหม่ที่เอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ
"ใช่ แต่เรื่องนั้นเธอไม่ต้องไปสนใจหรอก ฉันเองก็เวทนานังหนูคนนั้นเหมือนกัน เลยอยากจะช่วยให้หลุดพ้นจากบ้านนั้นเร็ว ๆ "
"..."
"ถึงบ้านโหลวจะไม่ร่ำรวยเหมือนคนอื่นเขา แต่ทุกคนในบ้านขยันขันแข็งและเป็นคนดี ฉันเชื่อว่าเด็กคนนั้นต้องมีความสุขมากกว่าทนอยู่ที่นั่นแน่ ๆ"
ครั้งนี้ป้าลี่กล่าวออกมาด้วยความจริงใจ การที่นางยอมรับเงินจางลี่จิ่นมาก็เพื่อให้อีกฝั่งตายใจ ตอนที่มารดาของฉุนหรานยังมีชีวิตอยู่ หล่อนเคยช่วยป้าหลี่เอาไว้หลายครั้ง
การมาของจางลี่จิ่นทำให้ป้าหลี่รู้ได้ทันที ว่าไม่ควรให้ฉุนหรานแต่งงานกับบ้านฉินที่สองแม่ลูกลี่หลิงกับลี่จิ่นหมายตา เพราะนั่นจะทำให้ฉุนหรานถูกตามราวีไม่หยุดหย่อน เด็กสาวที่ไร้คนปกป้องจะเอาตัวรอดจากคนเหล่านั้นได้อย่างไร
หากไม่ลุ่มหลงเพียงอำนาจ เงินทอง และรูปร่างหน้าตาของฉินฟางลูกชายหัวหน้าหมู่บ้าน ทุกคนจะมองเห็นได้ว่าชายหนุ่มคนนั้นไม่จริงจังกับงานที่ทำ ต่างจากลูกชายบ้านโหลว
ทุกคนต่างคิดว่าบ้านโหลวยากจน แต่จริง ๆ แล้วผู้ชายทั้ง 4 ในบ้านโหลวขยันขันแข็งมาก บ่อยครั้งที่พวกเขาออกล่าหมูป่าได้มาเป็นตัวแล้วนำไปขาย เพียงแต่ใช้เส้นทางลัดเลาะลงไปตามเขาจึงไม่มีใครรู้เห็น ทั้งยังเป็นเรื่องที่เข้มงวดกวดขันเป็นพิเศษ
"ถ้าเป็นเด็กคนนั้นฉันยินดีแต่งเข้าเป็นสะใภ้นะจ๊ะป้าหลี่ ว่าแต่บ้านจางเรียกค่าสินสอดมาเท่าไหร่เหรอจ๊ะ ฉันจะได้เตรียมเงินไปถูก"
"ตามจริงบ้านนั้นเรียกมา 50 หยวน หรือจะไม่เอาก็ได้ถ้าบ้านโหลวไม่มี"
พอคนฟังได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับคิ้วขมวดเป็นปม ทำแบบนี้ไม่เท่ากับดูถูกลูกสาวของตัวเองว่าไร้ค่าหรอกหรือ
"จะทำแบบนั้นได้ยังไงกันจ๊ะ"
"ได้สิ! จำไว้นะอาเยียน ถ้าหวังดีกับฉุนหรานหล่อนต้องทำเหมือนไม่มีเงิน ทุกอย่างให้ทำแบบเรียบง่าย หากต้องการจะให้ค่าสินสอดให้หล่อนมอบให้ฉุนหรานเมื่อมาถึงบ้านนี้แล้ว ทำแบบนั้นฉุนหรานถึงจะหลุดพ้นจากบ้านนั้นได้จริง ๆ ส่วนเรื่องอื่นฉันจะช่วยอีกแรง"
ป้าหลี่นึกถึงวันที่ตัวเองถูกงูกัดจนเกือบตายอยู่ที่ชายป่า แต่โชคดีที่ฉู่หรันมารดาของฉุนหรานมาช่วยไว้ทัน หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เป็นไปในทางที่ดีมาโดยตลอด
กระทั่งทุกอย่างเริ่มแปลกไปเมื่อระยะหลัง ๆ มารดาของเด็กสาวเริ่มป่วยหนักขึ้นเรื่อย ๆ ป้าหลี่เคยเห็นตามเล็บมือของฉู่หรันเป็นสีม่วงคล้ำ ใบหน้าซีดเซียว มีอาการชาตามตัวและชักกระตุกบ่อย ๆ
หลังจากที่ป้าหลี่ไปเยี่ยมมารดาของเด็กสาว ไม่นานก็ได้ข่าวว่าฉู่หรันจากไปตอนกลางดึก หลังจากฝังร่างของฉู่หรันเสร็จ วันต่อมาจางฮันก็รีบพาเมียใหม่กับลูกติดเข้ามาอยู่ที่บ้านจางทันที เป็นแบบนี้จะไม่ให้นางสงสัยได้อย่างไร
"จ้ะป้าหลี่ พรุ่งนี้เช้าฉันกับลูกชายจะไปหาป้าหลี่แต่เช้า เพื่อให้พาไปรับแม่หนูฉุนหรานมาแต่งเข้าเป็นสะใภ้บ้านโหลวของเรานะจ๊ะ"
"ได้ ๆ ว่าแต่หล่อนไม่คิดจะถามลูกชายหน่อยเหรอว่าเห็นด้วยรึเปล่า?"
"เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอกจ้ะ ลูกชายของฉันยกเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของฉันแล้ว หากฉันไม่รีบหาเมียให้เจ้าเล็ก ฉันคงไม่ได้อุ้มหลานสักที เจ้าลูกคนนี้ขยันทำงานจนไม่สนใจสาว ๆ คนไหนเลย"
นางโหลวเยียนยิ้มอย่างสบายใจเมื่อจัดการเรื่องของลูกชายคนเล็กของนางได้สำเร็จ เดิมทีตงกูก็บ่ายเบี่ยงเรื่องแต่งเมียมาตลอด จนตอนนี้อายุ 30 ปีแล้ว พอทนคำรบเร้าจากมารดาไม่ไหว โหลวตงกูจึงยกเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของมารดาเสียเลย
"ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ ต่อไปฝากหล่อนดูแลเด็กคนนั้นด้วยนะ"
"ฉันรับปากจ้ะ ฉันจะดูแลแม่หนูฉุนหรานให้ดี ป้าหลี่อย่าได้กังวลไปเลย"
"อื้อ งั้นฉันกลับก่อนแล้วกันนะ พรุ่งนี้เช้าฉันจะรออยู่ที่บ้าน"
"จ้ะป้าหลี่"
หลังจากป้าหลี่กลับไปได้ไม่นาน โหลวซินอี๋สะใภ้ใหญ่ของบ้านก็รีบเดินออกมาหาแม่สามี พร้อมกับลูกชายวัย 6 ขวบของเธอ
"เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เหรอคะคุณแม่ ทำไมป้าหลี่ต้องให้พวกเราทำแบบนั้นด้วย แล้วน้องสะใภ้จะไม่น้อยใจเหรอคะ"
ซินอี๋เอ่ยถามแม่สามีด้วยความเป็นห่วง การแต่งงานถือเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของผู้หญิง หากไปรับตัวสะใภ้เล็กมาง่าย ๆ โดยไม่มอบสินสอดให้เลยมันจะไม่ทำให้หล่อนอับอายหรือน้อยใจหรอกหรือ
ทุกคนก็รู้ดีว่าผู้หญิงเราแต่งงานได้เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นไม่ว่าสามีจะดีหรือจะร้ายยังไงก็ทำได้แค่กล้ำกลืนฝืนทน มีใครหาญกล้าพอจะทำการหย่าร้างให้เป็นที่อับอายขบขัน การหย่าร้างในยุคนี้ไม่ต่างจากการผลักหลังให้ไปสู่ความตาย
"แม่ก็กังวลเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่หวังว่าอาหรานจะเข้าใจ พอกลับมาถึงบ้านเรา ในตอนยกน้ำชาแม่ถึงจะมอบสินสอดให้กับเจ้าตัวเก็บไว้เป็นขวัญถุง"
"ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีเหมือนกันจ้ะแม่ ฉันเคยได้ยินว่าบ้านจางข่มเหงเด็กคนนี้มาก หากให้เงินไปก็คงไม่ถึงมือเจ้าตัวเหมือนที่ป้าหลี่บอก"
"ใช่ แม่ก็คิดแบบนั้น"
"หมายความว่าอาเล็กกำลังจะแต่งงานเหรอครับคุณย่า?"
เสียงของเด็กชายตัวน้อยหันไปถามคุณย่าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ในความคิดของเด็กน้อยมีเพียงความยินดีที่ได้รู้ว่าที่บ้านจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้น
"ใช่จ้ะ รอให้อาเล็กแต่งงานแล้ว ต่อไปอาเอินของย่าก็จะมีน้องตัวเล็ก ๆ มาเป็นเพื่อนเล่นให้หลานด้วยดีไหม?"
"ฮะ ฮะ ฮะ ดีครับดี ผมจะช่วยคุณย่าเลี้ยงน้องเอง จะสอนน้องทำกับดักไก่ป่าด้วยดีไหมครับ"
"เด็กดี ขอแค่หลานรักน้อง พี่น้องในบ้านรักกัน เท่านั้นก็เป็นเรื่องดีที่สุดในบ้านของเราแล้ว"
ถึงตอนเที่ยงของวันช่วงที่หนุ่ม ๆ ช่วยกันขนฟืนมาเก็บไว้ที่บ้าน นางโหลวเยียนผู้เป็นแม่จึงเล่าเรื่องทุกอย่างให้ทุกคนในบ้านฟัง ซึ่งมี
โหลวเถียน พ่อสามีของนาง
โหลวไห่ สามีของนาง
โหลวตงชิน ลูกชายคนโต สามีของโหลวซินอี๋ พ่อของ โหลวเอิน
และ โหลวตงกู ลูกชายคนเล็ก ซึ่งเป็นคนที่จะต้องแต่งงานกับฉุนหรานในวันพรุ่งนี้
บ้านโหลวมีบ้านอยู่ 2 หลัง โหลวตงชินลูกชายคนโตพักอยู่กับพ่อแม่ ส่วนโหลวตงกู ลูกชายคนเล็กพักอยู่กับคุณปู่โหลวเถียน หลังจากที่คุณย่าจากไป ตงกูก็ย้ายเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ทันที
"คุณพ่อคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้บ้างคะ"
นางโหลวเยียนเอ่ยถามพ่อสามีที่นั่งกินข้าวอยู่หัวโต๊ะ
"พ่อเคยได้ยินเรื่องของเด็กคนนี้มาบ้าง เอาเป็นว่าทำตามที่นางหลี่บอกเถอะ เธอกับตงกูไปรับหลานสะใภ้มาที่นี่ ส่วนทางนี้คงต้องให้เจ้าใหญ่กับสะใภ้ใหญ่ช่วยกันทำกับข้าวหลายอย่างหน่อย เพื่อเป็นการต้อนรับสะใภ้เล็ก"
"ผมกับซินอี๋จะทำให้เต็มที่ครับคุณปู่"
ตงชินลูกชายคนโตของบ้านรีบตอบรับคำสั่งของผู้เป็นปู่ด้วยความยินดี
"ส่วนอาไห่ บ่ายนี้แกไปดักปลาที่ริมลำธารสักหน่อย งานมงคลขาดไม่ได้คือปลา อนาคตจะได้อยู่ดีกินดี"
"ครับพ่อ ผมจะรีบไปจัดการ"
"แล้วเราว่ายังไงเจ้าเล็ก จะแต่งเมียอยู่แล้วยังเอาแต่กินไม่รู้ร้อนรู้หนาว"
พ่อเฒ่าโหลวเอ่ยถามหลานชายคนเล็กที่นั่งอยู่ปลายโต๊ะ
"ผมไม่มีปัญหาครับ เคยเจอเธออยู่หลายครั้ง ท่าทางก็ดูขยันขันแข็งดี แต่สีหน้าดูอมทุกข์ไปหน่อย"
ตงกูตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ ยังไงเขาก็มอบเรื่องนี้ให้มารดาเป็นคนตัดสิน ยุคนี้แต่งงานกันโดยไม่ได้รักกันถือเป็นเรื่องปกติ อยู่ ๆ กันไปก็รักกันเองจนมีลูกเต็มบ้าน เรื่องแบบนี้มีให้เห็นเยอะแยะไป
"คงเจ็บช้ำมาเยอะ ถึงตอนนั้นพอเด็กคนนั้นเข้ามาเป็นครอบครัวของเรา ก็ค่อยเยียวยากันไป แต่ต่อให้ทุกอย่างจะไม่ได้เริ่มจากความรัก แต่หลานต้องทำหน้าที่สามีให้ดีที่สุด รับปากปู่ได้ไหม?"
"ผมรับปากครับ"