เช้าวันต่อมา
คู่ข้าวใหม่ปลามันพากันออกมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง แม้ผู้เป็นพ่อแม่อยากจะให้ทั้งคู่อยู่ในห้องหอหลายวันกว่านั้นหน่อย แต่ก็ไม่อาจขัดต่อความต้องการของหนุ่มสาวได้
"วันนี้ผมจะพาอาหรานเข้าไปซื้อของในเมืองนะครับ พ่อ แม่ มีใครอยากได้อะไรไหม?"
ตงกูเอ่ยถามทุกคนขณะที่นั่งกินข้าวอยู่บนโต๊ะ หลังจากเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวของบ้านโหลว ฉุนหรานจึงได้รู้ว่าครอบครัวนี้ไม่ได้ยากจนอย่างที่คนอื่นร่ำลือกัน ซ้ำยังมีวิธีเก็บเงินที่ต่างจากครอบครัวอื่น
หากเป็นบ้านอื่นเงินที่ได้มาจากการทำงานทั้งหมด จะต้องถูกเก็บรวมเข้ามาเป็นกองกลางและมอบให้พ่อแม่เป็นคนเก็บรักษา แต่บ้านโหลวกลับไม่เป็นแบบนั้น เงินที่ได้จากการทำงานในคอมมูนจะถูกนำไปซื้อข้าวสารและเครื่องปรุงมาเก็บไว้
ในส่วนของตงกูกับพ่อเฒ่าโหลวจะถูกแบ่งไปไว้ที่บ้านหลังเล็ก และมีครัวเป็นส่วนตัวอยู่ที่นั่น ส่วนของพ่อโหลว แม่โหลว โหลวตงชินและภรรยาจะถูกเก็บไว้ที่บ้านหลังใหญ่เป็นสักส่วนของใครของมัน
ส่วนเงินที่ได้จากการหาของป่าหรือล่าสัตว์เข้าไปขายในตลาดมืด ทั้งหมดจะถูกนำมาแบ่งให้เท่ากันแล้วแยกกันเก็บรักษาของตนเอง
"แม่ไม่เอาอะไรหรอกลูก ของใช้แม่ก็เตรียมเอาไว้บ้างแล้ว ว่าแต่สะใภ้ใหญ่เธออยากได้อะไรไหม ฝากน้องซื้อได้นะลูก"
"ฉันก็มีครบแล้วค่ะคุณแม่ น่าจะไม่มีอะไรขาดเหลือแล้ว"
โหลวซินอี๋ตอบแม่สามีไปตามจริง เมื่ออาทิตย์ก่อนสามีของเธอเพิ่งพาเข้าไปซื้อของใช้ที่จำเป็นก่อนจะถึงฤดูหนาว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อกันหนาวหรือปุยนุ่นมายัดผ้านวม
"ถ้าอย่างนั้นคงไม่มีใครเอาอะไรหรอกลูก แต่เจ้าเล็กบอกน้องแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องห่วงเรื่องเสบียงอาหาร พวกเรามีพอให้กินจนไปถึงปีหน้าแล้วมั้ง"
"ผมพาอาหรานไปดูแล้วครับแม่"
"ดีแล้ว รีบกินเถอะลูกจะได้รีบออกเดินทาง เดี๋ยวแม่จะฝากหมูน้ำค้างไปให้ป้าของลูกสักหน่อย รอบก่อนเห็นเจ้าใหญ่บอกว่าป้าของลูกบ่นอยากกินส่วนหูหมู"
"ครับ"
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ฉุนหรานต้องอึ้งเมื่อได้เห็นห้องเก็บเสบียงอาหารของบ้านโหลว ซึ่งทำเป็นห้องใต้ดินและหลบตาคนได้อย่างมิดชิด พอฉุนหรานได้เข้าไปในนั้นก็พบว่าในห้องเต็มไปด้วย แฮมขาหมู หมูน้ำค้าง หมูหมักรมควัน กุนเชียงและไส้กรอก
เรียกได้ว่าแม่โหลวใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในการถนอมอาหารให้อยู่ได้นานข้ามปี ต้องขอบคุณภูมิประเทศและภูมิอากาศในมณฑลแห่งนี้ที่ทำให้ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านจึงไม่อดอยากเหมือนเขตมณฑลอื่น
มีเพียงบ้านโหลวเท่านั้นที่หากินจากผืนป่า ครอบครัวอื่นเพราะเชื่องเรื่องอาถรรพ์จึงไม่มีใครอยากขึ้นเขาลูกนี้ ไม่เหมือนบ้านโหลวที่คิดต่างจากคนอื่น แถมยังมีแรงงานชายถึง 4 คน ต่อให้พ่อเฒ่าโหลวอายุกว่า 70 ปีแล้วแต่ก็ยังแข็งแรง แถมยังมีประสบการณ์มากกว่าลูกหลานคนอื่น ๆ
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จตงกูกับฉุนหรานก็เตรียมออกเดินทาง แต่จู่ ๆ ตงกูก็มานั่งลงตรงหน้าของฉุนหรานแล้วยกเท้าของเธอขึ้นมา ก่อนจะสวมรองเท้าหุ้มส้นคู่ใหม่ให้เธอ ภาพนั้นทำให้แม่โหลวที่เห็นพลอยอุ่นซ่านในใจไปด้วย
"รองเท้าใครคะ เดี๋ยวฉันใส่เองก็ได้ พี่ลุกขึ้นมาก่อนเร็วเข้า"
ฉุนหรานพยายามดึงให้สามีลุกขึ้นแต่ก็ไม่เป็นผล
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ใส่ให้ รองเท้าคู่นี้พี่เห็นว่าสวยดีก็เลยซื้อมาเก็บไว้"
ใบหน้าของตงกูเผยให้เห็นรอยยิ้มบาง ๆ เขาไม่คิดว่ารองเท้าที่ซื้อมาเก็บไว้จะใส่ได้พอดี เขาตั้งใจว่าจะมอบมันให้เป็นของขวัญชิ้นแรก ให้กับภรรยาหลังจากที่ได้ยินมารดาบอกว่าจะหาภรรยาให้
ทางด้านคนที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีก็ถึงกับหน้าแดงและใจเต้นรัวในเวลาเดียวกัน ถึงจะเข้าห้องหอกันแล้ว แต่ทั้งคู่ก็เพิ่งจะได้มีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกัน
"..."
"พอดีเลย ไปกันครับ"
พอใส่รองเท้าทั้งสองข้างให้ภรรยาเสร็จ ตงกูก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาตรงหน้าฉุนหรานก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกจากบ้านไปทางหุบเขา บนหลังของตงกูสะพายตะกร้าใบหนึ่ง ในนั้นมีหูหมูน้ำค้างที่มารดาฝากไปให้ป้าที่อยู่ในหมู่บ้านซานตงซึ่งตั้งอยู่เชิงเขา
"ทำไมไปทางนั้นเหรอคะ เราไม่ได้จะเข้าเมืองหรอกเหรอ?"
คนตัวเล็กเอ่ยถามสามีด้วยความแปลกใจ เธอจำได้ว่าหากจะเข้าเมืองก็ต้องเดินลงเขาไปรอขึ้นรถที่หมู่บ้านทงหนานที่อยู่เชิงเขา ประมาณ 7 โมงเช้าจะมีรถโดยสารรอบแรกวิ่งผ่านมา
"เข้าเมืองครับ แต่พี่จะพาเธอไปทางลัด อาหรานรู้ไหมว่าทางนี้สามารถย่นระยะทางได้กว่า 10 กิโลเลยนะ"
"จริงเหรอคะ เดินยังไงถึงย่นระยะเวลาได้ขนาดนั้นล่ะ ทำไมฉันไม่เคยได้ยินว่ามีทางเส้นนี้ด้วย"
สองสามีภรรยาพูดคุยกันไปพร้อมกับเดินเข้าป่าไปในเส้นทางลับ ที่มีเพียงลูกหลานบ้านโหลวและชาวบ้านเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้เส้นทางหนี้ นั่นเป็นเพราะหวาดกลัวสัตว์ป่าและอาถรรพ์ของป่าที่เล่าลือต่อ ๆ กันมา
"ถึงเราจะใช้เวลาในการเดินลงเขา 1 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ปลายทางต่างกัน ทางเส้นนี้พอเราลงไป ปลายทางจะเป็นหมู่บ้านซานตง ซึ่งอยู่ถัดจากหมู่บ้านทงหนานมาอีก 3 หมู่บ้าน ระยะทางห่างกัน 10 กิโล"
"..."
"อย่างที่รู้ว่าชาวบ้านไม่ค่อยกล้าขึ้นไปหากินบนเขาลูกนี้ เพราะคิดว่าเป็นป่าอาถรรพ์ตามที่เล่าลือกัน อาหรานเองก็คงเคยได้ยินคนพูดไม่ค่อยดีเกี่ยวกับบ้านโหลวมาบ้างใช่ไหม?"
เป็นจริงอย่างที่ตงกูพูดเอาไว้ทุกอย่าง พอฉุนหรานรู้ตัวว่าจะต้องแต่งเป็นสะใภ้บ้านโหลว เธอก็พยายามนึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวนี้ ถึงจะมีชื่อเสียงไม่สู้ดีเรื่องไปหากินบนป่าอาถรรพ์ที่ชาวบ้านหวาดกลัว แต่สำหรับเธอมันไม่ใช่ปัญหา เพราะนั่นก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการทำเช่นกัน
"ก็พอได้ยินมาบ้างค่ะ แต่สำหรับฉันมันไม่ได้แปลกอะไร แล้วฉันเองก็ชอบการหาของป่าด้วย ต่อไปนี้ถ้าพี่จะเข้าป่าต้องพาฉันไปด้วยนะ"
"หึ! พี่ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไปในป่าผืนนี้ ก็เลยกลายเป็นโชคดีของพวกเรา จริง ๆ แล้วไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลย ที่ชาวบ้านเล่าลือกันไปก็เพราะมีคนอยากให้คิดแบบนั้น"
ตงกูเดินลัดเลาะลงเขาไปอย่างชำนาญ ขณะเดียวกันก็คอยช่วยเหลือดูแลภรรยาตัวน้อยที่เดินตามมาด้วยอย่างระมัดระวัง
"หมายความว่า..."
"ที่นี่มีชนเผ่ามากมายที่อาศัยอยู่ พวกเค้าทำทุกวิธีเพื่อให้อาณาเขตของตัวเองปลอดภัย ตราบใดที่พวกเราไม่ไปรุกล้ำอาณาเขตของเค้า เราก็ยังหากินต่อไปได้โดยไม่มีปัญหา"
"เป็นแบบนี้นี่เอง"
"เดินระวังหน่อย แถวนี้เป็นทางลาดชัน เดินมาตรงนี้จะมีเชือกให้จับ พี่เคยเอามาผูกไว้"
ทั้งคู่เดินผ่านเส้นทางทั้งยากง่ายจนกระทั่งมาถึงหมู่บ้านซานตง ตงกูพาฉุนหรานมุ่งหน้าไปที่บ้านเดิมของมารดา ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงครอบครัวของลุงกับป้าอาศัยอยู่
หมู่บ้านซานตง
"ลุงครับ ป้าครับ มีใครอยู่รึเปล่า?"
"ตงกูเหรอ เข้ามาก่อนเร็วเข้า วันนี้จะเข้าเมืองเหรอลูก แล้วนั่นพาใครมาด้วยล่ะ"
พอเดินเข้ามาในเขตบ้านเสียงของผู้เป็นลุงก็รีบเอ่ยทักทายหลานชายอย่างเป็นกันเอง แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องแปลกใจก็คือวันนี้มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยเดินตามหลานชายของพวกเขามาด้วย
"นี่ฉุนหราน ภรรยาของผมเองครับ อาหรานนี่คือลุงใหญ่พี่ชายของแม่ คนนี้ป้าสะใภ้ พี่หลิวหยางลูกชายของลุงกับป้า คนนี้พี่สะใภ้เข่อชิง ส่วนสาวน้อยคนนี้คืออาอ้าย"
"สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า พี่ชายพี่สะใภ้ หวัดดีจ้ะอาอ้าย"
ฉุนหรานทักทายทุกคนตามที่สามีแนะนำ ท่าทางอ่อนน้อมของเด็กสาวทำให้ผู้อาวุโสเอ็นดูอยู่ไม่น้อย
"หวัดดีลูก หวัดดี แต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นบอกลุงกับป้าเลย อาทิตย์ก่อนเจ้าใหญ่ลงจากเขาก็ไม่เห็นพูดอะไร"
"นั่นสิเจ้าเด็กพวกนี้ ป้าก็เลยไม่ได้เตรียมของรับขวัญหลานสะใภ้เอาไว้เลย"
พอเห็นผู้เป็นลุงกับป้าเริ่มบ่นชุดใหญ่ ตงกูจึงรีบตัดบทก่อนจะโดนบ่นลากยาวไปมากกว่านี้
"เรื่องมันยาวครับป้า เอาเป็นว่าป้าค่อยถามจากแม่ดีกว่า หูหมูน้ำค้างพวกนี้แม่ฝากมาให้ครับ ผมขอตัวพาอาหรานเข้าเมืองก่อนนะครับ ป้าอยากได้อะไรจากในเมืองไหม เดี๋ยวผมซื้อมาให้"
"นั่นไง! เจ้าเด็กคนนี้ เอาล่ะ ๆ ป้าไม่อยากได้อะไรหรอกลูก ว่าแต่คูปองมีพอใช้ไหม ป้าจะแบ่งให้เอาไหมลูก?"
ถึงป้าสะใภ้จะเป็นคนขี้บ่นแต่ก็เพราะความห่วงใย ลูกชายกับลูกสะใภ้ของนางทำงานอยู่ในโรงงานจึงมีคูปองเพียงพอต่อการจับจ่ายซื้อของ ต่างจากครอบครัวของน้องสามีที่อยู่บนเขา ถึงอาหารการกินมีไม่ขาด แต่ปัจจุบันความสำคัญของคูปองต่าง ๆ ก็มีมากไม่แพ้เงิน
"ผมมีพอครับป้า ผมไปก่อนนะครับ"
"หนูขอตัวนะคะคุณลุงคุณป้า พี่ชายพี่สะใภ้ เดี๋ยวอาจะซื้อขนมมาฝากนะอาอ้าย"
"ขอบคุณค่า"
ขณะที่ฉุนหรานกำลังคุยกับหลานสาวตัวน้อย ตงกูก็เดินเข้าไปในโรงรถเพื่อไปเอาจักรยานของตนที่ฝากไว้ออกมาใช้
ฉุนหรานที่เห็นแบบนั้นก็มึนงงเล็กน้อย ก่อนจะรีบรับตะกร้าเปล่ามาสะพายบ่า แล้วขึ้นนั่งซ้อนท้ายจักรยานของสามีเพื่อมุ่งหน้าเข้าเมือง