EP3.1 ll ผู้ชายกวนประสาท [1]

1036 คำ
“แก พวกฉันไปเรียนก่อนนะ” อีอาร์ตดูนาฬิกาก่อนจะสะกิดอีมิ้งให้ลุกขึ้น ฉันนั่งกะพริบตาปริบๆ ทำท่าอ้อนวอนแกมขอร้องให้พวกมันอยู่ต่ออีกสักนิด เพราะฉันไม่อยากจะทนเล่นเกมป่วนประสาทกับคนข้างตัว “โชคดี บายๆๆ” ไอ้คนข้างๆ รีบโบกไม้โบกมือลาเหมือนกับจะไล่เพื่อนฉันกลายๆ ฉันหลับตาคิดว่าจะเอายังไงกับหมอนี่ดี คือฉันไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรบ้าง เอากันตรงๆ ฉันก็เล่นเขาแรงอยู่นะ ถ้าเขาจะโกรธจนมากวนประสาทก็ไม่แปลกอ่ะ ก็ยอมรับนะว่าผิด แต่ก็ไม่อยากขอโทษ หมั่นไส้ L “ไป! อีมิ้ง ไม่อยากเป็นก้างขวางคอ” อีอาร์ตว่าแล้วลากคออีมิ้งไปโดยไม่ทันให้ฉันพูดอะไรสักคำ ฉันเบ้หน้าเฟลๆ เพราะฉันไม่อยากอยู่อย่างอึดอัดกับคนข้างๆ สองต่อสอง “เดี๋ยวดิ แกจะไปจริงอ๋อ แล้วทิ้งฉันไว้กับ… ” ฉันละไว้ในฐานที่เข้าใจก่อนจะเหล่สายตาไปมองไอ้คนกวนประสาทข้างๆ ที่นั่งลอยหน้าลอยหน้า เขาพยักหน้านิดๆ แล้วจู่ๆ ก็แตะมือบนบ่าฉันเบาๆ แต่ทำเอาฉันสะดุ้งโหยงเพราะไม่ทันตั้งตัว “เธอไม่ต้องเศร้าหรอก คนเรามีพบมีจากเป็นเรื่องธรรมด๊า” อืม ฟังดูดี มีธรรมะในจิตใจ… กะผีน่ะสิ! มันคนละเรื่องปะวะ? ฉันเบ้หน้ารู้เลยว่าเขาไม่ได้มาเล่นๆ แต่มากวนตีนระดับสิบ ยังไม่หยุดแค่นั้นเขายังทำหน้าจริงจังแล้วพูดต่อ “เธอจะรั้งเพื่อนไว้ทำไม ให้เพื่อนไปดี ไปที่ชอบๆ” อีตาบ้านั่นพูดเป็นตุเป็นตะ ขณะที่อีอาร์ตชะงักแล้วเท้าสะเอวเชิดใบหน้าขึ้นสี่สิบห้าองศา ปรายสายตาลงมานิดหน่อย “ทำไมพูดจาแช่งกันแบบนี้! นี่ไปเรียนนะ ไม่ได้จะไปรบ นัดตบที่ไหน ไลน์มาบอกด้วย 0987xxx67” “อีอาร์ต แกอย่ามาเนียน =_=” ฉันมองหน้ามันอย่างรู้ทัน ขณะที่มันทำหน้าตกใจแล้วยกมือข้างนึงมาทาบอก “โอ๊ย ฉันไปละแก ไม่ต้องแคร์หรอก แกก็แค่เอาเสื้อเขาไปใส่ให้หมาอ่ะ จะโกรธทำไมเรื่องจิ๊บจ๊อย” เออ ใช่ปะล่ะ ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของมันก่อนจะตีมือคนร่างสูงให้ฟังอีอาร์ตว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าโกรธสักหน่อย หากแต่ว่าจากหน้ายิ้มๆ ของอีอาร์ตเริ่มเปลี่ยนเป็นเบะปากเมื่อมันพูดประโยคต่อมา “แต่ถ้าแกมาทำกับฉันแบบนี้ สัญญาเลยว่าถ้ามีโอกาส จะตบให้ขาดอากาศหายใจ ตายภายในห้านาที” มันจิ๊ปากพลางทำหน้าทำตามีอินเนอร์แรงสูง ฉันไม่รู้ว่ามันจะอินอะไรขนาดนั้น แต่ฉันก็เพื่อนปะวะ มันต้องเข้าข้างฉันสิ ไม่ใช่อีผู้ชายคนนี้! “อีอาร์ต นี่เพื่อนมะ?” “เพื่อนกับผู้ชายมันแทนกันไม่ได้มั้ย? พอ ฉันไปเรียนละ โชคดีนะอีหวาน” มันหัวเราะพร้อมสายตามีเลศนัยก่อนจะกอดคออีมิ้งไปทันทีที่พูดจบ “โอ๊ย งั้นฉันกลับบ้านแล้วนะ โชคดีเจ” ฉันตัดบทแล้วเนียนลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่เขาก็ดันลุกตามมาด้วย ตอนแรกก็นึกว่าคิดไปเองแต่พอฉันสาวเท้าออกนอกซุ้มคณะ ตามทางเดินเล็กๆ แคบๆ ไอ้คนกวนประสาทก็ยังเดินตามยิ่งกว่ากาละแมติดตูด “เฮ้ย ไม่มีไรทำอ๋อ? มาตามชาวบ้านเขาอ่ะ” ฉันหันไปแว้ดก่อนที่ไอ้คนร่างสูงจะยักไหล่แทนคำตอบ ฉันยืนฮึดฮัดอยู่กับที่สักพักก่อนที่หมอนั่นจะขยับเท้าเข้ามาใกล้แล้วชะโงกหน้าช้อนสายตาลงมามอง ฉันขยับหนีด้วยท่าทีหวั่นใจก่อนที่เขาจะถือวิสาสะดันหน้าฉันขึ้นไปด้วยมือข้างขวา มันก็คงจะโรแมนติกอยู่หรอก เพราะเขาก็หล่อ บรรยากาศก็ให้ อารมณ์เหมือนหลุดเข้าไปในนิยายรักหวานแหวว หากแต่ชีวิตจริงมันไม่ได้มุ้งมิ้งแบบนั้นสักกะนิด “นี่แต่งหน้าคอสเพลย์ปะเนี่ย?” “อะไร?” ฉันย่นคิ้ว คิดว่าอีตานี่ต้องหาเรื่องกวนประสาทฉันอีกแน่ๆ คนอะไรไม่รู้ ปากเปราะจริงๆ นี่ขนาดฉันไม่ได้สนิทชิดเชื้อยังรู้สึกได้เลยว่าเขาชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยนตลอดเวลา “คิ้วนี่ยังกะชินจัง” “ว่างมากใช่ปะเนี่ย?”ฉันพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไหร่ แล้วปัดมือเขาออกอย่างหมั่นไส้ ไอ้บ้าเอ๊ย พูดจาไม่เกรงใจเครื่องสำอางฉันเลยนะ รู้มั้ยว่ากว่าจะเขียนคิ้วให้เท่ากันฉันใช้เวลาตั้งเท่าไหร่ ต้องเล็งมากแค่ไหน ดันมาบอกว่าเหมือนชินจัง หยาบคาย ไร้มารยาทที่สุด “ก็ว่างพอจะไปนั่งกินข้าวชิลๆ กับเธอได้อ่ะ” หมอนั่นยิ้มพร้อมมองตาฉันท่าทีเจ้าเล่ห์ ทำเอาฉันแทบกุมขมับเมื่อรู้สึกว่าตอบอะไรไป เขาก็ลื่นไหลได้ตลอด “อย่าบอกนะว่าลดน้ำหนัก” เขาดักทางแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมาส่ายไปส่ายมาเพื่อบ่งบอกว่าข้ออ้างนี้ใช้ไม่ได้ แหงสิ ฉันไม่ได้อ้วนสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ผอม อยู่ในระดับมาตรฐาน หุ่นกำลังดี ดูมีน้ำมีนวล เอาง่ายๆ ก็สวยอ่ะ “เปล่า ไม่ได้ลด แค่นี้ก็สวยเกินพอละ กลัวดาราจะไม่มีงานทำ” ฉันไหวไหล่แล้วทำหน้าสวยๆ ใส่ “เออ ไม่ต้องลดหรอก กินๆ เข้าไปเหอะ ลดไปก็อุบาทเหมือนเดิม เสียเวลา” เขาเสริมแล้วทำหน้าจริงจัง หากแต่ใจความน่ะ น่ากระโดดสกายคิกสุดๆ อุบาทเหมือนเดิมคืออะไรวะ เขาเอาตาไว้ที่ตีนเหรอ ถึงได้พูดออกมาแบบนี้ได้อ่ะ “ขอโทษนะ ตาเป็นต้อรึเปล่า พูดผิด พูดใหม่ได้นะ” ฉันถามเขาด้วยน้ำเสียงยียวนพลางเอียงคอมองคนร่างสูงเหมือนต้องการคำตอบ แต่จริงๆ ฉันก็แค่จะกวนตีนเขาไปงั้นแหละ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม