แสงแฟลชและเสียงชัตเตอร์ทำให้รสินสะดุ้งและดึงเขากลับเข้าสู่สภาพแห่งความเป็นจริง แสงไฟวับวาบหลากสีในผับกลางกรุงกับผู้คนแปลกหน้าที่กำลังโยกย้ายร่างกายตามจังหวะเสียงดนตรีที่เร้าอารมณ์ให้พุ่งพล่านอยู่ภายใน
ชายหนุ่มยิ้มให้เพื่อนที่เข้ามาตบไหล่เชิงทักทายเบาๆ ในผับสุดหรูกลางกรุงคืนนี้ถูกเนรมิตให้มีเวทีแคทวอทอยู่ตรงกลางพร้อมด้วยม่านน้ำพุล้อแสงไฟเป็นฉาก นางแบบสาวสวยหุ้นเซ็กซี่จะต้องเดินผ่านม่านน้ำออกมาพร้อมกับเครื่องดื่มของคนรุ่นใหม่ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งใช้ผับแห่งนี้เปิดตัวสินค้า ทั้งหมดเป็นไอเดียอันบรรเจิดจากสมองของชายร่างสูงโปร่งวัยสามสิบสองปีที่ชอบสวมเสื้อผ้าด้วยชุดดำเป็นคาเรตเตอร์ส่วนตัวราวกับจะไว้ทุกข์ให้กับชีวิตที่เหลืออยู่
“สามทุ่มสิบนาที” รสินพึมพำคนเดียวก่อนยกเครื่องดื่มรวดเดียวหมดก่อนส่งแก้วเปล่าคืนให้บริกรที่เดินผ่านมาพอดี
“รสินจะไปไหน งานกำลังสนุก”
“กลับบ้าน”
รสินเอ่ยตอบทั้งที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนถาม เขาล้วงมือลงในกางเกงสแล็คเนื้อดีควานหากุญแจรถยุโรปของตัวเอง ส่วนอีกมือตบกระเป๋าเสื้อเชิ้ต คุ้นเคยกับการมีซองบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อทั้งที่เลิกสูบบุหรี่มาครบปีแล้ว รสินเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัวแล้วเดินออกจากผู้คนมากมาย ตั้งใจจะเดินไปที่ลานจอดรถแต่ขณะที่ก้าวออกนั้น
ชายหนุ่มปล่อยให้ตัวเองหวนถึงถึงภาพเก่าๆ อยู่เสมอเหมือนฉายหนังซ้ำกลับไปมาหลายต่อหลายรอบ มันไม่ใช่มีเพียงภาพเท่านั้นแต่ยังมีเสียงสะท้อนก้องในโสตประสาท ที่สำคัญความรู้สึกต่อเหตุการณ์นั้นๆ ในห้วงเวลานั้นด้วย เช่นความรู้สึกของเขาในขณะที่เพิ่งก้าวเท้าพ้นสถานที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่โยกย้ายเคลื่อนไหวร่างกายไปตามจังหวะเสียงเพลงที่กระหึ่มอยู่ภายใน
สิ่งกระตุ้นให้ช่วงวัยรุ่นยิ่งคึกคะนอง ในยามนั้นเขาคลั่งไคล้การเก็บภาพด้วยกล้องถ่ายรูป หลงรักเสียงลั่นชัตเตอร์ เขามีอุปกรณ์เสริมครบเลนส์ชนิดต่างๆ แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองถ่ายรูปได้ไม่ดีนัก แต่มันก็ทำให้เขารู้ว่าการถ่ายรูปที่ดีไม่ใช่ใช้เพียงกล้องและอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ที่ฝีมือและความตั้งใจของคนกดชัตเตอร์ และนั่นคือสิ่งที่เขาแลกมาด้วยราคาเหยียบแสน
ผับที่ชายหนุ่มมาเยือนนั้นอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า เขาเดินออกมานอกร้านแล้วแหงนหน้ามองแท่งคอนกรีตเหนือศีรษะ คนที่สมบูรณ์แบบอย่างเขาจะเป็นคนที่เหงามหาศาลขนาดนี้
เวลานี้ท้องฟ้าเป็นสีดำกำมะหยี่ มีแสงไฟสว่างวับวาวจากตึกระฟ้าที่เรียงรายตลอดเส้นทางทำให้รสินรู้สึกเหมือนร่างกายของเขาโปร่งใสเสมือนไร้ตัวตนบนโลกใบนี้
รสินเคยมีแฟน-แฟนที่หลับนอนอยู่บนเตียงนอนเดียวกับเขาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เมื่อทางบ้านเขารู้เขาก็กังวลมิใช่น้อย แต่สุดท้ายก็ไปกันไม่รอดต้องเลิกลากัน แม้ฐานะครอบครัวจะเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐี แต่ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจ เขาเรียนระดับปริญญาตรีให้เมืองไทย มีไปเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศบ้าง ช่วงเรียนจบใหม่ๆ รสินไม่ทำงานที่บริษัทของครอบครัว เขาได้ทำงานในบริษัทโฆษณาสองปีเศษจนสร้างสมประสบการณ์ให้ตัวเอง หลายคนคิดว่าเขาร่ำรวยแล้วไม่ต้องดิ้นรนอะไร แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาก็ต้องเรียนรู้ที่จะ ‘ลำบาก’ และเพราะคุ้นเคยกับความลำบากเป็นอย่างดี ทำให้เขาดูแลกิจการของครอบครัวเต็มที
‘ถ้าไม่เคยลำบาก ใช้ชีวิตติดสบาย ก็จะไม่รู้จักระวังตัว ทรัพย์สมบัติที่มีถ้าไม่รู้จักทำให้งอกเงยก็หมดได้’
ปู่สอนเขาอย่างนี้มาเสมอ เพราะเขาทำตามคำสอนของปู่ ไม่ใช่เพียงแค่ทำเพื่อเอาใจประจบประแจง ทำให้ปู่ค่อนข้างรักและเอ็นดูเขามาก หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานเป็น ‘ลูกน้อง’ คนอื่นมาสองปีเศษ เขาก็กลับไปบริหารโรงแรมอันเป็นกิจการของครอบครัว เขาน่าจะเป็นคนโชคดีเรื่องการงานแต่อาภัพเรื่องความรัก ทั้งที่ใบหน้าคมคายของเขาเป็นที่ดึงดูดสาวๆได้เป็นอย่างดี
สามปีหลังรับปริญญาให้พ่อได้ภูมิใจและมีรูปเขาสวมชุดครุยประดับไว้ที่ผนังบ้าน เขาได้รู้จักหญิงสาวที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ใช้เวลาจีบเธอสองเดือนเศษและเดือนถัดมาเตียงนอนของเขาก็มีเธอมานอนเคียงทุกค่ำคืน เธอมีความใจเย็นอดและพอเข้าใจกับสังคมที่เขาเป็นอยู่ แต่ความขี้สงสารหญิงสาวอื่นที่เขามาติดพันเขา ทำให้ภาพของเขากลายเป็นคนเจ้าชู้ไปในทันที
เขารู้ถึงความเปราะบางของจิตใจตนเองจึงหลงรักความเข้มแข็งในท่าทีอ่อนหวานของเธอ แต่กระนั้นเขาก็มิอาจรักษาเธอไว้ให้นอนเบียดชิดที่เตียงนอนเดียวกับเขาได้อีกต่อไป เมื่อความอ่อนไหวในจิตใจถูกสั่นคลอนด้วยใครบางคนที่ก้าวเข้ามาในชีวิต
เหตุการณ์ซ้ำเดิมหลายครั้งเขา เขาเองก็เลิกใส่ใจเรื่องพวกนี้ มีหญิงสาวให้คบหาแบบไม่ผูกมัด ดูเหมือนชีวิตเขาจะเหมาะกับเส้นทางนี้จริงๆ
ชายหนุ่มหลับตานิ่งสนิท นึกถึงคืนที่ได้พบ ‘กอหญ้า’ คืนนั้นคล้ายกับคืนนี้ เขาต้องไปงานเปิดตัวสินค้าคล้ายๆ ในคืนนี้ ผิดที่ว่ารถของเขาต้องเข้าอู่เพราะช่วงล่างของรถมีปัญหา เขานึกว่าอู่ซ่อมจะส่งรถให้เขาใช้ได้ทันเวลา แต่อาการรถหนักหนากว่าที่คิดต้องทิ้งรถไว้ที่อู่ซ่อม บางคนอาจคิดว่าเขาตระหนี่หรือขี้เหนียว แต่เขารักรถคันนั้นมาก มันมากจากน้ำพักน้ำแรงของเขา และเขาไม่มีรถสำรอง ซึ่งเขาจะมีรถสำรองไปทำไม หากจำเป็นเขาก็ยืมรถของพ่อได้ แต่ไม่ใช่ในวันนั้น
เขากระวนกระวายกับการที่ต้องไปถึงงานให้ได้ตามเวลาที่นัดหมาย จึงใช้บริการรถไฟฟ้า ในขบวนวันนั้นมีคนค่อนข้างบางตา เขามองเงาตัวเองที่สะท้อนในกระจกฝั่งตรงข้าม ไม่ได้คิดเข้าข้างว่าตัวเองหน้าตาหล่อเหลาไม่น้อย เพียงแต่มองในสายตาของช่างภาพ รู้สึกประทับใจภาพตัวเองที่สะท้อนบนกระจกฝั่งตรงข้ามความรู้สึกเสมือนตนเองเป็นวัตถุโปร่งใส
รสินมือล้วงลงไปในกระเป๋าเอกสารหยิบสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดที่เพิ่งถอยมาใหม่ เขาเปิดโหมดถ่ายภาพขึ้นเล็งไปฝั่งตรงข้ามนึกลองถ่ายภาพตนเองที่สะท้อนจากระจกฝั่งตรงข้าม แต่แล้วร่างเพรียวได้สัดส่วนก็ทรุดตัวนั่งลงตรงที่ว่างเมื่อครู่และแสงแฟลชที่เขาเผลอกดไปทำให้ใบหน้ารูปไข่เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา
ชายหนุ่มตะลึงอย่างเห็นได้ชัด และฝ่ายตรงข้ามก็จ้องกลับอย่างไม่นึกกลัว ผมยาวของเธอถูกรวบขึ้นมีไรผมลงมารุ่ยร่ายแต่เข้ากับดอกไม้ที่เขาไม่รู้จักชนิดเสียบประทับไว้ที่ผมดูงดงามราวกับจะออกมาจากเทพนิยาย อกอวบอิ่มเบียดชิดอยู่นั้นมีผ้ามัดอกสีน้ำตาลคล้ายผ้าฝ้ายทอมือคาดทับไว้ดูสวยรับกับท่อนล่างที่เป็นผ้านุ่งสีเดียวกัน แต่มันขอบผ้าต่ำติดสะโพกเผยให้เห็นสะดือที่มีห่วงเงินประดับไว้ ที่ดูขัดตาอาจเป็นกระเป๋าใบย่อมคล้ายใส่เสื้อผ้าหนีออกจากบ้าน
คนตรงหน้านิ่งไม่ยิ้มยั่วเหมือนหญิงสาวหลายคนที่ผ่านเข้ามาในทางเดินของเขา เธอดูนิ่งสงบให้เขาใช้สายตาสำรวจความงามทุกกระเบียดนิ้วของเธอ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างคิ้วเรียวรับกับดวงตากลมโตหรือริมฝีปากอิ่มที่ฉาบสีชมพูฉ่ำ ทำให้เขารู้สึกว่าเธอสวยเกินไปสวยเหมือนภาพวาดที่จิตกรจงใจสร้างสรรค์งานให้งดงามจนไม่มีที่ติด เธอลุกขึ้นเมื่อถึงสถานีทองหล่อ
เขาสะดุ้งเหมือนตื่นจากภวังค์และลุกตามไปยืนรอตรงประตูทางออก กลิ่นอ่อนๆ ของน้ำหอมผสมกลิ่นกายจากหญิงสาวตรงหน้าทำให้เขาอดสูดดมไม่ได้จนนึกคล้ายว่าตนเองกลายเป็นคนโรคจิตไปเสียแล้ว และเขาต้องยิ่งตกใจเมื่อรู้ว่าเธอมางานเดียวกับเขา เพียงแต่เธอมาในฐานะนักเต้นบนเวทีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานในรอบดึกของคืนนั้น
เพียงการพบเจอที่ไม่ได้พูดคุยในค่ำนั้นทำให้เขาใช้ความพยายามสืบเสาะค้นหาหญิงสาวผู้งดงามดังภาพวาด เขาตามเธอจนเจอว่าเธอแสดงโชว์มีระดับที่เน้นความสวยงามผสมผสานกับศิลปะแบบไทยอยู่ผับแห่งหนึ่งแถวซอยธนิยะบนถนนสีลม