เป็นห่วงทั้งลูกและงานที่โน่น งานดิฉันเป็นงานบริหารงานหนักและใหญ่คุมคนทรัพยากรมนุษย์ แค่พูดให้ฟังก็รู้ว่ามันเหนื่อยแค่ไหนแล้วใช่มั๊ยคะ นั่นแหละค่ะคือชีวิตของดิฉันทั้งชีวิต
เมื่อก้าวมาถึงจุดนี้จิตใจของดิฉันจะต้องเข้มแข็งให้เหนือผู้ใด เหมือนดิฉันเป็นหญิงเหล็กค่ะ ทานทนไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายดาย
อาทิตย์ที่ผ่านมาได้มาลบมาล้างความทรงจำให้มันหมดสิ้นไป ทั้งใช้เวลาครุ่นคิดอีกครั้ง
แต่การตัดสินใจก็ยังคงเดิม คือดิฉันหย่ากับโถมทรัพย์แน่
ข้อความทางมือถือดิฉันก็ส่งไปให้แล้วเขารับรู้ แค่นั้นล่ะ ดิฉันจะไม่มากความกับผู้ชายคนนี้ ถือว่าแล้วแล้วไป
โฉมวลีรู้ดีค่ะว่า วันนี้เป็นวันเดินทางกลับของดิฉัน
"เธอจะไปแล้วจริงๆ การมาของเธอที่นี่ทำให้โรงแรมครึกครื้นมากเชียวนะดาด้า"
เพื่อนรักเจ้าของโรงแรมถามฉัน
"มันมาถึงเร็วจริงนะ ฉันรู้ว่าเธอจะต้องไป มีอะไรหลายอย่างรอเธออยู่ แม่หญิงเหล็กหญิงแกร่ง" ฉันยิ้มน้อยๆกับคำนั้นของเพื่อน
"มันก็เหมือนเครื่องจักรกลไกของเฟืองที่ทำงานอยู่นั่นล่ะ" ชีวิตของฉันคือสิ่งนั้น
"แต่เธอกลับไปคราวนี้เธอแน่ใจแล้วหรือ"
"สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวสมองของฉันในตอนนี้นะโฉม คือ หย่าขาดจากไอ้โถมทรัพย์ให้เร็วที่สุด หลังจากที่เลื่อนไปพอสมควรแล้ว"
"เอ้อ หลานชายของฉันที่กรุงเทพ แฟนของฉันเขาฝากให้เธอช่วยดูแลด้วย เพิ่งจะใหม่ยังไม่ชินนัก เธอเอาเบอร์ของเขาไปด้วยก็ได้ เด็บบี้ร์ห่วงมาก นี่คือการชิมลางงานครั้งแรกที่เมืองไทยของแทมป์ เขาคิดจะอยู่ที่นี่เป็นการถาวรด้วยซ้ำ"
ฉันฟังคำนั้นจากโฉมหรือไมราเพื่อนรักและเขาคนนั้นก็ได้กล่าวพูดกับดิฉันไว้แล้ว
ว่าเขาอยากอยู่ที่นี่เป็นการถาวร
ส่วนรายละเอียดส่วนอื่น หากได้เจอกันก็คงจะคุยกันมากกว่านี้ แหม การได้รับเบอร์เขาโดยที่ไม่ได้ขอเองกับมือนี่ เซอร์ไพรส์หนัก พ่อหนุ่มน้อยคนนั้นอาจจะแปลกใจก็ได้ มันเป็นการเซอร์ไพรส
แต่ฉันว่าแบบที่ทำให้เขาตื่นเต้นแปลกใจแบบนี้ไม่ดีหรอก เผลอเขาอาจจะพาลไม่รับสายด้วยซ้ำถ้าเป็นคนแปลกหน้า
"ฉันกลัวเขาจะไม่รับสายนะสิโฉม"
"ไม่เป็นไรฉันให้เบอร์โทร.ของเธอแก่แทมป์แล้วล่ะ"
"ตายจริง มันน่าตีนักนะโฉม ฉันเป็นเจ้าของเบอร์นะยะสุ่มสี่สุ่มห้าไปเที่ยวให้ใครมั่วไม่ได้ น่าลงโทษจริงๆ"
ฉันว่าใส่โฉมวลีอย่างเข่นเขี้ยวที่เพื่อนทำอะไรโดยพลการอย่างนี้ แต่ก็มีเคืองนิดนอกจากนั้นไม่มีอะไรหรอก แต่มันก็คือสิ่งที่ฉันอยากได้เหมือนกัน ฉันจึงยิ้ม
"ฉันรับปาก ฉันจะดูแลเขาแน่ ให้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยหรือเปล่าล่ะโฉมวลี เอ้ย ไมรา"
เจ้าของโรงแรมสาวใหญ่ วัยไล่เลี่ยกับดิฉันยืนเคียงใกล้กับเด็บบี้ที่อ่อนกว่าไมร่าแค่สองปี ทั้งสองคนมีรสนิยมทางเพศแบบเดียวกันอยู่กินด้วยกันมากกว่าสิบปีแล้ว อย่างมีความสุขที่เมืองไทย
เด็บบี้หัวเราะให้ฉันนิดหนึ่งอย่างถูกใจ
ในสิ่งที่เธอต้องการฝากหลานไว้ให้ดิฉันดูแล
เด็บบี้ตัดผมสั้นเกรียนเส้นผมของหล่อนเป็นสีทองแต่ผ่านการกัดย้อมเป็นสีโค้กแบบสาวในอดีตเรียกว่าพังค์ เรียกว่าแต่งตัวแบบสไตล์กวนๆขัดหูขัดตาชาวบ้าน แต่นี่คือรสนิยมความชอบส่วนตัวของเธอ ดิฉันไม่เห็นแปลก
"เธอให้เบอร์ฉันแก่เขา นี่เขาจะกล้าโทร.มาหาฉันหรือเปล่า"
"งั้นหล่อนก็โทร.ไปหาเขาเองย่ะ แม่ดาด้า"
ไมราตอบฉันอย่างหมั่นไส้ใส่นิดๆ
ก่อนที่ดิฉันจะตรงดิ่งไปที่สปอร์ตคันงามสีแดงเพลิงตัดกับชุดที่ดิฉันสวมแบบสีฉูดฉาดพร้อมกับมีแว่นตาสีดำปกปิดเอาไว้
เมื่อขนข้าวของสัมภาระเสร็จแล้ว ดิฉันมอบทิปให้พนักงาน
ค่าที่ช่วยเหลือดูแลความสะดวกดีทุกอย่าง จนกระทั่งถึงวันลากลับ ดิฉันไม่ให้ต่อหน้าเจ้าของโรงแรมหรอกเพราะว่าเพื่อนคงไม่สบายใจ
และไม่อนุญาต ดิฉันเลยแอบให้หลังสายตาของเพื่อน กำชับด้วยว่าห้ามให้เจ้าของโรงแรมรู้ เด็กนั่นสองคนทั้งชายและหญิงทำท่าอึกอักอึดอัดไม่กล้ารับ ดิฉันเลยต้องยัดเยียดใส่กับมือให้ทันที
"เงินเดือนพวกเธอน้อย อาจจะช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวได้ในวันๆหนึ่งที่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายค่าครองชีพถือว่าฉันช่วยเหลือพวกเธอที่เป็นเด็กดีเลี้ยงดูครอบครัว ที่สำคัญอย่าบอกเจ้าของโรงแรมให้ปิดไว้ให้มิดนะ"
เด็กที่เข้ามาช่วยขนข้าวของจากชั้นห้า ดิฉันสำรวจดูอีกครั้ง ไม่มีอะไรลืมไว้ตามซอกมุม
ไมรากับเด็บบี้เตรียมรอท่าในการส่งดิฉันกลับที่กรุงเทพด้วยการเข้าไปโอบกอดทั้งคู่ เพื่อเป็นการร่ำลาจะเข้าสู่กรุงเทพในช่วงเวลาเกือบสิบโมง
แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงดิฉันก็ขับเข้าถึงกรุงเทพฯแล้ว ระยองกับกรุงเทพฯเหมือนแค่นึกถึงก็มาถึง แบบไม่ไกล ยิ่งดิฉันเป็นคนที่ขับรถไวพอสมควร อะไรๆก็ลงตัวแล้วล่ะตอนนี้ การที่ได้ไปพักผ่อนนานถึงสัปดาห์อาจจะเลยหน่อยนั้น
ถือว่าเป็นการพักผ่อนที่คุ้มค่าขจัดเรื่องร้ายๆพ้นออกจากหัวสมองของดิฉันได้มากจริงๆ
จึงยิ้มรับกับการต่อสู้ครั้งใหม่
ปลอดโปร่งสบายใจขึ้นบรรดาเรื่องเครียดๆที่สุมกองอยู่ในหัวนั้น ถูกดิฉันละลายทิ้งด้วยกาลเวลาที่ผ่านมา หลายวันด้วยการตัดใจสลัดมันออกจากพ้นสมอง
โดยเฉพาะผู้ชายที่ไม่รักดีอย่างโถมทรัพย์ด้วย ที่เขามาทำเลวเกวบนหัวฉันคือการสวมเขาแบบต่ำช้าที่สุด มันมากและรุนแรงจนดิฉันไม่คิดจะให้อภัยแก่เขาอีกครั้ง
ฉันปิดโอกาสคือการที่โถมทรัพย์หมดเวลาไปเลย ต่อไปดิฉันก็ลัลลา สนใจแต่เรื่องตัวเองกับลูก
ไม่ลืมว่า เอวิตานั้นเป็นสาวแล้ว เป็นเรื่องที่น่าห่วง
แม้จะยังไม่กังวลเท่าตอนเป็นเด็กหญิง การโตเป็นสาวนี่บ่งบอกอะไรหลายอย่าง เด็กที่มีพัฒนาการดีด้านสมองการเลี้ยงดูในครอบครัวที่ดี
ลูกสาวจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดก้าวหน้า แม้ลูกสาวจะดูจิตใจอ่อนไหวง่าย การเป็นแม่ทำให้ดิฉันสังเกตลูกทุกฝีก้าว
แต่ไม่ได้ทำให้เอวิตาอึดอัด ฉันรู้ว่าลูกชอบสิ่งใด แล้วก็ไม่ได้ชอบสิ่งใด ในทีสุดดิฉัน กำลังข้ามสะพานบางปะกงแล้วจะเลยขึ้นทางด่วนไปยังจุดข้างหน้า
ที่ทำการเขต ฉันมาถึงก่อนกำหนดด้วยซ้ำมายืนรอเขาโถมทรัพย์ ที่มาคราวนี้ก็พาผู้หญิงคนใหม่มาด้วย ให้หล่อนอยู่กับรถ ดิฉันไม่แคร์หรอกค่ะในเมื่อคนเราจะเป็นอิสระต่อกันและขาดจากกัน
ดิฉันเม้มเรียวปากแน่นไม่ได้เป็นคนทักทายเขาก่อน เพราะดิฉันยังขยะแขยงเกลียดผู้ชายคนนี้ยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน จนเขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยก่อน
"สบายดีมั๊ย คุณ เอ้อ ด้า เราไม่ได้เจอกันหลายวันมานะ ผมก็ยังห่วงและนึกถึงคุณ แม้สิ่งที่คุณตัดสินใจผมไม่เห็นด้วยก็ตาม ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้ มันทรมาน ผมจะทำใจได้มากแค่ไหน เพราะเราอยู่กันมานาน และผมรักคุณ ถึงเวลานี้ก็ยังรักคุณ"
"ความรักกับความใคร่มันแยกส่วนออกจากกันนะโถมทรัพย์"
ฉันกำลังจะสะอิดสะเอียนผู้ชายคนนี้มากที่สุด
พูดเอาแต่ได้กับผลประโยชน์ ฉันแค่นใส่และหัวเราะ ขณะที่เม้มเรียวปากแน่น เพียงเพราะไม่อยากเสวนากับผู้ชายอย่างเขาแต่มันอดไม่ได้
"คุณเลือกอะไรล่ะ ฉันให้คุณเลือกได้ตามใจชอบ จะใช่เรื่องเซ็กซ์เรื่องความใคร่ที่คุณชอบ ถึงขนาดแอบหลบแอบซ่อนไปก่อตัณหาราคะ จนมามีเรื่องเกิดแบบนี้ จะมาถามหาความรับผิดชอบอะไร ฉันไม่เลี้ยงอยู่แล้ว"
ฉันพูดอย่างเด็ดขาด