“เป็นเกียรติและยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” เธอบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ที่ไม่สามารถปกปิดอาการดีใจของตัวเองได้ในตอนนี้ และในขณะนั้นเองขณะที่เธอกำลังปลื้มปริ่มกับความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มต้น จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ซึ่งเธอนิยามให้มันเป็นเสียงแห่งความหายนะ
“ยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกเหรอวะ นี่มันวันซวยอะไรของฉันเดินไปทางไหนก็เจอแต่ตัวซวย” เจ้าของเสียงแห่งความหายนะจงใจเดินเข้ามาพูดเหน็บแนมโดยเฉพาะ
“งั้นฉันก็คงซวยพอๆ กับแกล่ะมั้ง ว่าแต่ถ้าแกมีวิธีล้างซวยก็อย่าลืมบอกฉันล่ะ” เจอคำพูดยอกย้อนของเดนิสเข้าไป อเล็กซิสถึงกับกัดฟันกรอด “เมื่อไหร่แกจะไปให้พ้นๆ หน้าฉันสักที” คนที่ความอดทนต่ำ ทนอะไรได้ไม่นานนักอย่างอเล็กซิสถามออกมาตรงๆ ไม่มีแม้กระทั่งความเกรงใจ
“ถ้าฉันจำไม่ผิด คนที่เป็นฝ่ายมาให้ฉันเห็นหน้าเป็นแกมากกว่านะอเล็กซ์ เพราะฉะนั้นถ้าจะมีคนใช้คำถามนี้ มันก็น่าจะเป็นฉันมากกว่า แต่ไหนๆ แกก็อุตส่าห์ถามมาแล้ว งั้นฉันก็คงต้องตอบว่า จนกว่าฉันจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ไงล่ะ” เดนิสซะอีกที่เป็นฝ่ายใจเย็น และยอกย้อนกลับไปได้ตลอด จนแก้วมุกดายิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับความมีสติของผู้ชายในอุดมคติ
“ถ้าฉันไม่เห็นว่าคนของฉันยืนอยู่ตรงนี้ ฉันก็ไม่เข้ามาให้เสียอารมณ์หรอกโว้ย แกก็เหมือนกันดราโก มายืนทำซากอะไรตรงนี้วะ งานการมีไม่รู้จักทำ เผลอเป็นไม่ได้ อู้ตลอด แกอยากโดนตัดเงินเดือนรึไงวะ” เมื่อหันไปเห็นแก้วมุกดายืนมองศัตรูตาเชื่อม เขาจึงหันไปพาลใส่เธอด้วย แต่ถ้าคิดว่าคนอย่างแก้วมุกดาจะยอมยืนให้เขาโขกสับเฉยๆ อีกเป็นครั้งที่สองล่ะก็ เขาคิดผิด
“ขอโทษนะครับ ถึงผมจะเป็นแค่ลูกน้องแต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้คุณกดขี่ได้ตามใจชอบครั้งแล้วครั้งเล่า ผมไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วที่ผมต้องมายืนเสียการเสียงานอยู่ตรงนี้นั่นก็เป็นเพราะว่าคุณลากผมมา แล้วก็ปล่อยทิ้งให้ผมยืนเป็นซากอยู่ตรงนี้ ทีนี้เข้าใจแล้วนะครับว่าไอ้ซากอย่างผมมันก็มีความรู้สึกเหมือนกัน” แก้วมุกดาตอกกลับให้อย่างเหลืออด
อเล็กซิสถึงกับกัดฟันกรอด พร้อมกำมือแน่น เมื่อตนกำลังถูกรุมประณามจากคนทั้งคู่ ยิ่งได้เห็นสายตาเยาะเย้ยของเดนิสที่มองมาก็ยิ่งเจ็บใจเป็นเท่าทวีคูณ
“ฮ่าๆๆ นายนี่มันเจ๋งจริงๆ เลยว่ะดราโก มันต้องแบบนี้สิวะ คนพาลมันถึงจะรู้สึก ถ้าตกงานวันไหนรีบไปหาฉันนะ ฉันจะรีบไว้ทันทีเลย” เดนิสเอ่ยปากชมเปาะกับความใจกล้าของเธอ
“ถ้ายังไง ผมขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะครับ ไม่อยากให้ใครมองไม่ดีอีก ขอตัวนะครับ” แก้วมุกดาหันมามองหน้าอเล็กซิสนิดหนึ่ง ก่อนจะหันไปเอ่ยลาเดนิสและเดินออกไปจากตรงนี้ทันที โดยไม่ฟังคำทักท้วงใดๆ ของใครอีก
“เฮ้ย! อย่าเพิ่งไปสิวะ แกกับฉันยังเคลียร์กันไม่จบ กล้าดียังไงมาพูดกับฉันแบบนี้ว่า ไอ้ดราโก กลับมาก่อน กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องสิโว้ย” อเล็กซิสตะโกนไล่หลัง ในขณะที่คนฟังหาได้สนใจจะหยุดอย่างที่เขาสั่งไม่ เธอยังคงเดินต่อไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองด้วยซ้ำ
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” ในขณะที่แก้วมุกดาเดินหงุดหงิดออกมา จู่ๆ ก็เดินชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง และเธอคนนั้นก็รีบขอโทษเธอทันที
“ไม่เป็นไร ว่าแต่คุณเจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ” แก้วมุกดาที่ยังอยู่ในสถานะผู้ชายคนหนึ่ง เอ่ยถามอย่างสุภาพพร้อมกับช่วยประคองอีกฝ่ายไว้
“ขอโทษนะคะ” อุ๊บ! จู่ๆ ผู้หญิงคนดังกล่าวก็เอ่ยขอโทษอีก แต่คราวนี้ไม่พูดเปล่ากลับรั้งตัวแก้มุกดาเข้ามาจูบหน้าตาเฉย ทำเอาคนตั้งตัวไม่ทันอย่างแก้วมุกดาถึงกับอึ้งกิมกี่
“อื้อ!” กระทั่งเวลาล่วงไปหลายนาที แก้วมุกดาถึงได้ตั้งสติได้และรีบผลักอีกฝ่ายออกทันที ‘เฮ้ย!! ทำไมชีวิตฉันมันถึงได้มีเรื่องซวยไม่หยุดหย่อนแบบนี้วะ ก่อนหน้าก็โดนผู้ชายจับหน้าอก ตอนนี้ยังมาโดนผู้หญิงจูบอีก ชีวิตช่างมีสีสันซะเหลือเกินแก้วตาเอ๊ย’
“ขอโทษที่ต้องทำแบบนี้นะคะ ฉันมีความจำเป็นจริงๆ” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เอ่ยขอโทษอีกครั้ง
“จูบเนี่ยนะ เรื่องจำเป็นของคุณ” แก้วมุกดาชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ
“ค่ะ คุณคงเห็นผู้ชายกลุ่มนั้นที่เดินตามฉันมาแล้วใช่ไหมคะ พวกเขาจะจับตัวฉัน ฉันเลยต้องใช้คุณเป็นเครื่องกำบัง หวังว่าคุณจะไม่ถือสาคนที่กำลังเดือดร้อนอย่างฉัน” หญิงสาวคนดังกล่าวบอกด้วยสีหน้าและแววตาที่บอกให้แก้วมุกดารู้ว่าเธอไม่น่าจะโกหก แต่เรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นบอกว่ามีคนตามมานั้น เรื่องนี้เธอเองก็คงไม่แน่ใจ ก็ตอนนั้นเธอกำลังอึ้งจะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจสิ่งรอบข้างได้ล่ะ
“เอาล่ะช่างเถอะ ความจริงผมก็เป็นผู้ชายไม่ได้เสียหายอะไร กลัวก็แต่คุณที่จะถูกมองไม่ดี เอาเป็นว่าก็ให้เรื่องมันจบตรงนี้แล้วกัน” แก้วมุกดาบอกอย่างจนใจ
“ขอบคุณมากค่ะ คุณเป็นคนดีมีน้ำใจ ฉันอิงธารายินดีที่ได้รู้จักนะคะ” อิงธาราบอกด้วยสีหน้าและแววตาชื่นชมไม่ปิดบัง
“อิงธารา ที่หมายถึงน้ำน่ะเหรอ” แก้วมุกดาเผลอถามออกไปอย่างลืมตัว
“ใช่ค่ะ เอ๊ะ! นี่คุณรู้ภาษาไทยด้วยเหรอคะ หรือว่าคุณเป็นคนไทย” อิงธาราถามด้วยเสียงตื่นเต้นดีใจ จนแก้วมุกดายังอดยิ้มตามไม่ได้
“เอ่อ ความจริงผมเป็นลูกครึ่งครับ ผมดราโกยินดีที่ได้รู้จักครับ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะมีพิษมีภัยใดๆ จึงผูกมิตรไว้
“ดีจัง อย่างน้อยก็มีคนพูดภาษาเดียวกันบ้าง” จู่ๆ อิงธาราก็ทำหน้าเศร้าจนเธอสงสัย
“เอ่อ แล้วคุณอิงธารา” แก้วมุกดาตั้งใจจะถาม แต่ก็ต้องชะงักเพราะอีกฝ่ายชิงพูดแทรกขึ้นมา
“เรียกอิงก็ได้ค่ะ ถ้าไม่รังเกียจอิงขอเรียกพี่ ว่าพี่ดราโกได้ไหมคะ” เมื่อเห็นสีหน้ารอคอยอย่างมีความหวังของอิงธารา แก้วมุกดาก็ปฏิเสธไม่ลง จึงได้แต่พยักหน้ารับไปอย่างจนใจ
“ครับน้องอิง ว่าแต่น้องอิงไม่ได้เดินทางมาที่นี่กับครอบครัวหรอกเหรอครับ” ได้ฟังแก้วมุกดาถามมา อิงธาราถึงกับหน้าสลดลงอีก
“อิงไม่มีครอบครัวหรอกค่ะ อิงเป็นแค่เด็กที่เขาเก็บมาเลี้ยง รอวันที่ต้องทดแทนทนบุญคุณผู้มีพระคุณก็เท่านั้น ว่าแต่พี่ล่ะคะมาเที่ยวเหรอ” อิงธาราพยายามเก็บอารมณ์ด้วยการถามอีกฝ่ายกลับบ้าง แต่แก้วมุกดาก็ยังดูออกอยู่ดี ว่าเธอคงมีเรื่องอะไรในใจที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้
“เปล่าหรอก พี่ทำงานอยู่ที่นี่น่ะ นี่ก็ทิ้งงานมานานแล้ว พี่ขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะ อ้อ! ถ้าเหงาๆ หรืออยากหาเพื่อนคุยก็ไปหาพี่ได้นะ นี่นามบัตรของพี่ ไว้เจอกันนะ” เป็นเพราะนัยน์ตาเศร้าๆ ของอิงธาราแท้ๆ ที่ทำให้แก้วมุกดาไม่อาจตัดสัมพันธ์ไว้แต่เพียงเท่านี้
“ขอบคุณค่ะ อิงต้องไปหาพี่แน่ๆ ค่ะ” อิงธาราดีใจจนออกนอกหน้า ไม่วายยืนมองแก้วมุกดาจนลับสายตา
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมอีวาน” หลังจากที่แยกกับอิงธารา แก้วมุกดาก็กลับมายังห้องทำงานของตัวเอง ที่ดูเหมือนทุกคนจะกำลังวิ่งวุ่นกับการเตรียมงานต้อนรับที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้
“เหลือเตรียมอุปกรณ์อีกนิดหน่อยก็น่าจะเรียบร้อยครับ คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” อีวานตอบเรียบๆ พร้อมกับค้อมศีรษะให้หนึ่งครั้งตามความเคยชิน
“เฮ้อ! ฉันนี่แย่จัง ไม่ได้ช่วยทำอะไรกับเขาเลย ขอโทษนะ” แก้วมุกดาบอกอย่างรู้สึกผิด
“เฮ้ย! จะขอโทษทำไมครับหัวหน้า เรื่องแค่นี้พวกเราจัดการกันเองได้ ไม่ได้หนักหนาอะไรสักหน่อย อีกอย่างก็เห็นๆ กันอยู่ว่าหัวหน้าออกไปกับใคร เอ่อ! แล้วว่าแต่ทำยังไงคุณอเล็กซ์ถึงยอมปล่อยหัวหน้าออกมาได้ครับเนี่ย” ไซมอนกระซิบถาม โดยไม่รู้เลยว่าไปสะกิดต่อมโทสะของเธอเข้าพอดี