หลังจากแยกตัวมาจากแม่ เขาก้มดูตนเองเล็กน้อย เมื่อเห็นสภาพที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นด้วยดิน เขาจึงเดินกลับเข้าห้องตนเองก่อนจะไปเปลี่ยนชุดใหม่
เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วจึงเดินไปทางหลังบ้าน เพื่อไปเอาจักรยานที่จอดอยู่ปั่นไปที่บ้านรองมู่ด้วยหัวใจที่อิ่มเอม ทว่าใบหน้าของชายหนุ่มกลับมีความเย็นชาไว้เช่นปกติ ทำให้ชาวบ้านที่เห็นต่างไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเฉินหยางคุนนั้นมีความสุขแค่ไหน
เมื่อมาถึงบ้านรองมู่ มู่อันเหมยนั่งรอเขาก่อนแล้ว
“รอนานไหม”
“ไม่เลยพี่ใหญ่เฉิน ฉันเพิ่งเดินออกมาก่อนหน้านี้ไม่นาน”
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวแดดจะร้อนเสียก่อน เพิ่งจะหายป่วย”
“แต่…แต่ฉันยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่เลยนะพี่ กลัวกลับมาแล้วไม่เจอ…” มู่อันเหมยยังมีความกังวล เธอคิดจะไปที่คอมมูนเพื่อบอกกล่าวเรื่องที่เธอจะเข้าเมืองกับพี่ใหญ่เฉิน
“ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว อาหยวนรับรู้ คงไปบอกน้ามู่และน้าสะใภ้มู่ให้แล้ว”
คราวนี้มู่อันเหมยตกใจกับการกระทำของเขาไม่น้อย จึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับชายหนุ่มอย่างไม่ได้ตั้งใจ ต่อให้ใบหน้ายังคงเย็นชาเช่นเดิม แต่ทำไมดวงตาเขาถึงมีประกายคล้ายคนกำลังยิ้มล่ะ
“รีบไปเถอะ”
“ค่ะ”
มู่อันเหมยตอบรับ ก่อนจะซ้อนท้ายจักรยานของเฉินหยางคุนด้วยความเกร็ง
“ขออนุญาตค่ะ”
เมื่อหาที่เกาะไม่ได้จึงเอ่ยขออนุญาตแล้วจับชายเสื้อเขาไว้เพราะกลัวตก
จักรยานของเฉินหยางคุนกว่าจะถึงปากทางเข้าหมู่บ้านนั้นผ่านสายตาชาวบ้านไม่น้อย ทำให้เริ่มเกิดเสียงซุบซิบนินทาขึ้น ทว่าเฉินหยางคุนคล้ายไม่สนใจ เขาต้องการให้ชาวบ้านเห็นและพูดคุยกันอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะต้องการจะทำลายชื่อเสียงของมู่อันเหมย เขาต้องการที่จะหมั้นหมายไว้ก่อน ซึ่งเขาไม่อาจจะผิดสัญญาที่รับปากเธอไว้ก่อนหน้านี้
เขาไม่รู้หรอกว่าภายในหนึ่งปีนี้ระหว่างเขาและหญิงสาวในดวงใจจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนนี้มู่อันเหมยเข้าทำงานในโรงงานยาสูบได้เหมือนกับชาติที่แล้ว อย่างไรผู้ชายคนนั้นยังคงทำงานอยู่ที่นั่น เขาไม่ไว้ใจมัน
ไม่ใช่เขาไม่คิดกับท่าทางของมู่อันเหมยที่ผิดแปลกไปจากเมื่อก่อน ในเมื่อเขายังย้อนกลับมาได้ ทำไมมู่อันเหมยจะย้อนกลับมาไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่คิดที่จะถาม และไม่ต้องการคำตอบ ไม่ว่าอย่างไรชาตินี้มู่อันเหมยจะต้องเป็นภรรยาเขาคนเดียวเท่านั้น
หากเธอย้อนกลับมาจริง ๆ คงแค้นผู้ชายคนนั้นน่าดู และถ้าเธอต้องการแก้แค้น เขาจะปล่อยให้เธอเล่นสนุกจนพอใจ แต่ถ้าไม่ เขาจะจัดการชายคนนั้นให้สาสมกับการหลอกลวง และทำร้ายจิตใจของมู่อันเหมยจนเธอจบชีวิตตนเอง
หากถามว่าทำไมเขาไม่จัดการก่อนที่ทั้งสองจะพบกันอีกครั้ง นั่นเพราะเขาอยากดูความเคลื่อนไหวของชายคนนั้น และต้องการให้มันตายอย่างช้า ๆ ด้วยวิธีการของเขาเอง! แต่ถ้ามันไม่เลวเหมือนชาติเดิมเขาก็อาจจะเล่นงานไม่ถึงตาย แต่ไม่มีทาง…คนมันเลวอย่างไรก็เลวด้วยสันดาน!
“จะไปห้างสรรพสินค้าของรัฐหรือตลาดมืด” เมื่อเข้ามาในเมืองเฉินหยางคุนจึงเอ่ยถามคนซ้อนท้ายจักรยาน
“ไปทำไมเหรอคะ หรือว่าพี่ใหญ่เฉินมีธุระกับสถานที่ที่กล่าวถึง” มู่อันเหมยถามกลับด้วยความสงสัย ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายชวนเธอมาแล้วจะมาถามเธอทำไมว่าอยากไปที่ไหน
“ถ้าอย่างนั้นไปห้างสรรพสินค้าก่อน หากไม่มีของที่ต้องการค่อยไปตลาดมืดอีกครั้ง”
เฉินหยางคุนจึงปั่นจักรยานตรงดิ่งไปยังห้างสรรพสินค้าของรัฐ มู่อันเหมยจึงได้แต่มองสองข้างทางโดยคิดในใจว่าคงไม่ใช่ความฝันแล้วล่ะ เธอย้อนกลับมาจริง ๆ
แต่พอคิดว่าเวลาทำงานแล้วต้องพบหน้ากับชายคนนั้นอีก มือที่กุมเสื้อของเฉินหยางคุนสั่นโดยไม่รู้ตัว เขารับรู้อาการของเธอและนั่นทำให้เขาเริ่มมั่นใจว่ามู่อันเหมยย้อนกลับมาเหมือนกัน!
“อยากได้อะไรไหม” ขณะเดินในห้างสรรพสินค้า เฉินหยางคุนจึงเอ่ยถามเสียงนุ่ม
“พี่จะซื้อให้ฉันเหรอ ฉันไม่เกรงใจนะ”
มู่อันเหมยสลัดความนึกคิดเรื่องชาติที่แล้วทิ้งไป และคิดว่าเวลานี้ชายตรงหน้าต่างหากที่จะมาเป็นสามีของเธอในชาตินี้ จึงได้แกล้งเอ่ยล้อออกมา
“ผมสามารถซื้อให้คุณได้ หากคุณต้องการ” ยกเว้นพระจันทร์และพระอาทิตย์เท่านั้นที่เขาไม่สามารถหาให้ได้ ประโยคสุดท้ายเขาได้แต่คิดในใจเท่านั้น
ใบหน้ามู่อันเหมยเกิดริ้วแดงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เธอไม่คิดมาก่อนว่าคนที่เย็นชาและคนที่เธอไม่เคยมองเขาในแง่ดีเลยสักครั้งในชาติที่แล้วจะทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นได้ขนาดนี้
เธอไม่กล่าวอะไรอีก ทำเพียงเดินนำหน้าเลือกดูของที่วางขายในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้
เฉินหยางคุนมีรอยยิ้มในแววตาอย่างห้ามไม่อยู่เช่นกัน เมื่อเห็นอาการของหญิงสาวที่ตอบกลับมา เขาจึงเดินตามเธอไม่ห่างและดูว่าเธอต้องการซื้ออะไรหรือไม่ สำหรับเขาไม่ว่ามู่อันเหมยต้องการอะไร เขายินดีที่จะซื้อให้ทุกอย่าง
มู่อันเหมยยังคงเดินดูอย่างเดียว ไม่คิดที่จะซื้ออะไร เพราะเธอมองว่าในห้างสรรพสินค้าของรัฐนอกจากราคาที่ต้องจ่ายแล้ว ยังมีคูปองที่ต้องจ่ายด้วย ซึ่งชาวบ้านแบบเธอแต่ละปีนั้นได้คูปองมาไม่มากเลย หากพี่ใหญ่เฉินซื้อของให้เธอนอกจากเสียเงินแล้วยังต้องจ่ายคูปองอีกด้วย
ซึ่งสินค้าในห้างสรรพสินค้าของรัฐนั้นมีไม่ต่างจากตลาดมืด และตัวเธอเองชาติก่อนมักจะซื้อของในตลาดมืดเสียมากกว่า เพราะจ่ายเพียงแค่เงินไม่ต้องวุ่นวายหาคูปองมาจ่าย
“นี่ก็เลยเที่ยงมาแล้ว ฉันคิดว่าเราหาอะไรกินกันก่อนไหม กินเสร็จแล้วฉันจะรบกวนให้พี่พาเข้าตลาดมืดได้หรือเปล่า ที่นี่นอกจากของจะมีราคาแล้วยังต้องจ่ายร่วมกับคูปองด้วย”
ทั้งเงินและคูปองเธอเองก็มีไม่มาก เธอเกรงใจที่จะให้พี่ใหญ่เฉินต้องจ่ายเงินให้ แม้จะมีสัญญาหมั้นหมายกันก็ตาม ทว่าเวลานี้มีเพียงแค่สัญญาเท่านั้น ยังไม่ได้หมั้นหมายกันจริง ๆ
“ไม่มีของที่อยากได้เหรอ” ชายหนุ่มถามกลับ เขาคิดว่าอย่างน้อยมู่อันเหมยอยากได้สิ่งของบ้าง หรือว่าเธอไม่ต้องการอะไร
“เราไปดูที่ตลาดมืดกันดีกว่าค่ะ”
“อืม”
จากนั้นเฉินหยางคุนจึงพามู่อันเหมยออกมาร้านอาหารของรัฐ ทั้งสองเลือกทานอาหารคนละจานโดยที่ชายหนุ่มเป็นคนจัดการจ่ายให้ แม้ว่าจะเกรงใจแต่มู่อันเหมยกลับยินยอมแต่โดยดี
ระหว่างกินอาหารมื้อนี้ทั้งสองคนไม่มีใครพูดหรือถามอะไร ทว่าพออาหารหมด มู่อันเหมยกลับถามขึ้นมาอย่างที่เฉินหยางคุนก็คิดไม่ถึง
“พี่ใหญ่เฉิน พี่ต้องการแต่งงานกับฉันเพราะตัวพี่เอง หรือเพราะสัญญาระหว่างลุงเฉินกับพ่อของฉัน หากพี่ทำตามเพราะคำ...”
“ชอบ”
ทว่ามู่อันเหมยยังกล่าวไม่ทันจบ เฉินหยางคุนกลับสวนขึ้นมาเพียงคำเดียว
คำพูดห้วน ๆ แต่ความหมายลึกซึ้ง ทำให้มู่อันเหมยรู้สึกถึงความรู้สึกของคนตรงหน้าที่มีต่อเธอจริง ๆ ใบหน้าของเธอจึงแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“พี่รู้ว่างานบ้านงานเรือนฉันไม่เอาไหน งานในคอมมูนฉันก็ไม่เคยทำ อาหารยิ่งแล้วใหญ่ฉันแทบทำอะไรไม่เป็นเลย หุงข้าวยังไหม้”
“ผมไม่ได้แต่งงานเพราะต้องการแม่บ้าน อะไรที่ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ในหมู่บ้านมีชาวบ้านที่ยินดีทำให้ และผมก็จ้างป้ากู้มาช่วยทำความสะอาดบ้านให้อยู่แล้ว แม่ผมท่านอายุเยอะแล้ว ผมไม่อยากให้ท่านต้องเหนื่อย ส่วนอาหารผมทำเองได้ และอร่อยด้วย”
นี่คงเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่มู่อันเหมยเคยได้ยินจากปากเขา เรื่องของป้ากู้ เธอพอจะได้ยินมาบ้างจากความทรงจำของชาตินี้ว่าบ้านเฉินนั้นให้ป้ากู้มาช่วยทำความสะอาดบ้าน แต่เรื่องอาหารเธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาทำเป็น ผู้ชายส่วนมากไม่ค่อยมีความชำนาญเรื่องนี้
“ไม่เชื่อเหรอ”
เฉินหยางคุนเห็นสีหน้าของเธอคล้ายแปลกใจจึงคิดว่ามู่อันเหมยไม่เชื่อ จึงได้ถามย้ำอีกครั้ง
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ผู้ชายส่วนมากไม่ค่อยทำเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เหรอคะ”
“เว้นผมไว้หนึ่งคน หากไม่เชื่อเย็นนี้ไปกินมื้อเย็นที่บ้านผม แล้วจะรู้ว่าผมทำอาหารอร่อยหรือไม่”
คล้ายกับมัดมือชกอย่างไรอย่างนั้น หากมู่อันเหมยปฏิเสธก็เท่ากับว่าไม่เชื่อ แต่ถ้าเธอไปความหมายก็จะเปลี่ยน นี่คือสิ่งที่เฉินหยางคุนต้องการ เขาไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ แต่เขาไม่อยากเสียเธอไปอีกในชาตินี้
“ค่ะ เย็นนี้ฉันจะไป นานแล้วที่ฉันไม่ได้เข้าไปเยี่ยมป้าสะใภ้เฉิน”
สุดท้ายมู่อันเหมยจึงยอมรับปากว่าเย็นนี้เธอจะไปยังบ้านเฉิน ในใจอยากรู้เหมือนกันว่าชายผู้แสนเย็นชาคนนี้ เมื่ออยู่ในมุมของพ่อครัวจะเป็นอย่างไร