ครั้นฮ่องเต้ฝูเย่าทรงรับทราบเรื่องการลอบปลงพระชนม์องค์ฮองเฮาผู้เป็นที่รักแล้ว พระองค์ก็ถึงกลับเป็นลมล้มฟุบหมดสติไปในทันที
ถึงภายนอกเป็นประมุขผู้มีอำนาจล้นฟ้า แต่ส่วนลึกข้างในยังคงเป็นเพียงบุรุษที่มีรักมั่น หวงแหนและผูกพันกับอิสตรีมาตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งรักและเทิดทูนนางเหนือสิ่งอื่นใด
กระทั่งใช้อำนาจบีบบังคับให้ได้นางมาเป็นชายา แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าตนไม่สามารถเข้าไปแทนที่คนในใจของหญิงสาวได้ก็ตามที
“เรียกใต้เท้าเป่าเข้ามาตรวจสอบ!!!” ทันทีที่ได้สติ ฮ่องเต้ฝูเย่าตรัสรับสั่งแล้วมุ่งหน้าไปยังตำหนักของหญิงอันเป็นที่รักในทันที
ยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าตำหนัก กลับได้เสียงร้องไห้ดังระงมแววเข้ามาในหู หัวใจของบุรุษยากนักจะอดกลั้นความเสียใจเอาไว้ ขณะเข้ามายังห้องนอนแล้วทอดสายตาเห็นร่างร่างหนึ่งถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาว ความเสียใจพลันพวยพุ่งดั่งเกลียวคลื่น ทั่วร่างสั่นเทาราวถูกน้ำเย็นจัดสาดซัดผ่าน
“พวกเจ้าทุกคน...ออกไปก่อน…”
เหล่านางกำนัลรับคำสั่งก่อนจะทยอยกันก้มหน้าออกมาจากห้อง รวมทั้งหมดเฉ่าเหมยเองก็ออกมายืนรวมกับนางกำนัลหน้าตำหนักด้วย ดวงตาทั้งสองของหญิงสาวบวมแดง ข้างแก้มทั้งสองเต็มไปด้วยรอยคราบน้ำตา ชั่วอึดใจหนึ่งพลันได้ยินเสียงวิ่งตรงเข้ามาใกล้
“เสด็จแม่! เสด็จแม่!”
กงกง คนสนิทของฮ่องเต้ฝูเย่ารีบเข้ามาห้ามเยว่เฉิง บอกว่าฮ่องเต้มีรับสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน
“เจ้ากล้าขวางข้าหรือ! หลีก! ข้าจะเข้าไปหาเสด็จแม่!!!” เยว่เฉิงไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น เขาโวยวาย พยายามจะเข้าไปหามารดาของตนให้จนได้ กงกงไม่มีทางเลือกจึงสั่งให้ทหารมาช่วยกันจับตัวองค์ชายไว้
เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเยว่เฉิงก็ยอมสงบใจและคุกเข่ารออยู่หน้าประตูตำหนัก ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามก็มีเสียงรับสั่งให้เยว่เฉิงและกงกงเข้าไปข้างในได้
เฉ่าเหมยไม่เคยเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนระคนเสียสติของเยว่เฉิงมาก่อน ด้วยเพราะต้องรักษาภาพลักษณ์ของผู้สืบทอดราชบัลลังก์ การแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่อหน้าธารกำนัลจึงเป็นสิ่งต้องห้าม
บรรยากาศชวนอึดอัดยิ่งขึ้น เมื่อใต้เท้าเป่าเหยียน ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมอาญาเดินทางมาถึงพร้อมทหารนับสิบนาย เขาโค้งคำนับไว้อาลัยแด่ฮองเฮาเฟยอวี่ก่อนจะเดินหายเข้าไปในตำหนักนั้น
ทุกคนเริ่มพูดคุยถึงตัวคนร้ายและคาดคะเนถึงคนที่น่าสงสัย เฉ่าเหมยรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา คล้ายกับว่าถูกใครบางคนจับจ้องอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เสียงเปิดประตูตำหนักดังขึ้น เรียกความสนใจของทุกคนให้หันไปมอง ใต้เท้าเป่าเหยียนเป็นชายวัยกลางคน ภายนอกสุขุมน่าเกรงขาม ภายในเองก็ฉลาดเฉลียวเฉียบแหลมเป็นอย่างมาก บุรุษกวาดสายตามองหาคนที่ต้องการก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เฉ่าเหมย
“ทหาร!! จับกุมตัวคุณหนูใหญ่! ถานเฉ่าเหมย!”
ทหารสิบนายกรูเข้าไปกุมตัวหญิงสาวทันที เฉ่าเหมยงุนงง พยายามถามว่านี่มันเรื่องอะไรกัน นางทำอะไรผิด!?
“คุมตัวนางไปสืบสวนที่คุกหลวง!”
“ใต้เท้าเป่า! ใต้เท้าเป่าช้าก่อน” เยว่เฉิงรีบวิ่งเข้ามาขวางหน้า “เสด็จพ่อรับสั่งให้ไต่สวนนางก็จริง แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องนำตัวนางไปที่คุกหลวงเลยนี่”
ใต้เท้าเป่าเหยียนประสานมือเบื้องหน้าพลางเอ่ยบอกอย่างสุภาพ “ขออภัยไท่จื่อ แต่ตามกฎแล้ว เราจำเป็นต้องสอบสวนผู้ต้องสงสัยในสถานที่ปิดมิดชิด”
“เช่นนั้นก็ใช้ตำหนักด้านหลัง”
“ไท่จื่อ” ใต้เท้าเป่าเหยียนกดเสียงต่ำ แม้เขาจะมีฐานะเป็นเพียงขุนนางรับใช้ แต่เนื้อแท้นั่นเป็นสหายคนสนิทของฮ่องเต้ฝูเย่า ฉะนั้นเยว่เฉิงจึงให้ความยำเกรงชายคนนี้พอสมควร
“กระหม่อมสัญญาจะไม่ใช้วิธีการรุนแรง”
เยว่เฉิงได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความอึดอัด ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเท่านี้มาก่อน เขาไม่อาจปกป้องเสด็จแม่จากเงื้อมมือคนชั่ว หนำซ้ำเฉ่าเหมยยังเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อีก!
ขณะเฉ่าเหมยกำลังถูกคุมตัวไป นางเงยหน้ามองเยว่เฉิงราวกับต้องการถามเขาถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่เยว่เฉิงก็ไม่สามารถให้คำตอบกับนางได้ เขายืนมองนางเดินจากไปด้วยใจที่เจ็บปวดเหลือคณา
“ข้าจะนำทหารไปที่จวนแม่ทัพกงเอง” เยว่เฉิงเอ่ยบอกกงกง ก่อนเรียกทหารจำนวนหนึ่งให้ติดตามตนออกจากวังหลวง มุ่งตรงสู่จวนแม่ทัพกงหรือจวนสกุลถาน
ตลอดทางเยว่เฉิงได้แต่ภาวนาขอให้สกุลถานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้
ขบวนม้าศึกมาถึงยังจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าน่าแปลกที่ประตูจวนปิดสนิทไร้บ่าวเฝ้าประตู เยว่เฉิงสังหรณ์ใจแปลกๆ จึงสั่งให้ทหารบุกเข้าไป เสียงโครมครามดังเข้าไปยังเรือนหลังหนึ่งซึ่งสาวใช้หลายนางรวมตัวกันอยู่ในนั้น
จูฮวน สาวใช้คนสนิทของถานฮูหยินลุกขึ้นออกมาดู เห็นทหารสวมชุดเกราะสีดำบุกเข้ามาในจวนก็พลันตกใจ รีบตะโกนบอกบ่าวคนอื่นให้รีบออกมาช่วยกันรับหน้า
“นายท่านของเจ้าอยู่ไหน!” ทหารนายหนึ่งตะโกนถาม
“ที่นี่จวนแม่ทัพใหญ่ กล้าดีอย่างไรบุ่มบ่ามเข้ามาเช่นนี้” จูฮวนรับใช้ข้างกายหวงสือหลิวมาหลายสิบปี นางถือว่าเป็นบ่าวที่มีอิทธิพลที่สุดของจวน อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจให้ช่วยดูแลลูกๆ ของหวงสือหลิวอีกด้วย
“แม่ทัพกงอยู่ไหน”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมปรากฏชายร่างสูงเดินเข้ามาหา จูฮวนตาเบิกกว้างรีบคุกเข่าลงทำความเคารพ “ถวายพระพรหวงไท่จื่อเพคะ”
เยว่เฉิงกวาดตามองรอบๆ รับรู้ถึงสถานการณ์ไม่ปกตินี้ มีทหารบุกเข้ามาในจวน แต่เจ้าของบ้านไม่ยอมออกมาดู แต่กลับส่งเพียงสาวใช้นางหนึ่งออกมาแทนหรือ มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่!?
“มีบางอย่างเกิดขึ้นใช่หรือไม่” เยว่เฉิงเอ่ยถามเสียงเย็น วางอำนาจ
จูฮวนก้มหน้าเม้มปาก ถึงคนตรงหน้าเป็นถึงองค์รัชทายาทแต่ก็มิใช่คนในตระกูลถาน หญิงสาวมิกล้าไว้ใจคนนอก
“ฮองเฮาถูกลอบปลงพระชนม์ คุณหนูเฉ่าเหมยของเจ้าตกเป็นผู้ต้องหาและถูกคุมตัวไปสอบสวนแล้ว”
จูฮวนเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสั่นระริกด้วยความตื่นตกใจ “ไม่จริง! คุณหนูไม่มีทางทำเรื่องร้ายแรงเช่นนั้นแน่ คุณหนูรักฮองเฮาดุจมารดาคนที่สองของนาง อย่างไรนางก็ไม่มีวันทำเรื่องโหดร้ายเช่นนั้น ไท่จื่อ…ได้โปรดช่วยคุณหนูด้วยเถอะนะเพคะ” พูดพลางคุกเข่าร้องขอความเมตตา
“ข้าจะช่วยก็ต่อเมื่อเจ้ายอมเปิดปากบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่”
จูฮวนน้ำตาอาบน้ำ เอ่ยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “เมื่อเย็นวาน มีสาสน์ลับมาเชิญตัวนายท่านออกไป ได้ยินว่าเป็นภารกิจลับส่งตรงมาจากวังหลวง จวบจนป่านนี้นายท่านก็ยังมิกลับมา อีกทั้ง…ฮูหยิน ไม่ทราบด้วยสาเหตุใดถึงไม่ยอมลืมตาตื่น บ่าวเรียกให้คนไปตามท่านหมอมาตรวจดูอาการก็ไม่อาจรู้ได้ว่าฮูหยินเป็นอะไรเพคะ”
เยว่เฉิงยืนนิ่งตรึงนิ่งอยู่กับที่ ถึงภายนอกเขาไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่นหวาดกลัว “เจ้านำทางข้าไปหาถานฮูหยินทีสิ”
คุกหลวงนั้นมืดสลัว อับชื้นและเหม็นสาบจนเฉ่าเหมยอดไม่ได้ที่จะต้องยกมือขึ้นปิดจมูก
“คุณหนูใหญ่ เชิญนั่ง”
รอบตัวเฉ่าเหมยไร้ทหารคอยระวัง เบื้องหน้ามีเพียงเก้าอี้หนึ่งตัวตั้งอยู่กลางห้อง แสงแดดส่องผ่านช่องหน้าต่างด้านบนเข้ามาเล็กน้อย
เฉ่าเหมยเดินไปนั่งตามคำบอกของใต้เท้าเป่าเหยียน นางเงยหน้ามองบุรุษอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมกล่าวถามว่า “ใต้เท้าเป่า ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ท่านจับข้ามาทำไม”
“นี่เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่!”
“ไม่รู้คือไม่รู้ เหตุใดข้าจึงต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ด้วย”
ปากเก่งนัก สมกับเป็นบุตรสาวแม่ทัพกง ใต้เท้าเป่าเหยียนลอบยิ้มก่อนจะกระแอมหนึ่งที “เจ้าเป็นคนที่อยู่กับฮองเฮาเป็นคนสุดท้ายใช่หรือไม่”
“ใต้เท้าถามเช่นนี้ หรือว่าสงสัยข้าหรือ”
“ข้าถาม เจ้าแค่ตอบ อย่าถามซอกแซก”
“เมื่อคืนฮองเฮามีรับสั่งให้หวงไท่จื่อเข้าพบ ผ่านไปสักพักใหญ่ข้าจึงค่อยเข้าไปหา แต่ว่าพระองค์ทรงบรรทมไปก่อนแล้ว ข้าไม่อยากรบกวนจึงขอตัวออกมาพักพร้อมฝากให้นางกำนัลข้างกายพระองค์ดูแลแทน”
“นางกำนัล? ใครกัน”
“เป็นนางกำนัลที่ตายอยู่ในห้องนั้นกับพระองค์”
ใต้เท้าเป่าเหยียนยกมือกอดอก ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบเอากระถางกำยานขึ้นมาให้หญิงสาวดู
“เจ้าเคยเห็นมันมาก่อนหรือไม่”
เฉ่าเหมยชะงักนิ่งในทันที จำได้ว่านางกำนัลที่ตายบอกว่าเป็นของฝากจากมารดาของนาง หรือว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์จะมาจากกำยานอันนี้งั้นหรือ!?
“ใต้เท้าเป่า ข้าขอพูดด้วยความสัตย์จริง ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่ว่า...จากที่นางกำนัลคนนั้นบอกข้า นางว่าท่านแม่นำมามอบให้ฮองเฮา”
“เจ้าว่าหวงสือหลิวนำมามอบให้ฮองเฮา แต่เจ้าที่เป็นบุตรสาวกลับไม่รู้เรื่องนี้งั้นหรือ”
เฉ่าเหมยพยักหน้า
“เจ้ารู้ไม่ว่าในกำยานนั้นมีพิษ”
เฉ่าเหมยตาเบิกกว้าง รีบส่ายหน้ารัวเร็ว “แต่ว่ากำยานนั้น ข้าเห็นมันถูกจุดขึ้นก่อนที่ข้าจะเข้าไปในห้อง และข้าเองก็สูดกลิ่นมันเข้าไปด้วย... หากมีพิษจริงทำไมข้าจึงไม่เป็นอะไรเล่า”
“เกรงว่าจะเป็นพิษที่เพาะเลี้ยงขึ้นมาเอง ลักษณะของมันพิเศษและน่าพิศวงนัก มันจะไม่ออกฤทธิ์ในทันที แต่จะค่อยๆ แทรกเข้าไปทางผิวหนังและรบกวนลมปราณในร่างกาย พอสูดดมเข้าไปเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดธาตุไฟก็จะแตกและหัวใจหยุดเต้น”
เฉ่าเหมยไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพิษชนิดนี้มาก่อน ดูแล้วสรรพคุณของมันไม่ธรรมดา ฉะนั้นแล้วคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องในครั้งนี้ก็คงจะไม่ใช่คนสามัญธรรมดาอย่างแน่นอน
“ในเมื่อเจ้าบอกว่ากำยานมาจากถานฮูหยินซึ่งเป็นมารดาของเจ้า ฉะนั้นเรื่องการลอบปลงพระชนม์นี้...”
“ไม่มีทาง! ท่านแม่ข้าไม่มีทางทำเรื่องร้ายกาจเช่นนี้แน่! ใต้เท้าเป่าได้โปรดไตร่ตรองด้วย ข้ากับท่านแม่เคารพรักฮองเฮา มิมีทางคิดร้ายกับพระองค์อย่างแน่นอน”
ใต้เท้าเป่าเหยียนคิดหนัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอกับครอบครัวของเฉ่าเหมย เขาดูออกว่าสกุลถานไม่ได้หวังในลาภยศหรือตำแหน่งใดในวังหลวง ค่อนข้างจะรักสงบและอยู่อย่างสันโดษเสียมากกว่า
แต่กฎอย่างไรก็ต้องเป็นกฎ เขาไม่อาจปล่อยให้หนึ่งในผู้ต้องสงสัยหลุดรอดไปได้
“ขออภัยด้วย แต่ข้าจำเป็นต้อง...”
“ใต้เท้า! ใต้เท้าเป่าขอรับ! ใต้เท้า!” ทหารนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพร้อมยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ใต้เท้าเป่าเหยียน
ใต้เท้ารับมาแล้วก็รีบกางออกดู และทันทีที่อ่านใจความในจดหมายจบ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดทันที พร้อมกันนั้นก็รีบหันมาพูดกับเฉ่าเหมยด้วยท่าทีร้อนใจยิ่ง
“คุณหนูใหญ่ พวกเราต้องรีบไปที่จวนท่านแล้ว”