ไม่รู้ว่าพูดแรงเกินไปหรือไม่ เยว่เฉิงอาจจะเสียใจหรือโกรธตนไปเลยไหม
แต่เจ็บตอนนี้ย่อมดีกว่ายื้อเวลาโดยเสียเปล่า เฉ่าเหมยอยากให้เยว่เฉิงได้มีโอกาสได้พบเจอกับคนดีๆ ใครสักคนที่จะรักเขาจากใจจริง แต่ไม่รู้ทำไมกลับเป็นนางเองที่รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
“เหมยเหม่ย”
หวงสือหลิวออกมายืนรอบุตรสาวหน้าตำหนัก เห็นหญิงสาวเดินกลับมาในสภาพอิดโรยก็ขมวดคิ้วงุนงง “เป็นอะไรลูก”
เฉ่าเหมยส่ายหน้า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”
ถึงรู้ว่ามีเรื่องกังวลในใจ แต่ในเมื่อเฉ่าเหมยไม่อยากเล่า หวงสือหลิวก็ไม่ขอซักไซ้ “คืนนี้เจ้าพักอยู่กับฮองเฮานะ วันพรุ่งค่อยเจอกัน”
“ทำไมเล่าเจ้าคะ หรือฮองเฮาไม่พอพระทัยเรื่องที่ข้า…”
“เจ้าอย่าเพิ่งคิดมากเลย แม่ปูทางให้เจ้าแล้ว ส่วนที่เหลือเจ้าต้องจัดการเอง ฮองเฮาทรงมีเหตุผล หากเจ้าแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจน อย่างไรพระองค์ก็ไม่บีบบังคับเจ้าแน่”
เฉ่าเหมยเม้มปากพลางพยักหน้ารับ นางเดินไปส่งมารดาที่หน้าประตูวังแล้วเดินย้อนกลับมาปรนนิบัติดูแลฮองเฮาเฟยอวี่ที่ตำหนัก
“ที่เจ้าบอกว่ามีคนในใจ เขาคือพี่ชายคนสนิทของเจ้าหรือ” ฮองเฮาเฟยอวี่ตรัสถาม
“พี่ซานอู๋เป็นผู้มีพระคุณของหม่อมฉัน พวกเราเติบโตมาด้วยกัน เคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายและเผชิญหน้ากับความตายด้วยกันมาแล้วเพคะ”
ความสัมพันธ์ลึกซึ้งแน่นแฟ้นจนก้าวผ่านคำว่าเพื่อนพี่น้อง กลับกลายเป็นคนพิเศษที่ทั้งชีวิตไม่อาจมีผู้ใดมาแทนที่ ฮองเฮาเฟยอวี่ทรงเข้าพระทัยความรู้สึกนี้ดี
ดวงตาหงส์เหลือบมองสตรีที่ยืนบีบนวดไหล่ให้ตนก่อนจะดึงมือนางมากุมไว้พลางลูบอย่างทะนุถนอม “เจ้าเป็นเด็กดีนะ นับแต่วันที่เจ้าเข้ามาในวัง ชีวิตที่เงียบเหงาของข้าก็พลันมีชีวิตชีวาขึ้น ในวังหลวงเงียบเหงาชวนหดหู่ ทุกย่างก้าวล้วนเต็มไปด้วยขวากหนามและการใส่หน้ากากเข้าหากัน ข้าบอกตามตรงว่าข้าเป็นห่วงเยว่เฉิง”
“ไท่จื่อเป็นคนเก่ง จะต้องผ่านพ้นอุปสรรคไปได้แน่เพคะ”
ฮองเฮาเฟยอวี่แย้มยิ้ม “บุตรชายข้าเป็นคนหัวแข็งขี้ระแวง เอาแต่ใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะข้าเองที่ไม่กล้าสั่งสอนตักเตือน เยว่เฉิงมักเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึก เว้นตอนเขาอยู่กับเจ้า เขากล้าที่จะเล่นและแสดงตัวตนแท้จริงออกมา”
หรือฮองเฮาต้องการโน้มน้าวความคิดตนหรือไม่ เฉ่าเหมยลอบคิด เริ่มรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว
“บุรุษน่ะต่อให้แกร่งแค่ไหนก็ยังจำเป็นต้องได้รับการหนุนหลังจากภรรยา ข้าจึงอยากให้เขามีแรงใจช่วยเกื้อหนุน เป็นที่พักพิง เป็นที่พักใจ”
ฮองเฮาเฟยอวี่หลับตาครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงที่ฟังดูเจ็บปวดยิ่ง “ถึงเจ้าจะเป็นลูกสะใภ้ข้าไม่ได้ แต่อย่างน้อยข้าก็อยากให้เจ้าช่วยเป็นสหายที่ดีแก่เยว่เฉิง คนจริงใจกับเขามีไม่มาก เจ้าอย่าทอดทิ้งเขาเลยนะ”
เฉ่าเหมยน้ำตาคลอ นางเห็นภาพหวงสือหลิวซ้อนทับอยู่ในร่างของฮองเฮาเฟยอวี่ ความรักความหวังดีของผู้เป็นแม่ เฉ่าเหมยรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก หญิงสาวพยักหน้าพร้อมรับปากจะช่วยสนับสนุนเยว่เฉิงทุกทาง
ตกดึกหลังทานอาหารเรียบร้อย เฉ่าเหมยก็ออกมานั่งรับลมที่ด้านนอกพลางถักเชือกข้อมือไปด้วย ในใจหวนคิดถึงช่วงชีวิตวัยเด็ก ตอนที่ตนยังเป็นเพียงเด็กหญิงชาวบ้านแสนซุกซน ในทุกๆ วันจะชอบวิ่งไปที่นั่นทีที่นู้นที ทางด้านหลังมีเด็กชายคอยวิ่งตามและอ้าแขนรับตัวนางยามตกลงมาจากต้นไม้
“พี่ซาน เมื่อไรท่านจะกลับมาเสียที”
ขณะนั้นหางตาเหลือบเห็นกงกงเดินเข้ามาในตำหนักพร้อมเยว่เฉิงที่เดินจ้ำมาทางด้านหลัง ทั้งสองเผลอสบตากันแวบหนึ่งก็รีบเบือนหน้าหนีไปคนละทาง
เสียงลมพัดผ่านยามค่ำคืน หญิงสาวรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว เหลือแค่ผูกปมอีกหน่อยเชือกข้อมือก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว เฉ่าเหมยยังคงนั่งทำงานฝีมือของตนต่อกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม นางก็ชูเชือกถักในมือขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“ไว้ท่านกลับมา ข้าจะมอบมันให้ท่านนะ”
แต่แล้วจู่ๆ กลับถูกใครบางคนกระชากมันออกไปจากมือ เฉ่าเหมยตกใจรีบหันหน้ากลับมาก็เห็นเยว่เฉิงยืนจ้องนางอยู่ทางด้านหลัง ท่าทางเขาดูโกรธจัด ทว่าแววตากลับดูเศร้าโศกแลผิดหวังเจือปน
“ไท่จื่อ ขอของหม่อมฉันคืนด้วย” เฉ่าเหมยลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกมาตรงหน้า
“ทำให้มันใช่ไหม” เยว่เฉิงถามเสียงเย็นชา
“ไม่ใช่เรื่องของพระองค์”
เยว่เฉิงเค้นเสียงหึในลำคอ ตวัดตาขึ้นมองหญิงสาว “ตั้งแต่เกิดมา สิ่งใดที่ข้าต้องการล้วนจะต้องได้โดยไร้ข้อโต้แย้ง มีเพียงเจ้าที่ไม่ว่าจะทุ่มแรงกายแรงใจแค่ไหนก็ไม่อาจได้ครอบครอง น่าขันสิ้นดี”
ฟังเผินๆ คล้ายว่าบุรุษกำลังโอ้อวดอำนาจของตน และอาจจะกำลังเปรียบเทียบเฉ่าเหมยเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่งที่เจ้าอยากเก็บไว้ข้างกาย
แต่พอเฉ่าเหมยสังเกตเห็นสีหน้าที่ดูเจ็บปวดผิดหวังของเขาแล้ว นางกลับรู้สึกอยากกอดปลอบเขามากกว่าด่าว่าความคิดของเขา
“สักวันไท่จื่อจะต้องเจอคนที่มีใจตรงกันกับพระองค์อย่างแน่นอน”
มุมปากบุรุษกระตุกยิ้ม สีหน้ากลับมานิ่งเฉยไร้ความรู้สึกดังเดิม เขาก้มมองเชือกถักในมือแล้วเขวี้ยงทิ้งไปทางบ่อน้ำใหญ่ที่อยู่เยื้องออกไปทางสวนด้านหน้า
เฉ่าเหมยตกตะลึง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ มือเล็กทุบไปที่อกแกร่งอยู่หลายที ด่าทอว่าเขาเป็นบ้าอะไร ทำไมต้องทำแบบนี้!
เยว่เฉิงนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ เขารอให้เฉ่าเหมยทุบตีจนหมดแรงไปเอง แล้วจึงค่อยหมุนตัวเดินจากไป ในใจของเขาทั้งบอบช้ำทั้งสับสน เมื่อครู่ถูกมารดาเรียกตัวมาคุย บอกเล่าถึงเจตนารมณ์ของเฉ่าเหมยและครอบครัวของนาง
‘อย่างไรนางก็ยืนกรานไม่แต่ง’
‘นางไม่มีทางใจแข็งไปได้ตลอดหรอก ข้าจะทำให้นางยอมเปิดใจรับข้า’
‘เยว่เฉิง…นี่เจ้ายังไม่เข้าใจหรือไง นางไม่ได้เป็นสตรีใจแข็ง หากแต่ใจนางถูกบุรุษอื่นจับจองเป็นเจ้าของไปแล้ว’
เห็นบุตรชายนิ่งไป ฮองเฮาเฟยอวี่ก็ยื่นมือมาบีบมือของชายหนุ่มเบาๆ ‘การบีบบังคับให้สตรีอยู่ด้วยโดยปราศจากใจรัก มันจะเป็นการกักขังทรมานนาง ซ้ำร้ายคนที่จะเจ็บปวดที่สุดก็คือตัวเจ้าเอง เชื่อแม่เถอะนะ’
คล้ายโลกทั้งใบพังทลาย แม้แต่ฮองเฮาผู้เป็นมารดายังไม่เข้าข้าง แล้วเช่นนี้เยว่เฉิงจะเอาชนะใจเฉ่าเหมยได้อย่างไร หรือต้องใช้อำนาจบีบบังคับสกุลถาน แต่ว่า...นั่นก็เป็นทางเลือกสุดท้ายที่เยว่เฉิงคิดจะทำ
‘อย่าได้คิดจะใช้อำนาจในทางไม่ชอบเชียวนะ อย่าทำร้ายคนที่เจ้ารัก อย่ากักขังนางเพียงเพื่อความพอใจของตนเอง’
เยว่เฉิงพ่นลมหายใจแรงๆ ก่อนจะเริ่มเกิดความรู้สึกเคลือบแคลงใจสงสัยบางอย่าง ‘เสด็จแม่ ไยท่านถึงดูเข้าใจเฉ่าเหมยมากเช่นนี้’
ฮองเฮาเฟยอวี่ไม่ตอบคำถาม เพียงส่งยิ้มอันข่มขืนมาให้
แต่เพียงเท่านี้ก็ทำหัวใจเยว่เฉิงหล่นวูบ นัยน์ตาแดงก่ำ รู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมา
เสด็จพ่อบีบบังคับเสด็จแม่...เช่นนั้นหรือ!?
เยว่เฉิงลุกขึ้นช้าๆ รู้สึกร่างกายของตนหนักอึ้ง ราวยืนอยู่บนหน้าผาสูงที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยกำแพงอิฐหนาทึบ ความนึกคิดแรกเริ่ม หลงคิดว่าทั้งสองมีใจให้แก่กัน คิดว่าเสด็จพ่อทุ่มเททำทุกอย่างกระทั่งเข้าถึงใจเสด็จแม่ได้...
แต่แท้จริงกลับไม่ใช่
ชั่วขณะนั้นก็เดินออกมาเจอเฉ่าเหมยนั่งยิ้มพลางมองเชือกถักอย่างอารมณ์ดี ใจหนึ่งพลันเกิดเพลิงโทสะที่ถูกนางผลักไส ทว่าอีกใจก็ไม่อยากสูญเสียนางไป
ความนึกคิดตีกันยุ่งเหยิง อยากได้นาง แต่ไม่อยากทำร้ายนาง อิจฉาชายที่ได้ครอบครองหัวใจของนาง... อยากให้นางหันมามองที่ตนบ้าง
กระทั่งเผลอทำในสิ่งที่ไม่ควรลงไป เยว่เฉิงยืนพิงตัวกับผนังกำแพงพลางก้มมองเชือกถักในมือ เขาควรจะโยนทิ้งไปไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงแย่งชิงมาเป็นของตนเหมือนเด็กน้อยเช่นนี้ได้... เยว่เฉิงไม่เข้าใจตัวเองเอาเสียเลย
เฉ่าเหมยที่ทั้งโกรธทั้งโมโหกำลังเดินดุ่มเข้าไปหวังขอความเป็นธรรมจากฮองเฮาเฟยอวี่ นางอดหลับอดนอนนั่งถักเชือกเส้นนั้นมาเกือบครึ่งเดือน สำหรับนางที่มีทักษะประดิดประดอยค่อนข้างต่ำแล้ว นี่นับเป็นผลงานชิ้นเอก!
“ฮองเฮาเพคะ!”
นางกำนัลที่นั่งอยู่ปลายเตียงหันมาทำหน้าตื่น รีบยกนิ้วขึ้นแตะปากคล้ายจะบอกเป็นนัยว่าฮองเฮาทรงบรรทมไปแล้ว
“พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าตรู่ คุณหนูเฉ่าเหมยกลับไปพักก่อนก็ได้นะเจ้าค่ะ เดี๋ยวทางนี้บ่าวดูแลเองเจ้าค่ะ”
เฉ่าเหมยพยักหน้ารับ เดินเข้าไปขยับผ้าห่มและดูแลความเรียบร้อยในห้องบรรทมก่อนจะหันไปเห็นกระถางกำยานที่มีรูปร่างแปลกตาตรงมุมห้อง
“ข้าไม่ยักเคยเห็นกำยานนี้มาก่อน”
“เป็นท่านแม่ของคุณหนูนำมาให้เจ้าค่ะ” นางกำนัลตอบ
“แม่ข้าหรือ”
“เจ้าค่ะ เห็นว่าเป็นกำยานจากต่างแคว้นที่หายากมาก ช่วยบำบัดอารมณ์หวั่นวิตกและทำให้นอนหลับสบายเจ้าค่ะ”
เฉ่าเหมยขมวดคิ้วสงสัย ทำไมไม่เคยได้ยินท่านแม่พูดเรื่องกำยานนี้มาก่อนเลย แต่ก็เอาเถอะ ไว้วันพรุ่งค่อยถามท่านแม่ก็ได้
เฉ่าเหมยฝากนางกำนัลช่วยดูแลฮองเฮาเฟยอวี่ต่อ ส่วนนางนั้นก็เดินมาพักยังห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้
หญิงสาวต้องพลิกตัวอยู่หลายตลบกว่าจะข่มตาให้หลับลงได้
ในห้วงฝัน เฉ่าเหมยฝันเห็นครอบครัวตัวเองถูกขังอยู่ในหลุมลึก ผู้คนประณามสาปแช่งขว้างปาก้อนหินเข้าใส่ เฉ่าเหมยร้องตะโกนห้ามไม่ให้ใครแตะต้องครอบครัวนาง ครั้นนางพยายามจะกระโจนลงไปช่วยกลับถูกมือของใครบางคนรั้งไว้ เมื่อหันกลับมามองก็พบว่าองค์รัชทายาทเยว่เฉิง
เยว่เฉิงที่เคยมองเฉ่าเหมยด้วยแววตาอ่อนโยน บัดนี้กลับเป็นเย็นชาราวกับไม่ใช่เยว่เฉิงที่หญิงสาวเคยรู้จัก ก่อนที่เขาจะชักมีดสั้นออกมาแล้วแทงเข้าที่หน้าท้องของนาง!?
เฉ่าเหมยสะดุ้งตัวตื่นด้วยหัวใจเต้นระทึกด้วยความหวาดกลัว นางก้มมองหน้าท้องของตนสลับกับหันมองไปรอบๆ ห้อง เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน นางก็สูดหายใจเข้าออกช้าๆ
“แค่ฝัน แค่ความฝันร้ายเท่านั้น” เฉ่าเหมยพูดปลอบตัวเองพร้อมกับลุกขึ้นเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
วันนี้เป็นฤกษ์ดี ผู้คนในวังต่างวุ่นวายกับการเตรียมงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง องค์ชายองค์หญิงเริ่มลุกขึ้นจากเตียง หลังเปลี่ยนองค์ทรงเครื่องแล้วก็ทยอยเดินกันไปรวมตัวที่หน้าลานพิธี
“ฮองเฮาเล่า” เฉ่าเหมยเดินมารอรับฮองเฮาเฟยอวี่ที่หน้าห้องของพระนาง
“เอ๋ ปกติน่าจะทรงออกมาได้แล้วนะ” นางกำนัลคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตก่อนจะเคาะประตูเรียกคนข้างในห้อง ทว่าเรียกเท่าไรก็ไม่มีใครขานรับเสียที
เฉ่าเหมยเริ่มใจคอไม่ดี นางจึงขอถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปดูเอง และภาพที่เห็นก็ทำเฉ่าเหมยกรีดร้องออกมาเสียงดัง นางกำนัลคนเมื่อคืนนอนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่พื้น เนื้อตัวขาวซีด มีเลือดไหลออกมาจากจมูกและปากของนาง
“ไม่นะ ฮองเฮา! ฮองเฮาเพคะ!” เฉ่าเหมยวิ่งเข้าไปยังเตียงของฮองเฮาเฟยอวี่ในทันที ทว่าก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว สภาพของฮองเฮานั้นไม่ต่างอะไรเลยกับนางกำนัลคนนั้น พระพักตร์ซีดขาว พระวรกายเย็นเฉียบ โลหิตสีแดงไหลออกมาเปรอะเปื้อนไปทั่วหมอนที่ใช้หนุนศีรษะ
“ฮองเฮา! ฮองเฮา! ลืมตาสิเพคะ ฮองเฮา! ได้โปรด” เฉ่าเหมยกรีดร้องแทบสิ้นสติ เหล่านางกำนัลที่วิ่งเข้ามาเห็นเหตุการณ์ก็พากันตื่นตกใจ มีส่วนหนึ่งตะโกนเรียกหาหมอหลวง และอีกส่วนทรุดตัวร่ำไห้อยู่ที่พื้นห้อง
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่! ใครเป็นคนทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้! ทั้งกล้าลงมือในวันที่วังหลวงกำลังจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่ มันเป็นใครกัน!!!