“เฮ้! วิลเลียม… นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เข้าไปในงาน”
เสียงร้องทักจากชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่พอกัน แต่หน้าตาออกไปทางลูกครึ่ง เนื่องจากโลแกนนั้นมีแม่เป็นชาวไทย ส่วนพ่อเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ซึ่งเป็นลุงของวิลเลียม ทายาทมหาเศรษฐีหนุ่มสายการบินดังระดับโลกนั่นเอง
หลังจากที่ได้ข่าวว่า ลุงของเขาเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตเขาก็เดินทางมาที่เมืองไทย และได้พบกับ โลแกน ลูกพี่ลูกน้องหนุ่มวัยเดียวกันซึ่งยังครองความโสดกันทั้งคู่
“มาได้สักพักแล้ว ว่าแต่เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เป็นญาติฝั่งไหนของเรา ทำไมฉันไม่เห็นเคยรู้จัก”
วิลเลียมถามพลางชี้ไปทางมุมหนึ่งของงาน ที่เห็นเด็กผู้หญิงในชุดเดรสสีดำนั่งสะอึ้นราวกับจะเป็นจะตายเมื่อครู่ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วยุ่ง เพราะร่างบางที่ร้องไห้จนตัวโยนเมื่อครู่หายไปเสียแล้ว
“สงสัยจะเป็นนักศึกษาที่แด๊ดอุปการะค่าเทอมให้ เห็นเมื่อกี้มีนักศึกษาทุนมากันหลายคน ตอนนี้น่าจะทยอยกันกลับไปบ้างแล้ว”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครโกแกนเลยเดาเอา เพราะวันนี้มีกลุ่มเด็กนักศึกษาทุนหลายคนที่มาร่วมไว้อลัยให้กับเจ้าของทุนซึ่งเป็นบิดาของเขา และช่วยงานกันจนดึกดื่น
“ได้ข่าวว่านายพานางแบบแถวหน้าควงมาไทยด้วยไม่ใช่เหรอ แล้วนี่เธอไปไหนแล้วล่ะ”
“นั่งรออยู่ในรถ เธอคงไม่ชอบงานขาวดำเท่าไหร่”
วิลเลียมตอบเสียงเรียบ เพราะทีแรกซาร่าทำท่าดีอกดีใจที่จะได้ออกงานกับเขา เธอแต่งตัวจัดเต็มเกือบชั่วโมง แต่พอมาถึงงานและรู้ว่างานที่เขาควงมาเป็นงานศพ เจ้าหล่อนก็ถึงกับวีนแตกขอนั่งรอในรถแทน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ติดปัญหาอะไรเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรกับเธออยู่แล้ว
“ว่าแต่คนนี้นายเอาจริงหรือเปล่าวะ ควงมาถึงไทยต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ”
“อันที่จริงฉันก็อยากแต่งงานมีเมียแล้วเหมือนกัน เห็นมัมบ่นทุกวันว่าอายุเข้าเลขสามแล้วไม่อยากให้ล่องลอยไปวันๆ แต่กับเธอคนนี้คงยังไม่ใช่”
วิลเลียมพูดไปตามความรู้สึก ตอนแรกเขาก็คิดจะจริงจังกับเธออยู่หรอก แต่พอได้รู้จักกันมาสักพักทำให้เขารู้ว่าเธอไม่เหมาะที่จะเป็นภรรยาของเขาในอนาคต เพราะนอกจากรูปร่างหน้าตาของเธอแล้วก็ไม่มีอะไรที่ตรงสเปคเขาสักอย่าง โดยเฉพาะนิสัยที่เอาแต่ใจ ขี้โมโห ขี้โวยวายเป็นที่น่ารำคาญมากสำหรับเขา และเขาเองก็จะไม่อดทนกับความน่ารำคาญนี้ด้วยเช่นกัน
“ทำไมวะ เพราะยังสวยไม่พอ หรือว่ากินเบื่อแล้ว”
“นายอย่าสนใจเรื่องของฉันเลย เข้าไปด้านในกันดีกว่า”
วิลเลียมตัดบทพร้อมเปลี่ยนเรื่องคุย โดยปกติแล้วเขาไม่ชอบนินทาใครลับหลัง และไม่อยากพูดอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายเกิดความเสียหาย เพราะโลกนี้คงไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปเสียทุกเรื่อง ดูอย่างเขาสิ หล่อ รวย เพอร์เฟค แต่เปลี่ยนคู่ควงบ่อยจนจำแทบไม่ได้ เพราะแบบนี้ไงเขาถึงไม่ชอบวิจารณ์ใคร
“ทางนี้ ตามฉันมา”
สองหนุ่มเดินเข้าไปในงาน ถึงแม้จะจัดขึ้นอย่างใหญ่โต แต่ก็ไม่มีนักข่าวให้เก็บภาพแขกวุ่นวาย เนื่องจากเจ้าภาพจัดระเบียบบุคคลที่จะเข้ามาร่วมงานไว้แล้ว แถมยังย้ำว่าห้ามก่อความวุ่นวาย ห้ามเสียงดัง และที่สำคัญห้ามเผยแพร่ภาพของแขกที่มาร่วมงาน เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวและไม่ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น
…………………………………………….
หลังจากที่ไปร่วมงานศพของผู้อุปการะทุนกลับมา เมลดาก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่เป็นชุดเดรสสีหวาน เพราะเพื่อนสนิทโทรมาบอกว่ามีงานที่จะแนะนำ ซึ่งแน่นอนว่าน้ำตาที่ไหลเป็นสายก่อนหน้านี้แทบหายเป็นปลิดทิ้งราวกับเห็นทางสว่างของชีวิตอีกครั้ง
เมื่อเดินทางมาถึงเธอก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปหาเพื่อนในไนต์คลับหรูสำหรับไฮโซและมหาเศรษฐีทันที เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นที่ๆเพื่อนสนิทของเธอทำงานอยู่และนัดเธอไว้
“พราว ไหนล่ะที่แกบอกว่ามีงานจะแนะนำ”
“ก็งานที่ฉันทำอยู่นี่ไง เป็นเด็กนั่งดริ้งเอาใจพวกเสี่ยรวยๆ ถ้าแขกคนไหนสนใจเรามากก็จะได้ทิปหนักหน่อย”
อันที่จริงพราวเคยแนะนำอาชีพเสริมนี้กับเมลดามาแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นเธอปฏิเสธและเลือกที่จะไปทำงานเสริมเป็นแม่บ้านทำความสะอาดโรงแรมหรูแทน โดยให้เหตุผลว่าไม่ชอบและไม่ถนัดงานแบบนี้ ซึ่งเธอก็เข้าใจ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเมลดาไม่เคยมีแฟน แม้หน้าตาของเธอจะสวยหยดปานนางฟ้า แต่ก็ไม่เคยต้องมือชายใดใดมาก่อน เรียกได้ว่ายังโสดและซิงแบบสุดๆ
และเมื่อเพื่อนเจอปัญหา ทางเดียวที่จะช่วยให้เพื่อนของเธอหาเงินได้ง่ายก็คงมีอยู่ทางเดียวซึ่งก็คืองานที่เธอกำลังจะแนะนำ พราวเชื่อว่าหากเป็นเมื่อก่อนเมลดาจะปฏิเสธทันที แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะต้องกลับไปคิดทวบทวนใหม่ เพราะเธอไม่มีเวลาไตร่ตรองแล้ว เมื่อต้องชำระหนี้ก้อนโตภายในเวลาแค่เดือนเดียว
“ว่าไงเมย์ จะทำหรือเปล่า ถ้าทำฉันจะได้ไปบอกผู้จัดการร้านให้ เพราะตอนนี้ขาดคนอยู่พอดีเลย”
“แล้วถ้าฉันทำงานอย่างที่แกว่า จะสามารถหาเงินสองแสนได้ภายในหนึ่งเดือนหรือเปล่าล่ะพราว”
“อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแกแล้วนะเมย์”
พราวให้คำตอบไม่ได้ เพราะเธอเองก็ไม่มั่นใจ เพราะถึงเมลดาจะสวยแค่ไหน แต่เธอก็ยังขาดประสบการณ์เอาใจแขก ยังต้องมีจริตมารยาอีกมากมายที่เธอต้องเรียนรู้เพื่อแข่งกับเพื่อนร่วมงานที่คอยจะแย่งลูกค้าไป เรียกได้ว่างานนี้ทั้งเสี่ยง ทั้งเปลืองตัว และต้องมีความอดทนสูงมากเลยทีเดียว
“แล้วฉันต้องเริ่มยังไง แกช่วยแนะนำหน่อยได้ไหม”
“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันจะสอนทุกอย่างเท่าที่จะสอนได้ แต่แกต้องทำใจนะว่างานนี้ต้องมีการเปลืองตัว”พราวออกตัวก่อน เพื่อให้เพื่อนนั้นได้เตรียมตัวเตรียมใจ
“อืม…ฉันทำใจมาบ้างแล้ว”
“งั้นตามฉันไปเจอผู้จัดการร้านก่อน”
พูดพร้อมกับคว้ามือเล็กของเพื่อนให้เดินตาม แต่เมลดากลับขึงตัวไว้ไม่ยอมเดินเข้าไปด้านใน
“เดี๋ยวก่อนสิพราว ฉันกลัว”
ใบหน้างดงามมีความกังวลปรากฏอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแน่นอนว่าพราวสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของเพื่อนได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อก่อนตอนที่เธอมาทำงานที่นี่แรกๆก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน แต่เพราะเธอไม่เหลือครอบครัว ไม่มีใครส่งเสียเรียน จึงจำต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ และเมื่อคิดได้แบบนั้นเธอก็ละทิ้งความกลัวและเผชิญหน้ากับมันจนมาถึงทุกวันนี้
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของแกนะ แต่เงินสองแสนที่แกต้องใช้คืนมันเยาะมากนะเมย์ ถ้าเราไม่ยอมทิ้งความกลัวก็ไม่มีใครช่วยอะไรเราได้ และอีกอย่างการที่จะหาเงินมาได้มากๆในเวลารวดเร็วแบบนั้น ฉันมองไม่เห็นทางอื่นเลยนอกจากทางนี้ทางเดียว”
“ฉันรู้”
เมลดาก้มหน้ายอมรับในชะตากรรม ลำพังเธอเป็นเพียงเด็กต่างจังหวัดจนๆ พ่อแม่หาเช้ากินค่ำ และมีน้องๆอีกสามคนที่ยังเรียนในวัยประถมบ้าง มัธยมบ้าง แต่เธอนั้นโชคดีสอบชิงทุนจากผู้อุปการะใจบุญได้เลยได้เข้ามาเรียนต่อมหาวิทยาลัยในเมืองกรุง และอีกเดือนเดียวก็จะเรียนจบ เธอจึงไม่กล้าพอที่จะโยนปัญหาทั้งหมดไปให้ครอบครัวที่ลำบาก เพราะฉะนั้นเธอจะต้องกัดฟันสู้ แม้ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
“เช็ดน้ำตาก่อนเมย์ เราจะต้องซ่อนความเจ็บ ซ่อนความกลัว ซ่อนทุกสิ่งไว้ภายใต้รอยยิ้ม นี่เป็นสิ่งแรกที่แกต้องเรียนรู้”
“ฉันจะพยายาม”
“ดีมากเพื่อน”
พราวตบไหล่เพื่อนเบาๆ อย่างให้กำลังใจ และให้เวลาเพื่อนได้เตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งที่กำลังจะเผชิญในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า โดยที่เมลดาไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะพลิกชีวิตของเธอตลอดไป