EP.5 สาวใช้คนใหม่
“ป้า!”
ภัครติปราดเข้าประคองจันทร์เพ็ญอย่างรวดเร็ว ก่อนจะช่วยพยุงไปนั่งพัก กุลีกุจอหายาดมยาหม่องในถุงใบเล็กๆ ที่ผู้เป็นป้ามักหิ้วติดตัวออกมาให้ดมจนอาการดีขึ้น “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะป้า ไปโรงพยาบาลมั้ย”
“นั่งพักนิดเดียวก็หาย”
จันทร์เพ็ญหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วพูดแผ่วเบาราวกับรำพันกับตัวเองว่า “เชื่อมั้ย ป้าทำงานที่นี่มาหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ป้าได้พูดคุยกับท่านชีคนานที่สุด จำได้ว่าเคยคุยกันล่าสุดก็ตอนท่านชีครับป้าเข้าทำงานนั่นแหละ” จันทร์เพ็ญยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อบริเวณหน้าผาก ใจยังเต้นแรง ทั้งหวาดกลัวและหวั่นเกรงบารมีของชีคฮัยฟาอ์ เธอและคนอื่นๆ ต่างยกย่องและเทิดทูนชีคฮัยฟาอ์เป็นเจ้านายที่ยากจะเข้าถึง
“คนอะไรแปลกจัง อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี แต่แทบไม่คุยกันเลยเนี่ยนะ” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นด้วยความแปลกใจ
“ท่านชีคมีโลกส่วนตัวสูง ป้าเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับท่านมากนักหรอก เคยได้ยินพวกสาวใช้เก่าแก่ที่ติดตามมาจากคฤหาสน์เก่าเล่าว่า เมื่อก่อนท่านชีคมีมนุษยสัมพันธ์ดีกว่านี้มาก เป็นผู้ชายสุภาพ มีความเป็นผู้นำ อบอุ่น และมีรอยยิ้มสว่างไสวราวกับแสงเช้าของดวงอาทิตย์”
“แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นคนหน้านิ่งราวกับคนไร้ความรู้สึกอย่างนั้นล่ะคะป้า”
“ก็เป็นเพราะแผลเป็นที่ใบหน้านั่นแหละยายหนู เห็นว่าโดนสะเก็ดระเบิดจากท่านนาฟาซัส คนที่ขโมยท่านชีคไปตั้งแต่เด็กๆ”
“อ้าว ท่านชีคถูกขโมยมาเหรอคะ แล้วพ่อแม่ที่แท้จริงของท่านชีคเป็นใครกันล่ะคะ”
“ใช่ ท่านชีคถูกขโมยมาตั้งแต่เด็กๆ เลยแหละ โอ๊ย! เรื่องมันวุ่นวายซับซ้อน ป้าเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนักหรอก” แม่ครัวมือฉมังเมาท์เรื่องเจ้านายอย่างออกรส อาการหน้ามืดตาลายเมื่อสักครู่จางหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“นี่ขนาดป้าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนะคะเนี่ย” หญิงสาวอดสัพยอกผู้เป็นป้าไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถามต่อไปว่า “แล้วหลังจากนั้นเป็นไงต่อคะ”
“พอเลย ป้ามีงานต้องทำ หนูเองก็ต้องช่วยป้าทำงานด้วย” จันทร์เพ็ญถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้า ทั้งระอาและเอ็นดูหลานสาวตัวแสบเหลือกำลัง
แม้จะเสียดายที่ไม่ได้ฟังเรื่องราวของชีคฮัยฟาอ์ต่อ แต่เธอก็มั่นใจว่าคนอย่างป้าจันทร์เพ็ญเก็บความลับไม่เคยได้ อีกไม่นานก็คันปากเล่าออกมาเองแน่ๆ “ได้เลยค่ะป้า อยากให้หนูทำอะไรสั่งมาเลยค่ะ หนูพร้อมแล้ว” หญิงสาวถลกแขนเสื้อขึ้นด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ก่อนจะเหลือบไปเห็นสาวใช้สองคนช่วยกันหอบม้วนผ้าสีทองระยิบระยับเดินผ่านไป
“ที่คฤหาสน์กำลังมีงานอะไรกันเหรอคะ หนูเห็นทุกคนวิ่งวุ่นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“อ้าว! ป้านึกว่าเล่าให้หนูฟังแล้วซะอีก”
ภัครติขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ดูจากการเตรียมงานที่วิ่งวุ่นกันทั้งคฤหาสน์ตั้งแต่เช้าจดค่ำเช่นนี้ น่าจะมีงานเลี้ยงใหญ่ที่เหล่าเศรษฐีมารวมตัวกันก็เป็นได้ หญิงสาวคาดเดาจากประสบการณ์ที่เคยอ่านข่าวสังคมว่า เศรษฐีมักจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ แม้ชีคฮัยฟาอ์ผู้แสนเคร่งขรึมดูไม่น่าจะชอบงานสังสรรค์เลยก็ตาม
“อีกสามวันจะมีงานแต่งงาน”
“แต่งงานหรือคะ!” หญิงสาวเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ “ใครจะแต่งงานเหรอคะป้า”
“ก็ท่านชีคน่ะสิ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวก็นิ่งอึ้งไปหลายอึดใจ แปลก...ทำไมเธอรู้สึกราวกับว่าหัวใจดวงน้อยๆ ร่วงหล่นไปกองอยู่บนพื้น ความผิดหวังเกาะกุมหัวใจของเธออย่างน่าประหลาด เธอควรยินดีมิใช่หรือที่เจ้านายจะแต่งงานมีครอบครัว ถึงอย่างไรชีคฮัยฟาอ์ก็ถือเป็นผู้มีพระคุณกับเธอโดยตรง เพราะเงินที่ป้าส่งให้เธอเรียนจนจบล้วนเป็นเงินจากชีคฮัยฟาอ์แทบทั้งสิ้น
หญิงสาวเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง พยายามสลัดความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งไปก่อนจะเอ่ยถามต่อราวกับไม่รู้สึกอะไร
“แล้วเจ้าสาวเป็นใครเหรอคะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ้าว”
“อย่าว่าแต่ป้าไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักเลย ท่านชีคเองก็คงไม่เคยเห็นหน้าเจ้าสาวเหมือนกัน”
“อ้าว”
“จะอ้าวอีกนานมั้ยยายเด็กคนนี้นี่” จันทร์เพ็ญหัวเราะร่วนเมื่อเห็นท่าทางงุนงงเป็นไก่ตาแตกของหลานสาว
“ก็หนูงงนี่คะ คนจะแต่งงานกัน แต่ไม่เคยเห็นหน้ากัน เป็นไปได้ด้วยเหรอคะ”
“อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละยายหนู งานแต่งงานที่กำลังจะมีขึ้นเป็นการแต่งงานครั้งที่สี่ของท่านชีค”
ขณะที่จันทร์เพ็ญเริ่มเล่า ภัครติก็ทำท่าจะร้องอ้าวด้วยความสงสัยขึ้นมาอีก แต่เมื่อเห็นท่าทางของผู้เป็นป้าจึงรีบยกมือขึ้นปิดปาก กะพริบตาปริบๆ อย่างตั้งใจฟัง
“ท่านชีคอยากมีทายาทมาก เลยให้พ่อบ้านดาริมหาเจ้าสาวมาให้ ผู้หญิงพวกนั้นได้เห็นรูปถ่ายท่านชีคก็ต่างยอมรับได้ และตกลงจะแต่งงานกับท่านชีค โดยท่านชีคมีข้อแม้ว่าเมื่อผู้หญิงเหล่านั้นมีทายาทให้ท่านเมื่อไหร่ ท่านจะคืนอิสรภาพให้พวกเธอด้วยการหย่า และแบ่งทรัพย์สมบัติที่ท่านมีให้ครึ่งหนึ่ง”
“ครึ่งหนึ่งเลยเหรอคะ” ภัครติย้อนถามอย่างไม่เชื่อหู
“ใช่แล้ว เห็นพ่อบ้านดาริมเล่าว่าท่านชีคไม่อยากเอาเปรียบผู้หญิง ในเมื่อผู้หญิงเหล่านั้นยอมเสียสละอุ้มท้องให้กำเนิดทายาทแก่ท่าน ท่านก็อยากให้พวกเธอได้ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไปตั้งตัวเริ่มต้นชีวิตใหม่ ให้สมกับที่เธอยอมเสียสละเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง”
“การที่คนเป็นแม่โดนพรากลูกไปจากอกคงเป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจมาก ท่านชีคคงอยากจะเยียวยาเธอด้วยทรัพย์สมบัติมากมายเหล่านั้น”
หญิงสาวพยักหน้าทำความเข้าใจ กระนั้นเธอก็ไม่อาจเข้าใจเหตุผลของท่านชีคได้อยู่ดี นั่นเพราะเธอมองว่าผู้เป็นประมุขของคฤหาสน์ทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก หากท่านชีครักและแต่งงานกับใครสักคนก็ไม่จำเป็นต้องมอบทรัพย์สมบัติมากมายให้ผู้หญิงคนไหน แม่ลูกไม่ต้องพรากจากกัน เด็กจะได้อยู่กับพ่อแม่ และเติบโตขึ้นในครอบครัวที่อบอุ่น
ขอเพียงแค่มีความรัก!