พระอาทิตย์ที่ด้านนอกกำลังจะตกดินทอแสงสีส้มขับให้ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านคนรวยในเมืองเฉิงตูดูโศกเศร้าเป็นการเน้นบรรยากาศของการจากลาชั่วนิรันดร์ของใครบางคน ทำให้คนที่เศร้าอยู่แล้วนั้นกลับกลายเป็นเศร้ายิ่งกว่าเดิมหลายสิบเท่า
เฉินชิวเยว่จากไปอย่างสงบไปท่ามกลางคนในครอบครัวที่เธอรักและรักเอ พ่อเฉินทำใจได้บ้างแล้ว แต่ว่าผู้เป็นแม่กลับกำลังร้องไห้ปานจะขาดใจตายตามลูกสาวสุดที่รักไป ส่วนเฉินเหว่ยถิงและภรรยาของเขาก็ยืนน้ำตาไหลพรากอยู่เงียบ ๆ สำหรับเด็กน้อยเฉินเสี่ยวเป่าที่แม้จะมีอายุยังน้อยแต่ก็รับรู้ได้ว่าอาสาวของเขาจากไปยังที่ไกลแสนไกลแล้ว
“อาชิวเยว่ไปอยู่บนท้องฟ้านั่นแล้วเหรอครับแม่” เฉินเสี่ยวเป่าเอ่ยถามผู้เป็นแม่พร้อมกับมองขึ้นไปที่สุดปลายฟ้าเหมือนจะรู้ว่าอาสาวของตนอยู่บนนั้น
“ไปแล้วจ้ะลูก คุณอาชิวเยว่ไปอยู่บนท้องฟ้าแล้ว” แม่ของเสี่ยวเป่าพยักหน้ารับคำของลูกชายและกอดปลอบเขาทั้งน้ำตา
สมาชิกทุกคนที่บ้านเฉินนั้นถึงแม้จะมีความเศร้าโศกเสียใจมากเพียงใด แต่ชีวิตพวกเขานั้นก็ต้องดำเนินต่อไป พวกเขายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากมายหลายอย่าง พ่อเฉินและแม่เฉินจะต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีตามความตั้งใจของเฉินชิวเยว่ เฉินเหว่ยถิงเองก็มีหน้าที่ต้องดูแลธุรกิจของน้องสาวที่จากไปเพื่อที่จะส่งต่อให้ลูกชายของเขาในอนาคต พี่สะใภ้เองก็มีหน้าที่ที่จะต้องดูแลครอบครัวเฉินให้ดี ส่วนป้าหลี่ที่เคยดูแลเฉินชิวเยว่มาอย่างดีที่สุดจวบจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตนายสาว เธอก็ได้ฝากฝังไว้กับบ้านของพี่ชายแล้ว
เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลรีบมาช่วยถอดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อไว้กับร่างกายของเฉินชิวเยว่ออก ก่อนที่จะนำร่างที่ไร้ลมหายใจของเธอใส่เข้าไปในโลงศพใบใหญ่หรูหราสมกับฐานะนายหญิงแห่งเฉินคอร์ปอเรชั่น บริเวณหน้าบ้านหลังใหญ่มีคนงานต่างก็ช่วยกันประดับประดาผ้าขาวและดอกไม้อย่างงดงาม เพื่อไว้อาลัยให้กับเจ้าของบ้านผู้จากไป
เช้าวันต่อมา...
จางอิงกำลังตั้งอกตั้งใจบดยาลดไข้ผสมน้ำเพื่อที่จะป้อนให้กับเว่ยอ้ายเหม่ยที่ยังนอนไร้สติ ส่วนฟางเสี่ยวหรงก็ช่วยประคองร่างที่ไร้สติของน้องสามีให้อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตักของเธอเพื่อความสะดวกในการป้อนยานั่นเอง
“อ้ายเหม่ยกินยาหน่อยนะ จะได้หาย” ฟางเสี่ยวหรงกระซิบบอกน้องสามีที่ข้างหู ก่อนจะค่อย ๆ ป้อนยาใส่ริมฝีปากที่เริ่มมีรอยช้ำสีม่วงอย่างเบามือ
ยาที่ป้อนให้ไหลผ่านลำคอของเว่ยอ้ายเหม่ยละไปทีละน้อยช้อนแล้วช้อนเล่าจนในที่สุดก็หมดถ้วย เห็นแบบนี้ทั้งสองก็เบาใจที่อย่างน้อยยาที่ป้อนก็เข้าปากน้องสามีคนนี้ แต่ในขณะที่กำลังจะเก็บถ้วยชาม จู่ ๆ ก็เหมือนได้ยินเสียงบางอย่าง จึงได้หันกลับไปดู
“แค่ก ๆ ๆ” เสียงคล้ายกับคนสำลักน้ำดังออกมาจากปากของเว่ยอ้ายเหม่ย จากนั้นก็เป็นเสียงไออีกสองสามที
จางอิงเห็นอย่างนั้นก็ตื่นเต้นดีใจ เธอวิ่งออกไปเพื่อแจ้งข่าวให้สมาชิกทุกคนในบ้านรับรู้
“พ่อคะ แม่คะ อ้ายเหม่ยฟื้นแล้ว”
สมาชิกทุกคนในบ้านรองเว่ยพอรู้ข่าวว่าเว่ยอ้ายเหม่ยนั้นตื่นแล้วต่างตื่นเต้นดีใจ ก่อนจะรีบวางงานในมือลงและเข้ามาในห้องเพื่อให้เห็นกับตาตัวเองว่าเป็นจริงอย่างที่จางอิงมาบอก เมื่อเข้ามาก็เห็นว่าเว่ยอ้ายเหม่ยฟื้นแล้ว จึงพากันเข้ามารุมล้อมเธอทันที
“อ้ายเหม่ย น้องเป็นยังไงบ้าง เจ็บปวดตรงไหนหรือเปล่าบอกพี่มาเถอะนะ พี่จะรีบไปซื้อยาให้” เว่ยตงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างใส่ใจ มือข้างหนึ่งก็กุมมือของน้องสาวไว้
เฉินชิวเยว่ยังไม่ทันได้ลืมตาขึ้นมา แต่กลับได้ยินเสียงราวกับว่ามีคนมากมายรายล้อมอยู่รอบ ๆ อีกทั้งยังมีเสียงผู้ชายเอ่ยถาม แต่ทว่าเขาไม่ได้เรียกชื่อของเธอ ทำไมเขาเรียกชื่อคนอื่นแต่มาจับมือเธอล่ะ อ้ายเหม่ยเป็นใครกันนะ
“อ้ายเหม่ย ๆ น้องได้ยินเสียงที่พี่พูดบ้างไหม” เว่ยตงถามอีกครั้งด้วยความร้อนใจเมื่อไม่มีเสียงตอบรับมาจากน้องสาวกลับมา
คราวนี้เฉินชิวเยว่ได้ยินชัดถนัดเต็มสองหูแล้วว่าผู้ชายคนนั้นเรียกเธอว่าอ้ายเหม่ย นี่จึงทำให้เธอตกใจจนต้องรีบลืมตาขึ้นมาเพื่อมองให้ชัดเจนว่าใครกันที่เรียกเธอ
“กริ๊ดดด อย่านะ ได้โปรดอย่าทำอะไรฉันเลยนะ”
เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็เห็นคนแปลกหน้ารายล้อมอยู่เต็มไปหมด จึงได้กรีดร้องออกมาจนเสียงดังลั่นบ้านด้วยความตกใจ พร้อมกับขยับตัวถอยห่างออกมาเล็กน้อย
“อ้ายเหม่ย อ้ายเหม่ยเป็นอะไรลูก นี่แม่เองนะ” หลี่ฟางเจียวค่อย ๆ ขยับตัวเข้าไปหาลูกสาวด้วยความตื่นกลัว หล่อนยื่นมือออกไปพร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“แม่เหรอ? ไม่ใช่สิ พวกคุณเป็นใครกันแน่ แล้วที่นี่ที่ไหน พวกคุณจับฉันมาใช่ไหม” เฉินชิวเยว่ในร่างของเว่ยอ้ายเหม่ยยังขยับหนีห่างออกมาพร้อมกับกอดตัวเองไว้แน่น
หญิงสาวใช้สายตากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างพิจารณาในใจนั้นคิดว่าที่นี่ดูแปลกไปมาก ดูไม่มีความเจริญรุ่งเรืองเอาเสียเลย ตัวบ้านเหมือนกับบ้านในหมู่บ้านชนบทหลังหนึ่ง อีกทั้งเวลานี้ข้างกายเธอยังมีผู้คนทั้งชายหญิงรายล้อมหลายคนดูแล้วคนกลุ่มนี้น่าจะเป็นครอบครัวเดีวกัน
อีกทั้งพวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าในยุคสมัยก่อนถ้าหากจำไม่ผิดบรรยากาศแบบนี้น่าจะเป็นช่วงยุค 70 เฉินชิวเยว่เคยเห็นการแต่งกายแบบนี้ในภาพยนตร์มาหลายเรื่อง เมื่อพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้วครอบครัวนี้ค่อนข้างจะยากจนไม่น้อยเลยทีเดียว
‘ว่าแต่ทำไมพวกเขาถึงเรียกฉันว่าอ้ายเหม่ยล่ะ อ้ายเหม่ยคือใครอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ที่นี่คือที่ไหน จำได้ว่าสติครั้งสุดท้ายฉันกำลังสั่งเสียกับสมาชิกในครอบครัวอยู่ไม่ใช่เหรอ หรือว่า...’ เฉินชิวเยว่คิดทุกอย่างในใจ พร้อมกับมองทุกคนไปด้วย มองดูพวกเขาทีละคนแล้ว จะว่าไปคนเหล่านี้ก็ดูไม่น่ามีพิษภัยอะไร แถมยังทำเหมือนกับว่าพวกเขานั้นกำลังดูแลเธออยู่ ซึ่งแววตาที่ส่งมาก็มีแต่ความห่วงใย นั่นจึงทำให้หญิงสาวก็เลยเบาใจไปเปลาะหนึ่ง
และก็มีอีกความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกผูกพันกับพวกเขาเหล่านี้อย่างแปลกประหลาด มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าทุกคนตรงหน้าคือคนสำคัญของเธอไม่ต่างคนในครอบครัวเฉินเลยแม้แต่น้อย
ทุกคนในบ้านรองเว่ยเมื่อเห็นเว่ยอ้ายเหม่ยมีอาการแปลก ๆ ต่างก็พากันทำหน้างุนงงกันอยู่พักใหญ่ พวกเขาแทบไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เธอเลย เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นอะไรทำไมถึงดูผิดปกติขนาดนี้ ยิ่งหลานทั้งสองคนที่กลัวเว่ยอ้ายเหม่ยอยู่แล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นมาโวยวายก็กลัวมากยิ่งกว่าเดิมจนเอาแต่กอดแม่ของตัวเองไว้แน่น
“อ้ายเหม่ย ฟื้นแล้วเหรอลูก เป็นยังไงบ้าง เจ็บปวดตรงไหนบ้างหรือเปล่า บอกพ่อมาหน่อยสิ” สุดท้ายเป็นเว่ยเฉียนเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เพราะไม่ว่าเด็กสาวตรงหน้าจะมีอาการผิดปกติอย่างไรก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวของตนเอง แล้วเขาจะหวาดกลัวไปทำไม
เฉินชิวเยว่ที่อยู่ในร่างของเว่ยอ้ายเหม่ยกำลังงุนงงอยู่ก็อ้าปากค้างเล็กน้อยเมื่อเห็นชายวัยกลางคนตรงหน้าเอ่ยถามขึ้นมาแบบนั้น อีกทั้งเขายังแทนตัวเองว่า ‘พ่อ’ แต่เพราะแววตาของชายคนนี้ดูอบอุ่นและอ่อนโยนเธอจึงได้คลายความหวาดกลัวลงเล็กน้อย ก่อนจะถามกลับไป “พวกคุณเป็นใครเหรอคะ แล้วที่นี่ที่ไหน”
พอได้ยินคำถามนี้ ทุกคนในบ้านรองเว่ยยิ่งตกใจมากกว่าเดิม ตอนนี้เหมือนเธอจะจำทุกคนไม่ได้แล้ว ดูจากแววตาของเธอไม่มีทางโกหกแน่นอน
เว่ยอ้ายเหม่ยจำทุกคนไม่ได้จริง ๆ!!