“อย่าทำแบบนี้แคร์”
เสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความดุดันและมือที่กำลังแกะมือเล็กๆ ของเธอออกจากเอวบ่งบอกว่าเขาไม่ได้ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์กับเธอ
“ทำไมล่ะคะ ทำไมพี่เอกถึงไม่รักแคร์ ทำไมถึงไม่อยากทำกับแคร์ แค่เอาแคร์พี่เอกก็ยังไม่อยากเอางั้นหรอคะ แค่ร่างกายแคร์พี่ก็ยังไม่อยากได้”
น้ำตาที่ร่างเล็กพยายามเก็บกักไว้ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาเริ่มหลั่งรินพรั่งพรูออกมา ความน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกสั่งสมมานาน เมื่อพวกเขาเป็นครอบครัวที่รู้จักกันมานานและพวกเขาก็คบกันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เอกทัศน์ไม่เคยมองเธอมากกว่านั้นจริงๆ การแต่งงานก็เป็นสิ่งที่พวกผู้ใหญ่มโนขึ้นมาเอง แต่แคร์ก็ยังรักเขามาตลอด
“แคร์ พี่พูดเพราะหวังดีกับแคร์นะ สักวันแคร์จะเข้าใจ” เขาใช้หลังมือปาดน้ำตาให้หญิงสาวร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้าและลูบหัวเพื่อให้เธอสงบลง
“แคร์ไม่ยอมหรอกค่ะ แคร์รักพี่เอกมากขนาดนี้ ผู้หญิงคนนั้นดูไม่เห็นเหมือนคนที่รักพี่เอกเลย เธอไม่สนใจด้วยซ้ำว่าพี่เอกจะเป็นยังไง” เธอเริ่มเกรี้ยวกราดงอแงและหาเหตุผลต่างๆ นานา มาเพื่อให้เขารับฟัง
“อันนั้นพี่ไม่เถียงครับ เพราะพี่รักเธออยู่ข้างเดียวพี่รู้ตัวดี และพี่ก็ไม่อยากให้แคร์ต้องมาเป็นแบบพี่” เขาเริ่มมีน้ำเสียงอ่อนลงประมาณว่าพี่ชายสอนน้อง
เหมือนเด็กน้อยจะเริ่มเข้าใจหัวอกเขาและเริ่มเย็นลงบ้าง
“งั้นพี่ก็ไปคุยเรื่องของเรากับผู้ใหญ่เองละกันค่ะ ดูซิว่าพวกเขาจะยอมมั้ย เพราะแคร์ก็ยืนยันคำเดิมว่าจะแต่ง”
ร่างเล็กพูดจบก็เดินออกไปจากห้องทำงานทิ้งคนตัวใหญ่เอนกายลงบนเก้าอี้ทำงานตัวหรูแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
.
.
(Talk ตั้งโอ๋)
เด็กนั่นร้องไห้ออกมาจากห้องทำงานเขางั้นหรอ เกิดอะไรขึ้นนะ ฉันแอบสงสัย ทั้งๆ ที่โดยปกตินิสัยของฉันไม่ใช่คนที่จะมาวุ่นวายสงสัยเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ยิ่งเป็นเรื่องของไอ้เจ้านายงี่เง่านั่นยิ่งแล้วใหญ่ แล้วทำไม่ช่วงนี้ฉันถึงแอบคิดเรื่องของเขาบ่อยๆ นะ
เดี๋ยวหมอนั่นต้องตามออกมาแน่ ฉันคิดในใจพลางก้มลงทำงานต่อ แต่ก็ไม่ออกมาแฮะ แล้วทำไมฉันต้องลุกลี้ลุกลนด้วยล่ะเนี่ย แต่ถ้าโดยนิสัยของเขาก็ต้องรีบมาอธิบายให้ฉันเข้าใจมั้ย แล้วทำไมถึงปล่อยให้ฉันนั่งหงุดหงิดแบบนี้ล่ะ
หรือเขาคิดไปเองว่าฉันไม่ได้สนใจเรื่องของเขา โอ๊ยยย มีแต่คำถามเต็มไปหมดเลยโว้ย พักดื่มกาแฟสักหน่อยดีกว่า ฉันเคลื่อนตัวเองออกจากโต๊ะทำงานแล้วเดินออกไปเพื่อหากาแฟดื่ม ดื่มกาแฟตอนบ่าย 3 เหอะๆ ตั้งโอ๋เอ๊ย ระหว่างจิบกาแฟฉันก็เลื่อนโทรศัพท์เช็กไลน์ส่วนตัว
“วันนี้เข้าเวรดึกอยากได้กำลังใจจังครับ” ข้อความออดอ้อนทะลุจอโทรศัพท์ออกมาทำเอาฉันอดอมยิ้มไม่ได้และไม่รอช้าที่จะกดโทรศัพท์กลับไปหาเขา
⇒ ดูสิว่าใครโทรมา ปลายสายน้ำเสียงอ่อนโยนรับแล้วพูดก่อน
⇐ ใครน้าที่มาอ้อนขอกำลังใจก่อน นี่ลืมไปแล้วหรือเปล่าคะว่าใครเป็นที่ปรึกษาของใคร
⇒ คิกๆ ตอนแรก ก็อยากให้คำปรึกษาแต่หลังๆ มาอยากอ้อนมากกว่า ปลายสายอ้อนหนักหน่วงขึ้นเมื่อฉันเล่นด้วย
⇐ งั้นก็อ้อนซะให้พอแล้วก็ไปตั้งใจทำงานได้แล้วนะคะ คุณหมอ ฉันพูดแล้วยิ้มผ่านทางโทรศัพท์
⇒ คร้าบ คร้าบ ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ คุณก็รักษาสุขภาพนะครับ ปลายสายไม่ลืมย้ำ
⇐ จ้า จ้า เช่นกันค่ะ
สิ้นการสนทนา ฉันวางโทรศัพท์แล้วเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของเจ้านายที่ทำหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เรื่องของนายสิ ทีนายยังไม่ยอมมาอธิบายเรื่องของเด็กนั่นให้ฉันฟังเลย
แค่คุยโทรศัพท์ไม่ถึง 5 นาทีมันไม่ได้รบกวนการทำงานหรือทำให้งานของฉันบกพร่องลงหรอกนะคะบอสก็รู้ ฉันเหลือบสายตามองผู้เป็นเจ้านายที่มองมาอย่างคาดคั้น
ผมรู้คุณเก่ง กรวรีย์ เก่งขนาดปั่นหัวผมเล่นมาตั้ง 3 ปี เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและการเรียกขานชื่อที่ห่างเหิน แล้วทำไมฉันต้องเจ็บที่หัวใจด้วยนะ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเขาก็เรียกฉันแบบนี้
เขาพูดแล้วเดินออกจากที่ทำงานไปเลย แล้วสรุปเขาออกมาหาฉันทำไมก่อน เฮ้อออ
.
.
(Talk เอกทัศน์)
ยัยนั่นขยันปั่นหัวผมจริงๆ ไม่รู้สึกรู้สาแม้กระทั่งว่ามีผู้หญิงมาหาผมถึงที่ทำงาน เธออาจจะไม่ได้แคร์อะไรผมสักนิดเลยก็ได้ แล้วรอยยิ้มที่ยิ้มตอนคุยโทรศัพท์นั่นอีก ทั้งที่ไม่เคยยิ้มให้ผมสักครั้ง ปลายสายนั่นน่าจะสำคัญกับเธอมากสินะ
น่าน้อยใจชะมัด แล้วผมก็โลภไม่หยุด ทั้งๆ ที่บอกกับตัวเองว่าได้ร่างกายเธอมาครอบครองแล้วก็ควรจะพอใจแล้ว แต่หัวใจมันก็ไม่หยุดร่ำร้องเรียกหาความรักจากเธอ ยัยคนไม่มีหัว เธอจะรักใครเป็นบ้างมั้ยนะ
ผมคิดทุกอย่างระหว่างขับรถออกมาจากบริษัทเพื่อเข้าไปหาคุณพ่อที่บ้าน จะไปคุยตกลงเรื่องยัยแคร์
บ้านใหญ่ เป็นบ้านหลักของตระกูลผม พวกพ่อแม่ผมเขาอาศัยอยู่ที่นี่ ส่วนพวกผมก็เลือกออกไปอยู่ที่อื่นนานแล้วเพราะอยากได้ความเป็นส่วนตัว เจ้าชิตชอบอยู่คอนโดมากกว่า และมันก็มีหลายที่เลย เอาไว้ซุกสาวๆ
ของผมก็ซื้อบ้านไว้หลังหนึ่งแต่ไม่ค่อยได้ไปอยู่หรอก อยู่คอนโดซะมากกว่าเพราะสะดวก ไปทำงานง่าย เรื่องสาวๆ ก็พอมีบ้างซื้อกินเอา ก็นะผมเป็นผู้ชาย แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยขึ้นเตียงซ้ำกับใครถ้าไม่เด็ดจริงๆ
จริงๆ พ่อผมไม่ใช่คนแก่หัวโบราณนักหรอก เรื่องแต่งงานก็เป็นฝั่งยัยแคร์ที่เจ้ากี้เจ้าการ ผมว่าถ้าบอกความต้องการจริงๆ ท่านก็ไม่น่าจะปฏิเสธความรู้สึกของผม
แต่สำคัญคือตอนนี้ผม อายุ 32 ปีแล้ว แล้วพวกท่านดันมีความเชื่อว่าอายุขนาดนี้แล้วมันต้องมีครอบครัวได้แล้ว จริงๆ ก็คงแค่อยากจะอุ้มหลานแหละ
ผมว่าวัย 32 นี่กำลังเหมาะกับการสนุกสุดเหวี่ยง ปาร์ตี้บ้าพลัง เอาสาวไม่ซ้ำหน้า จริงๆ ผมก็อยากลองดูสักทีเหมือนกันนะไอ้ชีวิตสุดกู่เนี่ย หึหึ
ผมได้แต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยแล้วก็เลี้ยวรถเข้าประตูบ้านหลังใหญ่
.
.