"สวัสดีค่ะคุณอา คุณอาคงจะจำหนูไม่ได้เพราะตอนนั้นหนูยังเด็กมาก แต่คุณอาคงจำแม่หนูได้ แม่หนูชื่อรุ่งนภาส่วนหนูชื่อรุ่งฤดีค่ะ" หญิงสาวหน้าตาอ่อนหวาน ทว่าแววตากลับเศร้าหมองเอ่ยพูดกับคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอมทุกข์
"นภา.." ชายวัยกลางคนเพ่งมองเด็กสาวตรงหน้าพลางพึมพำชื่อแม่ของเธอ
"ใช่ค่ะ แม่ไม่รู้ว่าหนูมาที่นี่เพราะหนูแอบมา" เธอแอบค้นกระเป๋าแม่แล้วเจอนามบัตรของท่าน จึงรีบมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ
"ตอนนี้นภาเป็นยังไงบ้าง"
"แม่ป่วยหนักมากค่ะเป็นมะเร็งระยะที่สาม ต้องใช้เงินในการรักษาเยอะมาก หนูก็เลยบากหน้ามาขอยืมเงินคุณอา"
"มะเร็งงั้นเหรอ?" พอได้ยินอาการป่วยของอีกฝ่าย ชายวัยกลางคนก็ตกใจ เพราะไม่ได้เจอกันกับนภามาเป็นสิบปีแล้ว
"หนูแค่อยากจะมาขอยืมเงินคุณอาไปรักษาแม่ คุณหมอบอกว่าอาจารย์หมอที่จะมาจากออสเตรเลียท่านเก่งมาก ท่านสามารถรักษามะเร็งให้หายขาดได้ แต่มันต้องใช้ค่าใช้จ่ายเยอะมาก หนูขอร้องนะคะ" รุ่งฤดีทรุดนั่งคุกเข่าวิงวอนเพื่อขอความเห็นใจ เพราะตอนนี้ท่านคือทางรอดเดียวของแม่เธอ
ที่จริงปราชญ์อายุเยอะกว่ารุ่งนภา แต่เพราะใบหน้าที่ยังเยาว์วัยของท่านทำให้เธอเข้าใจว่าอายุน่าจะอ่อนกว่าผู้เป็นแม่ จึงเรียกแทนว่าคุณอา
"หนูลุกขึ้นก่อนนะ" ปราชญ์รีบเดินไปจับตัวหญิงสาวให้ลุกขึ้นยืน
"ท่านครับนายหญิงกลับมาแล้ว" นิรุตมือขวาของปราชญ์รีบวิ่งเข้ามารายงาน
"พาหนูรุ่งฤดีเข้าไปหลบก่อน" ปราชญ์หันไปออกคำสั่งกับนิรุตเพราะไม่อยากให้ภรรยาเจอเข้ากับเธอ
"เหนื่อยจังเลยค่ะที่รัก" มุทิตาเดินเข้ามาพร้อมกับบอดี้การ์ดคนสนิทหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง
"ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยจ๊ะ" ปราชญ์รีบตรงเข้าไปหาภรรยาพร้อมเอ่ยถามเสียงอ่อนเสียงหวาน
"มีใครมาบ้านเราหรือเปล่า" สายตาคนที่ถามเหลือบไปเห็นแก้วน้ำสองใบที่วางอยู่บนโต๊ะ
"เปล่าจ้ะ ไม่มีใครมา น้ำของพี่เอง" เขาปฏิเสธอย่างลนลาน ถ้าเป็นไปได้อยากจะเอามือขึ้นมาปาดเหงื่อที่หน้าผากออกด้วยซ้ำ
"คุณจะกินน้ำสองแก้วคนเดียวเลยหรือไง??"
"เอ่ออ.."
"ใครมา! บอกมานะ! มันอยู่ไหน!!" มุทิตาตวาดถามสามีเสียงดังลั่น พร้อมกับกวาดมองไปรอบๆ ห้องโถงใหญ่ คนๆ นั้นคงยังไปไหนได้ไม่ไกล เพราะแก้วยังไม่มีรอยดื่มน้ำสักหยด
สักพักก็มีรถเก๋งคันหรูขับเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน..
"กลับมาแล้วเหรอปฐพี" การกลับมาของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ทำให้มุทิตาละความสนใจจากการตามหาแขกที่ไม่ได้รับเชิญ เธอยิ้มหน้าระรื่นเดินไปต้อนรับลูก.