ยูถกาตื่นสายมากสำหรับวันนี้ เพราะไม่มีนัดหมายอะไร งานที่ทำส่วนใหญ่จะเป็นการเขียนคอลัมน์ลงนิตยสาร ซึ่งส่งงานไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้เงินไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ยูถกาก็มีความสุขดีกับการได้มีอิสระ ไม่ต้องตื่นแต่ไก่โห่ขับรถไปตอกบัตรพนักงาน ก้มหน้าก้มตาทำงาน ประชุม ถึงเวลากลับ บ้าน ก็ฝ่ารถติดกว่าจะถึงสภาพร่างกายแทบไม่อยากจะทำอะไรแล้ว นอกจาก กระโดดขึ้นเตียงน้ำท่าไม่ต้องอาบ
“นอนกินบ้านกินเมืองมากนะ เรา” มารดาของยูถกาพูดบ่นลูกสาวที่ยังคงเดินกึ่งหลับกึ่งตื่น แม้จะอาบน้ำมาแล้วก็ตาม
“เมื่อคืนกลับดึกน่ะคะ ยังมาเขียนงานต่ออีก ส่งงานไปเมื่อคืนแล้ว เช้านี้เลยฉลองด้วยการตื่นสาย” ยูถกายิ้มๆ เมื่อเห็นมารดาทำหน้าดุจ้องมองอยู่ ลูกสาวจึงเดินเข้าไปสวมกอดออดอ้อนจนเห็นรอยยิ้ม
“จะพอกินไหมล่ะ เขียนหนังสือน่ะ” มารดาพูดบ่นต่อ
“มีน้อยใช้น้อย ค่อยบรรจงค่ะ ไม่มีก็ขอยืมแม่ก่อนไง” ยูถกายิ้ม
“ไม่มีก็บอกแล้วกัน งานประจำดีๆ ก็ลาออกมา จะพึ่งพาได้ไหมล่ะ”
“ได้สิคะ แม่อยากได้อะไร บอกยูว์นะ ยูว์จะหาให้ทุกอย่างเลย”
“ฉันอยากอุ้มหลานบอกมานานแล้ว ไม่เห็นจะมีวี่แวว เห็นควงกันแป๊บๆ ก็หายไป ว่าไง อย่านิ่งเงียบ” มารดายิ้มๆ มองดูลูกสาวนั่งก้มหน้าไม่ยอมสบตาด้วย เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องการมีครอบครัวและการมีลูก
“งานใหญ่เลยนะ นั่น เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหมคะ” ยูถกายิ้มแป้นมองสบตากับมารดาที่ส่ายหน้ากับความทะเล้นลื่นไหลของลูกสาว
“ไม่ล่ะ อย่างอื่นฉันมีครบแล้ว แก่แล้วด้วย จะเอาอะไรนักหนาที่เป็นวัตถุสิ่งของ แค่มีความสุข ฉันก็พอใจแล้วล่ะ” มารดาบอกกับลูกสาว ซึ่งยิ้มกว้างขึ้น มารดาของยูถกาเป็นครูในวัยเกษียณ ความเป็นระเบียบมีอยู่มากพอ สมควร แต่ไม่ได้มากเสียจนต้องเป๊ะไปเสียทุกเรื่อง หลังจากยูถกาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยจนเข้าทำงาน และเริ่มใช้ชีวิตของการเป็นผู้ใหญ่ มีรายได้ของตัว เอง มารดาจึงเริ่มปล่อย มีการตักเตือนบ้างผ่านการพูดคุย แต่ไม่ได้จ้ำจี้จ้ำไชเหมือนเมื่อครั้งยังเรียนอยู่
“ถ้าเกิดว่า ไม่มีหลาน แม่จะว่าอะไรไหมคะ” ยูถกาเรียบๆ เคียงๆ ถาม พอจะรู้ว่า ความสุขของคนที่จะได้เป็นปู่ย่าตายายนั้น เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนในวัยเดียวกับมารดา ซึ่งเพื่อนของท่านส่วนใหญ่ได้เป็นย่าเป็นยายกันมากมาย
“พูดอย่างนี้ หมายความว่าอย่างไร จะอยู่เป็นโสดอย่างนั้น หรือ”
“ลองถามดูน่ะคะ แม่ก็” ยูถกากอดมารดาไว้อีกครั้ง
“จะไปว่าอะไรได้ล่ะ เคยว่าอะไรได้ไหม อะไรที่ยูว์ไม่ยอมทำ ไม่อยากทำเคยบังคับได้ไหมล่ะ ทำงานบริษัทใหญ่เงินเดือนตั้งมาก วันหนึ่งกลับมาบอกแม่ว่าจะลาออก ห้ามแล้วฟังกันไหม ก็ไม่” มารดาพูดจบก็ยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นลูกสาวทำหน้าจ๋อยๆ
“ดูเป็น ไอ้ลูกดื๊อดื้อยังไงไม่รู้เนอะ” ยูถกายิ้มๆ มองสบตากับมารดา
“เพิ่งรู้หรือ ว่าดื้อน่ะ”
“โห แม่คะ ไม่เห็นจะดื้อเลย”
“เบื่อจะคุยด้วย ไปอ่านหนังสือดีกว่า” มารดาของยูถกาใช้เวลาส่วนใหญ่กับการอ่าน ซึ่งนั่นทำให้ตัวลูกสาวนั้น ถูกปลูกฝังมาโดยไม่รู้ตัว อ่านเสียทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไร แต่เพราะการอ่านที่มารดาปฏิบัติให้เห็นตั้งแต่เล็กๆ จึงทำให้ยูถการู้จักที่จะคิดและทบทวน ก่อน
ที่จะตัดสินใจ
“เดี๋ยวค่ะ ยูว์จะไปร้านหนังสือ อยากได้เล่มไหนบ้างไหมคะ” ยูถกายิ้ม เมื่อเห็นรอยยิ้มของมารดาที่ทำท่าคิด
“ยูว์อยากอ่านอะไร ก็ซื้อมา แม่อ่านที่ยูว์เลือกนั่นแหละ” มารดายิ้มให้ลูกสาวที่หอมแก้มท่านเสียงดังฟอดใหญ่
“น่ารักที่สุด คนละสามเล่มแล้วกัน ของยูว์สาม ของแม่สาม แล้วมาแลกกันอ่าน” ยูถกายิ้มกว้างขึ้น
“รู้ได้อย่างไร ว่าแม่อยากอ่านอะไร ถึงบอกของแม่สาม” มารดาถาม
“แม่คะ ลูกสาวนะคะ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ว่าแต่เอาภาคภาษาอังกฤษหรือไทยดีคะ” ยูถกายิ้ม
“หลายสตางค์นะ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ ไทยก็ได้ เก็บไว้บ้างนะเราเงินทองน่ะ ใช้ฟุ่มเฟือยมากนักไม่ดี” มารดาพูดบ่นลูกสาว
“เดี๋ยวถ่ายแบบ แล้วได้สตางค์มา จะพาไปเหมาหนังสือ เลือกได้ตามใจชอบ ตกลงตามนี้นะคะ พระมารดา” ยูถกายิ้ม เมื่อเห็นมารดาหันมาค้อนก่อนที่จะเดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมบ่นพึมพำออกมา
“จะพาร้านเขา ขายเสื้อผ้าไม่ออกล่ะสิไม่ว่า” มารดายิ้ม ยูถกาก็เช่น กัน มองดูมารดาที่เดินขึ้นไปยังชั้นบน
ยูถกายิ้ม เมื่อเห็นเม็ดขนุนเดินเข้ามาในร้านหนังสือ หลังจากได้พูด คุยกันทางโทรศัพท์และได้บอกกับคนที่เพิ่งมาถึงไปว่า จะมาซื้อหนังสือ รายนั้นเลยขอตามมาด้วย เม็ดขนุนถือได้ว่า ฉลาด หรือควรจะเรียกว่า รอบรู้ เลยก็ว่าได้ เพราะพุทธชาดเคยพูดถึงอยู่เหมือนกัน ว่าเม็ดขนุนชอบที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจ และบางเรื่องที่รู้สึกสงสัยว่า อาจจะไม่ใช่อย่างที่ใครๆ ว่าไว้ บางทีเรื่องที่เขียนในหนังสือ เม็ดขนุนยังบอกเลยว่า ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น เพราะบาง ทีบางเรื่องที่ไม่ใช่ทฤษฎีมากนัก ออกแนวเป็นความคิดเห็นของคนเขียนหนังสือเล่มนั้น เม็ดขนุนที่คิดต่าง ก็จะบอกออกมาในสิ่งที่ตัวเองคิด ทำเอาพุทธชาดทึ่งในความคิดอยู่หลายเรื่อง จึงสนุกกับการได้ทำงานร่วมกับเม็ดขนุนเสมอ
“หวัดดี เสื้อไม่ได้ซัก” ยูถกายิ้มแป้น ตั้งแต่เห็นเม็ดขนุนใส่เสื้อที่ตัว เองเป็นคนซื้อให้
“ซักแล้ว ตั้งแต่เมื่อคืน ดมดูดิ” เม็ดขนุนแอ่นอกยื่นไปตรงหน้าของยูถกาที่ยิ้มอายๆ
“ไอ้บ้าเม็ดหนุน แอ่นอกมาซะขนาดนี้ ไม่อายหรือไง”
“ทำไมต้องอาย ไม่ได้ถอดเสื้อออกมาสักหน่อย ขอบใจนะที่เลือกเสื้อให้แบบไม่ต้องรีดน่ะ” เม็ดขนุนพูดยิ้มๆ
“หือ ปกติรีดหรือไง เสื้อน่ะ ยับ ย่น ยู่ ยี่ ตลอดเลย” ยูถกาบอก
“แสดงว่า รู้ใจ ไง เนอะ”
“บ้า ใครรู้ใจใคร ไม่เห็นจะรู้เลย ในใจน่ะ สาวเพียบ” ยูถกาทำหน้ายักษ์ใส่คนที่ยิ้มทะเล้นให้อยู่
“มีคนเดียว เดินเข้า เดินออก อยากให้อยู่ถาวรเลย ไม่รู้จะยอมไหม”
“จริงดิ ใครกัน” ยูถกาพูดยิ้มๆ ไม่ได้ฟังคำตอบ เดินไปดูหนังสือที่ชั้นอื่นๆ โดยมีเม็ดขนุนเดินยิ้มตามมา
“ถ้ามั่นใจ เมื่อไหร่ มาบอกด้วยแล้วกัน ว่าอยากอยู่ด้วยกันหรือเปล่า” เม็ดขนุนพูดขึ้นลอยๆ หยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งพลิกดู เหมือนไม่ได้สนใจคนที่ยืนยิ้มจ้องมองอยู่
สองสาวใช้เวลาอยู่ในร้านหนังสือจนเรียกได้ว่า ลืมเวลาไปเลย ยูถกาได้หนังสือสำหรับมารดา โดยมีเม็ดขนุนช่วยเลือกให้ จากการได้พูดคุยในเรื่องการอ่าน เม็ดขนุนอาจจะไม่ถึงกับเป็นหนอนหนังสือนัก แต่จากที่ได้คุยกันก็อ่านมาไม่น้อย ยูถกาแอบคิดว่า คนที่ทำอะไรตั้งเยอะแยะมากมาย เอาเวลาที่ไหนมาอ่านหนังสือ หรืออาจจะเริ่มอ่านมาตั้งแต่เด็ก ตัวเธอเองนั้นอ่านหนังสือค่อน ข้างเยอะตั้งแต่มัธยมปลาย จนเข้ามหาวิทยาลัย มาอ่านน้อยลงตอนเข้าทำ งาน ซึ่งชีวิตวุ่นวายเหนื่อยล้าเสียจน เวลาอ่านหนังสือมีเฉพาะช่วงก่อนนอน ในบางวันเหนื่อยจนไม่ได้อ่านก็มี
“ทุกวันนี้ อ่านหนังสือ ตอนไหน ตั้งแต่รู้จักกัน ไม่เห็นหยิบหนังสืออ่านเลย นอกจากที่เห็นในร้านเมื่อกี้นี้น่ะ” ยูถกาถามระหว่างที่รออาหารมื้อกลางวัน ซึ่งตั้งใจเอาไว้ว่า จะเลี้ยงเม็ดขนุนที่ช่วยเลือกหนังสือให้ และตอนนี้มานั่งอยู่ในร้าน ความรู้สึกเมื่อยล้าเริ่มปรากฏใน
ทันที ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ที่ยังยืนอยู่ในร้านหนังสือไม่ได้มีอาการใดๆ เลย
“ไม่แน่นอนหรอก เราน่ะ พวกไม่มีระเบียบ นึกอยากอ่านก็อ่าน เวลาอ่านก็จะเพลินนะบางที อ่านตอนกลางคืน กว่าจะรู้สึกตัวว่าชักง่วง ก็เช้าแล้ว” เม็ดขนุนบอก
“อ่านหนังสืออะไรบ้าง มีที่ชอบมากๆ ไหม” ยูถกาถาม
“อ่านทุกอย่าง เรามันพวกอยากรู้ อยากเห็น”
“ถึงได้ฉลาด” ยูถการำพึงออกมาเบาๆ
“ไม่เห็นจะฉลาดเลย มีอะไรตั้งเยอะแยะที่ยังไม่รู้ ในหนังสือก็ไม่มีนะ การเรียนรู้บางเรื่องจากคนอื่น จะเป็นตัวบอกเองว่า เราไม่ได้ฉลาด เพราะคนเรายังคงต้องเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ไปจนชั่วชีวิตแหละ” ยูถกายิ้มกับความคิดของเม็ดขนุน เวลาจริงจัง ก็ดูเอาการเอางาน
เวลานึกจะกวน ก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย คงเป็นเหมือนที่มีคนเคยพูดให้ได้ยินว่า คนแต่ละคน ขึ้นอยู่กับว่า เขาจะปล่อยให้เราเข้าไปทำความรู้จักได้มากขนาดไหน ถ้าได้รู้จักเม็ดขนุนแค่ผิวเผินเหมือนวันแรกที่ได้เจอกัน ผู้หญิงที่นั่งมองตาแป๋วอยู่ตรงนี้ จัดอยู่ในพวกไม่น่าคบหา ปากหมาอีกต่างหาก ยูถกายิ้มๆ กับความคิดของตัวเอง เม็ดขนุนที่จ้องมองอยู่คิ้วขมวด เมื่อเห็นยูถกายิ้มแปลกๆ
“ยูว์ว่า ฉลาด นะ” ยูถกาบอก
“ฉลาด แต่ยิ้มแปลกๆ คืออะไร” เม็ดขนุนยังคงคิ้วขมวดจ้องมองคนที่นั่งอมยิ้มอยู่ตรงหน้า
“กำลังคิดว่า ถ้าหากรู้จักกันแค่วันแรกๆ วันที่พูดจากวนๆ ยูว์คงมองแค่ว่า เม็ดขนุน เป็นพวกไม่น่าคบหา ปากเอ่อ ปาก” ยูถกายิ้ม
“ปาก หมา”
“รู้ตัว” ยูถกาหัวเราะคิกคัก
“เราก็ไม่ได้พูดมากกับทุกคนนะ เฉพาะคนที่สนิทสนม หรือคนที่เราอยากคุยด้วยเท่านั้นแหละ” เม็ดขนุนบอก
“เหมือนสาวๆ ที่มาสัก จัดคิว จนหัวกะไดไม่แห้ง”
“บางคนก็น่ารักดีนะ” เม็ดขนุนยิ้ม
“ใช่สิ อกตูมๆ เสื้อคอเว้าจะไปถึงเอวอยู่แล้ว” ยูถกาพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ ทำเอาเม็ดขนุนอมยิ้ม
“จดจำรายละเอียดได้ดีนะ เราหมายถึง เรื่องที่คุยกับเราระหว่างที่เราสักให้เขาน่ะ บางคนเล่าเรื่องงาน บางคนเล่าเรื่องแฟน เรื่องโน้นเรื่องนี้ เราชอบนะ บางคนก็สบายใจที่มาเล่าให้เราฟัง ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกัน” เม็ดขนุนบอก
“แค่นั้นจริงดิ ที่เห็นน่ะ แทบจะโดนกินอยู่แล้ว” ยูถกาบอกกับคนที่นั่งยิ้มจ้องมองอยู่