ตอนที่ 1 บังเอิญ
เพราะต้องเดินทางก่อนกำหนด เธียรธาราจึงจำเป็นต้องเอาเสื้อผ้าบางส่วนไปซักแห้ง ทว่าเป็นเพราะลมแรงเกินไปจึงทำให้จักรยานคันโปรดที่เธอใช้อยู่เป็นประจำล้มลง โซ่รถจักรยานที่ปกติไม่เคยมีปัญหาดันหลุดจากเฟือง ปัญหาที่เหมือนเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งอาจจะทำให้หญิงสาวทั่วไปถอดใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ทว่าไม่ใช่กับคนที่มีสติอยู่กับตัวครบถ้วนแม้จะลืมแว่นสายตาไว้ที่ห้องแบบเธียรธารา เธอเข้าร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยทักษะที่เรียนมาตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย สัญชาตญาณทำให้เธอมองหาตะเกียบกับกระดาษชำระม้วนหนึ่ง
แต่ไหนแต่ไรเธียรธาราก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตัวเองทุกครั้ง ไม่ว่าจะหลอดไฟเสีย คอมพิวเตอร์พัง หรือแม้แต่โทรศัพท์มีปัญหา หญิงสาวแก้ไขด้วยตัวเองเสมอ นับประสาอะไรกับโซ่รถจักรยานที่หลุดตกร่อง…
น่าเสียดายที่ปัญหาโซ่รถที่ตกร่องของจักรยานที่มีเกียร์นั้นยากเย็นกว่าที่คิด อากาศเวลาฝนตกปรอยๆ ค่อนข้างเย็น ทว่าตัวเธอเองกลับรู้สึกถึงเหงื่อเย็นๆ ที่ไหลอาบใบหน้า สวรรค์ต้องลงโทษเธอแน่ๆ ที่อวดดีแบบนี้ ปกติการจัดการปัญหาโซ่รถจักรยานนี้เธอใช้เวลาแค่สองนาทีก็เสร็จ แต่นี่ปาเข้าไปนับสิบนาทีแล้วนะ
ดูเหมือนว่าบางปัญหาจะใช้คนคนเดียวในการแก้ไขปัญหาไม่ได้เสียแล้ว
ตะเกียบที่เอามาเกี่ยวโซ่รถจักรยานเริ่มเปรอะเปื้อนน้ำมันสีดำและมันก็เกือบจะหักแล้ว แรงดันจากชิ้นส่วนของเกียร์ในล้อหลังของจักรยานกำลังสร้างปัญหากับเธอ เมื่อคิดว่าสิ่งที่ใช้ในตอนแรกเริ่มไม่ได้ผลเท่าไรนัก ในท้ายที่สุดเธียรธาราก็โยนตะเกียบลงถังขยะแล้วเริ่มใช้มือเปล่าจัดการกับมัน
ห้านาทีผ่านไป…ยังไม่สำเร็จ
คล้ายกับว่ามีสายตาคู่หนึ่งจดจ้องหญิงสาวมาสักพักแล้ว ด้วยเพราะเส้นผมดำขลับที่เริ่มจะยุ่งเหยิงทั้งยังชื้นเหงื่อ ทำให้มองหน้าของหญิงสาวคนนั้นไม่ชัด แต่ใครคนหนึ่งคนนั้นก็ทนไม่ไหวจนต้องเดินไปให้ความช่วยเหลือ
กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ปะปนกับกลิ่นเหงื่อของหญิงสาวให้ความรู้สึกเซ็กซี่นิดๆ เธอยังคงง่วนอยู่กับโซ่รถจักรยาน โดยที่ไม่คิดเงยหน้ามองเขาแม้แต่น้อย กระทั่งเขายื่นมือซ้ายไปช่วยยกชิ้นส่วนตรงล้อด้านหลังให้ หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมา ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย สะดุดกับดวงตาคมหวานที่มองมาด้วยความงุนงง ก่อนที่เธอจะมองไปยังล้อข้างหลังของจักรยาน
“ยกล้อหลังให้หน่อยค่ะ”
เขายกล้อหลังให้เธอ
เพียงชั่วอึดใจหนึ่งรถจักรยานของเธอก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ชายหนุ่มลุกขึ้น พร้อมกับที่เธียรธาราเองก็ลุกขึ้น เธอยกมือไหว้ ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มสว่างไสว “ขอบคุณมากค่ะ”
ทว่าเพียงครู่เดียวหญิงสาวก็ทำท่าตกใจ ชี้ไปที่มือเขา “มือคุณเลอะหมดแล้ว” เธอแกะห่อกระดาษชำระ ดึงกระดาษออกมาจำนวนมากส่งให้เขา “ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ นาฬิกากับเสื้อของคุณเลอะหมดเลย ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
เธอรู้สึกแย่นิดหน่อยที่นาฬิกาสีขาวตรงข้อมือเขามีรอยดำๆ แม้จะมองไม่ชัดเท่าไร แต่หญิงสาวก็พอจะเดาได้ว่าแขนเสื้อสีครีมของเขาก็เป็นรอยเปื้อนดำๆ เช่นกัน
ฟ้าร้องดังครืน ฝนเริ่มลงเม็ดหนัก ดึงความสนใจของเธอไปเสียสิ้น
รอยยิ้มปรากฏขึ้นตรงมุมปากของชายหนุ่ม เขาเอ่ยได้แต่เพียงว่า “ไม่เป็นไร”
เธอค้อมศีรษะอีกครั้ง “ฝนตกแล้ว ขอบคุณอีกครั้งค่ะ” เลิกสนใจเขา รีบคว้าจักรยานปั่นออกไปไกลโดยไม่ได้หันกลับมาอีก
เธียรธาราคิดว่าจะจดจำใบหน้าและท่าทางของเขาไว้ เผื่อมีโอกาสได้ตอบแทนพลเมืองดีคนนี้ ทว่าด้วยเพราะลืมใส่แว่นตาออกมา กับคนที่สายตาสั้นแบบเธอ ตอนนี้คิดจะจำก็คงจำได้แค่สีชุดกับน้ำเสียงของเขาเท่านั้น
เย็นวันอังคาร
กรมอุตุนิยมวิทยายังคงรักษามาตรฐานที่ดีเอาไว้ได้อย่างน่าเจ็บใจ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มแข่งกับสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ละอองฝนไม่น้อยกระเซ็นเข้ามาจากช่องสี่เหลี่ยมด้านบนของรถ กลิ่นควันจากรถโดยสารสีแดงเจือกับกลิ่นของฝนและน้ำจากพื้นถนน เธียรธาราบอกไม่ถูกเหมือนกันว่ากลิ่นมันเป็นยังไง ตอนนี้เธอรู้เพียงแค่ว่าท้องไส้กำลังบิดมวน และกลิ่นคลัทช์ไหม้กำลังปั่นป่วนในช่องท้องจนอยากจะกระโดดลงจากรถแดงเสียตอนนี้ กระนั้นแล้วหญิงสาวก็ยังคงนั่งเกร็งอยู่ด้านหลังของรถแล้วพยายามจับราวด้านบนเพื่อไม่ให้ตัวเองไถลไปกับพื้นของรถที่ลื่นจากน้ำฝนที่กระเซ็นเข้ามา
บนรถโดยสารด้านหลังมีผู้โดยสารอีกสองคนนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธียรธารา ทั้งสองเป็นคู่รักวัยรุ่นที่ไม่มีทางแยกออกจากกันจนกว่าฟ้าดินจะสลาย มือของทั้งสองประสานกันแนบแน่น ดวงตาที่มองกันหวานเชื่อม มันคงจะหวานหยดกว่านี้หากทั้งสองไม่ใช่ผู้ชายทั้งคู่
เธียรธาราแทบจะเอื้อมมือกระชากแขนของคนทั้งสองออกจากกัน กลิ่นความรักลอยตลบอบอวล ชวนคลื่นเ**ยนไม่ต่างกับกลิ่นคลัทช์ไหม้หรือกลิ่นน้ำครำบนถนนแม้แต่น้อย ทว่าหญิงสาวก็ทำเหมือนไม่ได้สนใจแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วจดจ่อกับข้างทาง
เหม็นความรัก
รถแดงพาเธอมาถึงก่อนเวลารถทัวร์ออกราวๆ สองชั่วโมง การเดินทางตอนเย็นค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่ถ้าเกิดว่าท้องยังว่าง
เธียรธาราแวะร้านอาหารเหนือที่เธอเคยฝากท้องทุกครั้งเมื่อต้องเดินทางโดยระบบขนส่งทางบก เธอสั่งน้ำพริกอ่องและไส้อั่วโดยไม่คิดจะมองเมนูอื่นๆ แม้แต่น้อย หญิงสาวมักจะเลือกอาหารที่กินง่ายและถูกกับท้องของเธอที่สุด เพื่อป้องกันปัญหาที่แก้ไขลำบากเมื่ออยู่บนรถทัวร์
“คราวนี้ไปไหนเจ้า”
แม่ค้ายื่นเงินทอนพร้อมกับส่งน้ำดื่มในขวดให้ เธียรธารารับของมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ไปกรุงเทพเจ้า”
“ไปแอ่วกา?”
“ทำงานเจ้า”
แม่ค้าเลิกคิ้ว พลางอมยิ้มอย่างเข้าใจ “คนหนุ่มสาวต้องแสวงหาความเจริญก้าวหน้า โชคดีมีชัยเน่อ[1]อี่น้อง”
เธียรธาราหัวเราะน้อยๆ ดวงตาคมซึ้งเป็นประกาย แม้จะมีวูบหนึ่งที่แฝงแววเศร้าสร้อย ทว่าก็เป็นเพียงวูบเดียวจนไม่มีใครสังเกต
รสชาติอาหารยังคงเหมือนเคย รสมือของคนทำยังไม่เคยเปลี่ยน หลายสิ่งหลายอย่างยังคงเหมือนเดิม
“อุ๊ย!”
เพราะความเหม่อลอยทำให้ฝาของขวดน้ำดื่มหลุดมือกระเด็นกลิ้งไปบนพื้น หญิงสาววิ่งไล่ตะครุบ แม้ว่ามันจะสกปรกแล้วและอาจใช้ไม่ได้อีก แต่กระนั้นแล้วจิตสำนึกก็ยังคงบอกให้เธอไล่เก็บมันขึ้นมาเพื่อนำไปทิ้งถังขยะ
และแล้วฝาขวดน้ำก็หยุดลงเพราะกระทบกับรองเท้าผ้าใบของใครคนหนึ่ง
มือเรียวของคนคนนั้นเอื้อมลงมาหยิบฝาขวดน้ำ ทว่าที่สะดุดตาเธียรธารากลับเป็นนาฬิกาสีขาวที่มีรอยดำๆ เป็นตำหนินั่นต่างหาก
“คุณ…”
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้น เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย คล้ายกับกำลังระลึกอะไรสักอย่าง ก่อนจะคลี่ยิ้มจนเห็นไรฟันขาวสะอาด
เครื่องหน้าที่ปรากฏทำให้เธียรธาราแทบจะหยุดหายใจ
“คุณคนเมื่อวาน” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น เขาลุกขึ้นเต็มความสูง ก้าวมาหาเธอ “ใส่แว่นตาแล้วจำแทบไม่ได้เลย”
หญิงสาวรีบหุบปากที่อ้าค้าง รับฝาขวดน้ำแล้วรีบกล่าวขอบคุณ “ขอโทษด้วยค่ะ เมื่อวานไม่ได้ตอบแทนอะไรเลย”
“ฝนกำลังจะตกหนัก”
เธียรธาราสูดลมหายใจลึกๆ มือไม้ไม่รู้จะเก็บเอาไว้ตรงไหน ความสูงของเขาคงไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ขนาดที่ว่าเธอสูงเกือบร้อยเจ็ดสิบก็ยังต่างกับเขาพอสมควร หญิงสาวรีบก้มหน้ามองปลายเท้า ทำตัวราวกับเด็กที่กำลังทำความผิด แค่เขายิ้มเมื่อครู่ เธอก็ตัดสินใจได้แล้วว่าไม่ควรมองหน้าเขานาน
หล่อปะล้ำปะเหลือ
เธียรธาราหวีดในใจ
นาฬิกาสีขาวที่เปื้อนน้ำมันสีดำปรากฏในครรลองสายตา เธียรธารารู้สึกผิด แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี
“นาฬิกาคุณเปื้อนแบบนี้ ไม่เป็นไรเหรอคะ”
“ไว้กลับบ้านค่อยจัดการ”
“อ้อ…”
“ไม่ต้องกังวลครับ ผมไม่ได้ว่าอะไร” เขารีบเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าเธอสนใจนาฬิกานานเกินไป
“ขอบคุณนะคะ แต่ฉันต้องรีบไปแล้ว”
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าชายหนุ่มกำลังมองเธออยู่ เขาอมยิ้ม ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
ผิวพรรณของเขาสะอาดสะอ้าน ผมตัดสั้นทว่าไม่ได้จัดทรงอะไรมากทำให้ดูเหมือนอายุไม่เกินยี่สิบสี่ยี่สิบห้า คิ้วโครงของเขาเด่นชัดทว่าไม่ได้รกจัด มันยังคงได้รูปและส่งเสริมให้ดวงตาสีดำเข้มชัดเจนในความรู้สึก จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูป กลิ่นอายรอบตัวของเขาให้ความรู้สึกสดชื่น เสมือนกลิ่นของธรรมชาติที่น่าผ่อนคลาย
อันตราย…
สายตาคมกล้าที่เหมือนกำลังสำรวจความคิดของเธอทำให้หญิงสาวรีบหันหลังให้แล้วกลับไปยังโต๊ะอาหารของตัวเอง หากว่าเธอยังอยู่ต่ออีกนิด ต้องเผลอทำอะไรบ้าๆ แน่ๆ
[1] เน่อ หรือ เน้อ ก็ได้แล้วแต่สำเนียงในแต่ละจังหวัดและอำเภอ ถ้าเป็นในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่มักจะออกเสียง เน้อ แต่ถ้าหากเป็นคนแถบอำเภออื่นในบางอำเภอ หรือเป็นภาษาเหนือสำเนียงของภาคเหนือตอนบนจังหวัดอื่นอาจจะออกเสียงห้วนกว่านี้ ก็จะออกเสียงเป็น เน่อ ในภาษาเหนือใช้สำหรับลงท้ายคำพูดเหมือนเป็นคำสร้อย ให้ความรู้สึกเหมือนลงท้ายด้วยคำว่า นะจ๊ะ