ตอนที่ 2 โลกกลมหรือพรหมลิขิต
พบเจอกันครั้งแรก…คนเรียกกันว่ามันคือเรื่องบังเอิญ
พบเจอกันครั้งที่สอง…ยังนับได้ว่าโชคชะตาเล่นตลกอะไร
ทว่าพบเจอกันครั้งที่สาม…เธียรธาราอยากตอบแบบเข้าข้างตัวเองว่ามันคือพรหมลิขิตจริงๆ
บนรถทัวร์อากาศเย็นจัด เนื่องจากเครื่องปรับอากาศและเพราะข้างนอกฝนตก แว่นตากรอบหนาของเธียรธารายังคงปรากฏไอหมอกบางเบา ทว่ากระนั้นแล้วหญิงสาวกลับจดจำเงาร่างของคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ได้อย่างแม่นยำ
ห้าก้าว…
ชายหนุ่มเหมือนจะเห็นเธอแล้ว
สี่ก้าว…
ตรงอกซ้ายของเธอกระตุกวูบ
สามก้าว…
ใจที่กระตุกค่อยๆ เต้นแรงขึ้นอย่างไม่อาจหักห้ามได้
สองก้าว…
หญิงสาวคว้าหูฟังขึ้นมาเสียบพร้อมกับเปิดเพลงในโทรศัพท์มือถือเสียงดัง ทำทีเป็นบิดขี้เกียจและ…
หนึ่งก้าว…
เธอหลับตาลง ศีรษะพิงกับกระจกรถทั้งๆ ที่ยังสวมแว่นตาอยู่ กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ลอยกรุ่นในอากาศ พร้อมกับที่เบาะข้างตัวยวบลง ไออุ่นจากคนข้างกายกำลังย้ำเตือน
อาจเป็นพรหมลิขิตจริงๆ ก็ได้
อิราเอียงหน้ามองคนตัวเล็กกว่า เธอหลับตาลงขณะที่เสียงเพลงจากหูฟังดังออกมาจนเขาได้ยินชัดแจ๋ว ที่สำคัญตอนหลับแบบนี้เธอเองก็ยังไม่ยอมถอดแว่นตาเสียนี่
ครืด~ ครืด~ ครืด~
“ครับปู่”
ชายหนุ่มรับโทรศัพท์เสียงเบา เขาละสายตาจากใบหน้าของหญิงสาว จดจ่อกับประโยคสนทนาของปลายสายที่ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“ฝนตกหนักเลยทำให้งานช้ากว่าที่คิด ผมตกเครื่องด้วย ตอนนี้อยู่บนรถทัวร์ครับ”
ถึงแม้ว่าจะมีสมาธิกับปลายสาย แต่อิราก็สังเกตเห็นว่าคนข้างๆ กำลังขดตัวเพราะความเย็น ชายหนุ่มเลิกคิ้วกวาดตามองหาผ้าห่มที่ติดมากับที่นั่ง สักพักจึงเห็นว่ามือบางจัดการคลี่ผ้าห่มคลุมตัวเองทั้งๆ ที่ตายังปิดสนิทอยู่
ขี้เซาจริง
“ครับปู่ ถึงแล้วผมจะโทรบอกครับ”
ดึกดื่นค่อนคืน ในรถมีแต่เสียงแอร์เย็นและเสียงลมหายใจอันสงบนิ่งของคนรอบตัว อิรานอนไม่หลับมาตลอดทาง อาจเป็นเพราะไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเดินทางแบบนี้นัก จึงทำให้เขาไม่สบายตัวสักเท่าไร จะมีก็แต่หญิงสาวแปลกหน้าข้างตัวนี่ล่ะ ขี้เซาจนไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เธอกำลังหนุนไหล่เขาอยู่ กลุ่มผมดำขลับกรุ่นกลิ่นหอมกำจาย กระนั้นก็แลดูยุ่งเหยิงปกคลุมใบหน้า แว่นตาเอียงกระเท่เร่ จนอิราไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี เห็นเธอขดตัวกลมก็อดไม่ได้ที่จะเสียสละผ้าห่มให้เธออีกผืนหนึ่ง
รถจอดพักให้ผู้โดยสารทานอาหาร อิราจึงคิดลุกไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อย เห็นทีจะมีแต่หญิงสาวที่นั่งข้างกายเขานี่แหละที่ไม่คิดจะลุกไปไหน ครั้นไฟในรถโดยสารเปิดสว่าง เธอก็หยีตาด้วยความรำคาญ แว่นตาเอียงกระเท่เร่ จากนั้นจึงใช้ผ้าห่มต่างหมอนแล้วนอนหนุนกระจกหน้าต่างอีกครั้ง
เมื่ออิรากลับมาจึงเห็นว่าหญิงสาวขี้เซาคนนี้ได้ท่านอนท่าใหม่อีกแล้ว
แขนข้างหนึ่งของเธอเบียดหน้าต่างไว้ หูฟังคล้องคอไว้ ผ้าห่มที่ตู่เป็นของตัวเองกองอยู่บนตัก ขาเรียวภายใต้กางเกงยีนเหยียดไปใต้เบาะของคนข้างหน้า อิรามองภาพนั้นครู่ใหญ่จึงนั่งลง
ทว่าประกายบางอย่างก็สะท้อนเข้านัยน์ตาของชายหนุ่มจนต้องหันไปมองหญิงสาวอีกครั้ง
หยกน้ำผึ้งรูปทรงคุ้นเคยปรากฏในครรลองสายตา
ตัวหยกน้ำผึ้งผูกไว้ด้วยเชือกสีดำอย่างง่าย ทว่าภาพบางอย่างที่ซ้อนทับตรงหน้าทำให้อิราตัวชาวาบ จู่ๆ ในอกก็กระตุกวูบ ในท้องพลันบิดมวนวูบโหวง ความรู้สึกอย่างหนึ่งปะทุขึ้นมาเสียจนดวงตาคมคลอไปด้วยน้ำตา
แม้ไม่ใช่ แต่กลับคล้ายคลึง แม้ไม่เหมือน แต่กลับทำให้ใจสั่นไหวเหลือเกิน
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะ รีบเบนสายตาหนี หัวใจของเขาเต้นแรง ลมหายใจหอบถี่คล้ายกับคนที่เพิ่งผ่านการวิ่งระยะไกล แผ่นหลังพลันหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
เป็นไปได้หรือ…พบกันแล้วหรือ?
เขามองร่างเล็กตรงหน้าตาค้าง ในใจสับสนวุ่นวาย จากที่คิดว่าจะพักสายตาสักหน่อย ตอนนี้กลายเป็นว่าข่มตาไม่ลงเสียแล้ว
ฟุบ!
ศีรษะเล็กๆ เอนซบเขาอีกครั้ง ครานี้อิราสะดุ้งตัวโยน ใจเต้นแรงเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ กลิ่นหอมหวานที่แผ่กำจายมา ปลุกเร้าความทรงจำเก่าก่อนราวกับน้ำป่า
สับสนระคนยินดี
ก่อนหน้านี้ที่พบเธอโดยบังเอิญ เป็นเพราะเขายอมทำตามสัญชาตญาณส่วนลึกในใจ และความรู้สึกนี้ ก่อนหน้านั้นเขาเคยได้สัมผัสมันจากคนคนหนึ่ง
คนที่ไม่เคยเห็นหน้าตา...แต่กลับสัมผัสถึงตัวตนได้จากตัวอักษรที่ส่งมาทุกครั้ง กระทั่งวันหนึ่งเขาหายไปและไม่ได้ติดต่อคนผู้นั้นอีกเลย
เราเดินตามหากลิ่นนั้น…กลิ่นดอกแก้ว
ตอนนี้ดอกแก้วกลับมาหาพี่แล้วหรือไม่?