ตอนที่ 4 สัญญาณ
อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายและหัวใจทำให้อิราตัดสินใจขอลงที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาพร้อมกับผู้โดยสารกลุ่มหนึ่ง
เขาโทรแจ้งบ้านที่กรุงเทพแล้วแวะอยุธยาเพื่อพบกับผู้เป็นตา ก่อนจะวางแผนนั่งรถเข้ากรุงเทพในช่วงบ่าย และเพื่อลดความว้าวุ่นในใจชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินเท้าเปล่าเข้าไปในบ้านสวนซึ่งอยู่ห่างจากถนนใหญ่ราวห้ากิโลเมตร
เผื่อบางทีการออกกำลังจะช่วยให้มีสติขึ้นมาบ้าง อีกอย่างอากาศช่วงเช้ามืดค่อนข้างเย็นสบาย และทางผ่านเป็นย่านชุมชนที่ผู้คนมักออกมาจ่ายตลาดตั้งแต่เช้ามืด เรื่องอันตรายระหว่างทางจึงไม่ถูกนำมาใส่ใจนัก
บ้านสวนของคุณอินทนิลเป็นเรือนไทยโบราณอายุเกือบสองร้อยปี โครงสร้างบางส่วนอาจมีอายุมากกว่านั้น หลายครั้งที่มีเศรษฐีใหญ่มาขอซื้อทั้งหลัง บางทีก็มีคนมาขอซื้อจั่วบ้าน ทว่าเจ้าของบ้านคร้านจะไปใส่ใจ เพราะทุกครั้งที่มีคนเอ่ยปากขอซื้อบ้านหรืออยากได้ชิ้นส่วนบางอย่าง ก็มีอันต้องพบเจอกับเรื่องพิสดารจนไม่อาจสมใจปรารถนาทุกครั้งไป
ครั้งล่าสุดที่อิราจำได้คือบ้านสวนถูกโจรกลุ่มใหญ่ปล้นบ้าน ทว่าเป็นเพราะอะไรมิอาจทราบได้ โจรร้ายกลุ่มนั้นจู่ๆ ก็เกิดคลุ้มคลั่ง ต่อยตีกันเสียงดังโวยวาย พอดีกับที่คุณสรรักษ์บุตรชายคนโตของคุณตาอินทนิลพาครอบครัวมาพักผ่อนที่บ้านเกิด อาศัยที่มีเพื่อนเป็นนายตำรวจใหญ่อยู่แถบนี้ เพียงสิบนาทีพวกโจรร้ายก็ถูกตำรวจจับกุมไปได้ทั้งหมด เหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้ทำเอาคุณผ่องศรีเป็นลมจนเกือบเข้าโรงพยาบาล
“เข้าไปกราบพระสิ” ชายร่างสูงใหญ่เปิดประตูห้องพระ เขาสวมเสื้อและกางเกงที่ทำจากผ้าฝ้ายสีขาว เส้นผมสีดอกเลาตัดสั้นเรียบร้อย ใบหน้ามีริ้วรอยตามวัยหากแต่มีเค้าโครงคมคร้ามไม่น้อย รวมไปถึงดวงตาคมกล้าไม่คล้ายกับคนอายุเกินเจ็ดสิบปีนั้นยังคงเหมือนคนที่มองอะไรแจ่มชัดอยู่เสมอ โดยเฉพาะยามมองหลานชายคนโปรดที่คลานเข่าเข้าไปกราบพระทันที
อิราเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าผสมผสานระหว่างเชื้อสายไทยและจีนได้อย่างลงตัว ดวงตาสองชั้นซึ่งหลายคนให้ความเห็นว่าตาสวยเสียยิ่งกว่าผู้หญิงได้รับสืบทอดมาจากคุณเจียวผู้เป็นย่า จมูกโด่ง ปากอิ่มเต็มเหมือนกับอรศรีมารดาของอิรา ทว่าโครงหน้าที่มีเหลี่ยมมุมชัดเจนกลับได้มาจากคุณอิศราปู่ของเขา สิ่งที่น่าประหลาดคือผิวพรรณเนียนละเอียดซึ่งได้รับจากย่ามา เพราะคุณย่าของเขาเป็นคนจีนแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ลูกหลานทางฝั่งบิดาทุกคนล้วนได้รับผิวพรรณจากคนเป็นปู่ซึ่งเป็นคนผิวสองสี หรือหากเป็นฝั่งมารดา ก็ไม่มีใครขาวจัดอย่างนี้ อิราจึงมักถูกคุณผ่องศรีผู้เป็นยายเรียกว่า “พระลอของบ้าน”
คุณผ่องศรีเป็นลูกสาวขุนนางเก่า แม้ว่าจะเติบโตมากับวัฒนธรรมสมัยใหม่ แต่นางก็ชื่นชอบการอ่านวรรณคดีไทยมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะเรื่องลิลิตพระลอ[1]
และชื่ออิน ก็มาจาก อินทร์ ที่เพลงโปรดของคุณผ่องศรีนั่นเอง
รูปดังองอินทร์ หยาดฟ้ามาสู่ดิน โสภิณดังเดือนดวง เหนือแผ่น ดินแดนสรวง เหนือปวงหนุ่มใด[2]~
อิราจำได้ว่าตอนอายุสิบห้าปี เขาไปค้นหาเรื่องลิลิตพระลอมาอ่าน ยิ่งอ่านยิ่งได้เห็นกลอนชมโฉมบทอื่นเข้า ชายหนุ่มถึงขั้นงอนคุณผ่องศรีเป็นนาน และย้ายไปอยู่บ้านที่กรุงเทพจนโต
ผู้ชายสวย มีที่ไหนกันเล่า!
“ปกติอินทำอะไรวางแผนก่อนเสมอ วันนี้ทำไมร้อนรนแปลกๆ”
คุณตาอินทนิลยื่นขันน้ำให้ผู้เป็นหลานทันทีที่เขาออกมาจากห้องพระ
ใบหน้าของอิราอิดโรย เขาดื่มน้ำอึกใหญ่ แววตาสับสนไม่เหมือนยามปกติ
คุณตาอินทนิลระลึกถึงครั้งล่าสุดที่อิรากระวนกระวายจนสูญเสียความสงบนิ่งคือเมื่อสามปีที่แล้ว…ช่วงเบญจเพส
“อินเห็น…หรือเจอแล้ว”
ชายหนุ่มสบตากับผู้สูงวัย “ทั้งเห็น ทั้งเจอ ทั้งรู้สึกครับ”
คุณตาอินทนิลหัวเราะในลำคอ “มานั่งก่อน ยายผ่องศรีไปถือศีล ไม่ต้องกลัวตื่นมาร้องเพลงกล่อมหลานหรอก” เห็นอิรายืนเกร็งก็อดเอ็นดูผู้เป็นหลานไม่ได้
“ผมเปล่า”
ผู้เป็นตาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ช่างเถอะๆ จะไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาก่อนไหม”
“ก็ดีครับ”
“อืม...ของอยู่ในห้องอินก็ไปใช้ได้เลย ตาให้แม่แจ่มเขาเตรียมไว้เมื่อหลายวันก่อน”
อิราเลิกคิ้วเล็กน้อย ทว่ารอยยิ้มของคุณตาอินทนิลกลับเป็นรอยยิ้มของผู้ที่มองเห็นโลกอย่างทะลุปรุโปร่ง ชายหนุ่มไม่ถามอะไรเพิ่ม เขารับคำ เก็บขันน้ำ จากนั้นจึงเดินไปยังห้องนอนของตัวเอง
แม่แจ่มเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้านนี้จนทุกคนให้ความเคารพเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ทว่านางยังคงทำตัวเป็นแม่บ้านใหญ่ที่คอยรับใช้เจ้าของบ้านอย่างที่เคยเป็น แต่ด้วยเพราะแม่แจ่มสุขภาพไม่ค่อยดีนัก พักหลังจึงให้หลานสาวไปช่วยดูแลคุณยายผ่องศรีที่ไปปฏิบัติธรรมแทน
พอคล้อยหลังชายหนุ่ม คุณตาอินทนิลจึงเก็บรอยยิ้ม ดวงตาเจนโลกฉายแววกังวลเล็กน้อย เขาถอนหายใจ เดินกลับไปยังห้องพระอีกครั้ง
อิราอาบน้ำแปรงฟันเสร็จก็รีบเข้าไปในห้องพระ เห็นคุณตาอินทนิลกำลังนั่งสมาธิจึงไม่คิดส่งเสียง กลิ่นหอมของธูปและเทียนทำให้เลือดในกายของเขาสงบลง
“หลานกลัวอะไร”
เสียงทุ้มแหบของคุณอินทนิลดังขึ้น เขาสบตากับผู้เป็นหลาน
“ไม่รู้สิครับ”
อิรารู้เรื่องบางเรื่องมาสักพักแล้ว แต่ไม่คิดว่าพอถึงเวลาเจอกับตัวจริงๆ แล้วจะทำให้กระวนกระวายแบบนี้ เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ยังคงสดใหม่ในความทรงจำของเขา และหลังจากเข้าสู่ช่วงเบญจเพส อิราก็ได้รับรู้ว่าพรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่เกิดไม่ได้เป็นเพียงแค่พรสวรรค์ แต่ยังเป็นเสมือนคำสาปอีกด้วย
คนที่ไม่อยากเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างเขา กลับไม่อาจสลัดเรื่องเหล่านี้ให้หลุดพ้นจากสมองได้สักที
ท่าทางนั่งห่อไหล่ไม่สมกับเป็นชายหนุ่มอนาคตไกลทำให้คุณตาอินทนิลเอื้อมมือบีบไหล่หลานชายเบาๆ รอยยิ้มเมตตาปรากฏบนใบหน้า “ไม่ต้องตามหา ไม่ต้องร้องเรียก หากเป็นกรรมแล้ว อย่างไรก็ต้องผูกพันกันจนได้”
“ครับคุณตา”
“ไปเชียงใหม่ไม่มีของฝากเลยเรอะ” คำถามนี้ทำลายบรรยากาศอึดอัดไปเสียสิ้น
เสียงจริงจังนั้นทำให้อิราหลุดยิ้มวูบหนึ่ง “ของฝากคงเป็นหลานสะใภ้มั้งครับ” อิราพูดโดยไม่ได้คิดอะไร เขานอนคืนเดียวก็ต้องรีบกลับ เอาเวลาที่ไหนไปซื้อของฝากเล่า ทั้งยังไม่ได้วางแผนจะแวะบ้านสวนเสียด้วยซ้ำ
“ฮ่าๆ ดีๆ ๆ ๆ”
“ผมพูดเล่นครับ”
ทว่าสีหน้าของผู้เป็นตากลับจริงจังเสียยิ่งกว่าครั้งไหน “ไอ้หนุ่ม ระวังคำพูดไว้นะ เป็นจริงขึ้นมาจะขำไม่ออก”
อิราหัวเราะขืนๆ คุณตาหมายถึงแม่ดอกแก้วดอกนั้นหรือ คงยากหน่อยล่ะมั้ง
“นิมิตของคุณตายังบอกไม่ได้ว่าเธอเป็นใคร ทำไมถึงต้องพบกัน แล้วแบบนี้จะหวังพึ่งได้หรือครับ”
“นิมิตฉันบอกไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายว่าเรื่องที่แกเห็นไม่ใช่เรื่องจริงนี่ รู้หรือเปล่าว่ายิ่งหนียิ่งเจอน่ะ” คนแก่หัวเราะหึๆ “อดีตก็ช่างหัวอดีตมันสิ คนสมัยนี้เขาต้องทำตามหัวใจเรียกร้อง อายุปูนนี้รีบหาสาวที่ถูกใจแล้วจับแต่งงานทำเหลนให้ตาเถอะ คิดมากไปก็ปวดหัว ฮ่าๆ”
ชายหนุ่มถอนหายใจ จริงจังได้พักเดียวคุณตาของเขาก็เริ่มเลอะเทอะอีกแล้ว แบบนี้ไงเขาถึงกลัวอยู่ลึกๆ
คล้ายกับอ่านใจหลานชายออก คุณตาอินทนิลเลยหยอกเล่นสักหน่อย เขาโน้มใบหน้ากระซิบข้างหูหลานชาย “ภายในเจ็ดวันนี้ อินจะได้เจอคนที่เคยพบกันเมื่อนานมาแล้ว พอได้สบตาเขาอีกครั้ง อินจะรู้โดยสัญชาตญาณว่าไม่สามารถละสายตาไปจากคนคนนั้นได้ ถึงแม้ตอนนี้อินจะคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลที่ตัวเองพยายามปฏิเสธก็ตาม แต่พอถึงตอนนั้น อินจะรู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกกำลังบีบรัด เหมือนมีแต่คนคนนั้นเป็นสีสันเดียวในชีวิตจนไม่สามารถมองเห็นสีสันอื่นในโลกนี้ได้อีก บอกไว้เลยถ้าหากช่วงเวลานั้นมาถึง จับล่ามโซ่ให้แน่นหนาเลยนะ”
อิราสะดุ้ง “จะบ้าเหรอครับ ผมไม่ใช่มิสเตอร์เกรย์นะ ใครเอาหนังพวกนี้ให้ตาดูครับ”
คุณตาอินทนิลตบเข่าฉาด “อุ๊บ๊ะ! อินยังเล่นเน็ตเล่นเฟสสะบุ๊กได้ ซื้อหนังในแอมะซอนมาดู มันจะยากแค่ไหนเชียววะ”
อิราตบหน้าผากตัวเอง นึกขึ้นได้ว่าพี่ชายเพิ่งสอนให้ปู่ตาย่ายายเล่นสมาร์ตโฟนเมื่อปีก่อน พร้อมกับซื้อแท็บเล็ตขนาดใหญ่เพื่อไม่ให้คนแก่ใช้สายตาหนักเกินไป
คุณตาอินทนิลทิ้งท้าย “หลานข้าเป็นอัจฉริยะ คนเป็นตาจะโง่ได้ยังไง อุ๊แหม่”
อิราเพิ่งนึกขึ้นได้…ในไลน์กรุปครอบครัวยังมีข้อความที่คุณยายและคุณย่าของเขาส่งหากันทุกวัน
สวัสดีวันจันทร์…
[1] ลิลิตพระลอ ถูกแต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระณารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) ในสมัยอยุธยา ไม่ปรากฏผู้แต่ง เป็นลิลิตโศกนาฏกรรมความรัก ที่แต่งขึ้นอย่างประณีตงดงาม มีความไพเราะของถ้อยคำ และเต็มไปด้วยสุนทรียศาสตร์ พรรณนาเรื่องด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ใช้กวีโวหารอย่างยอดเยี่ยม ในการบรรยายเนื้อเรื่องที่มีฉากอย่างมากมาย หลากหลายอารมณ์ โดยมีแก่นเรื่องแบบรักโศก หรือโศกนาฏกรรม และแฝงแง่คิดถึงสัจธรรมของชีวิต ลิลิตพระลอนี้เคยถูกวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนจากนักวรรณคดีบางกลุ่ม เนื่องจากเชื่อว่าเป็นวรรณกรรมที่มอมเมาทางโลกีย์
[2] เพลงยอยศพระลอ ประพันธ์โดย พยงค์ มุกดา (ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ประเภทการประพันธ์เพลงไทยสากล-ลูกทุ่ง ปี 2534) ขับร้องโดย ชินกร ไกรลาศ