ปรารถนา ที่ 6
ช่อดอกไม้จากพี่สาว
กิริยาต่ำทราม
“คารวะท่านประมุขหลี่ คารวะคุณหนูหลี่เจ้าค่ะ”
กงลี่อินกำลังนั่งพูดคุยอยู่กับสาวใช้ส่วนตัวบริเวณด้านหน้าเรือนซึ่งมีสาวใช้เดินไปมาพลุกพล่านด้วยกำลังขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ของนางจากแคว้นฮุยผิง
เมื่อผู้เป็นเจ้าของบ้านมาเยือน เด็กหญิงจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วยอบกายทำความเคารพอย่างงดงาม ฉายชัดว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี แม้จะยังเยาว์วัยแต่ก็วางกิริยามารยาทได้ดั่งผู้ใหญ่จนเหล่าสาวใช้บริเวณนั้นต่างรู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ
“ลี่เอ๋อร์...ลุงบอกหลายครั้งแล้วว่าอย่าเรียกท่านประมุข แต่ให้เรียกท่านลุง”
ตำหนิออกไปด้วยน้ำเสียงเจือแววเอ็นดู และนั่นทำให้เยว่ชื่อแทบจะเบ้ปากกลอกดวงตา อยากจะยื่นกำปั้นน้อยๆ ทุบลงไปที่เบ้าตาของบิดา แล้ววิ่งไปฟ้องมารดาว่าบิดาทำเรื่องเลวทรามอันใดไว้
แต่...
แค่คิดว่าหากความลับนี้เปิดเผย น้ำตามากมายจะอาบไล้ลงบนใบหน้างดงามของมารดา รอยยิ้มสดใสที่มักยิ้มให้กับลูกๆ คงจางหายไป
แค่คิด...เยว่ชื่อก็ปวดแปลบไปทั้งหัวใจ จึงได้แต่เก็บความคิดเหล่านั้นเอาไว้ แล้วคิดหาหนทางอื่นที่แยบยลและไม่ทำให้มารดาต้องเจ็บปวด
คิดพลางฝืนยิ้มออกไปอย่างอ่อนหวาน
“ตะ...แต่ว่าข้าไม่บังอาจหรอกเจ้าค่ะ ท่านประมุขคือผู้มีพระคุณของข้า ขะ...ข้า”
“ข้าคือสหายของบิดาเจ้า บุตรของสหายก็นับเป็นบุตรของข้าเช่นกัน ลี่เอ๋อร์เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ข้าได้ให้สัญญาต่อหน้าหลุมศพของบิดาเจ้าแล้ว ว่าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี จะส่งเสียให้ส่งเจ้าได้แต่งงานไปกับชายตระกูลดีๆ ให้เจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากที่สุด ดังนั้นอย่ากังวลไปเลยนะลี่เอ๋อร์ คิดเสียว่าจวนหลังนี้ก็คือบ้านอีกหลังของเจ้าเถอะ”
กงลี่อินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองสบตาผู้อาวุโสกว่าด้วยประกายตาที่เต็มไปด้วยความตื้นตัน ในขณะที่อีกฝ่ายแย้มยิ้มอย่างอบอุ่น
“เจ้าค่ะท่านลุง”
“ต้องอย่างนั้นสิ”
ประมุขหลี่หัวเราะชอบใจเมื่ออีกฝ่ายเรียกเขาว่า ‘ท่านลุง’ นับจากจ้าวเฟยคลอดเด็กคนนี้ออกมา เขาก็แทบไม่ไปเหยียบจวนสกุลกวงอีกเลยเพราะความละอายที่เกาะกินใจ กว่าจะได้พบหน้าเด็กหญิงก็เติบโตถึงเพียงนี้แล้ว
“ลี่เอ๋อร์มานี่สิ ชื่อเอ๋อร์อยากจะมาพูดคุยกับเจ้า”
พูดพลางวางบุตรสาวออกจากอ้อมแขน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ลี่อินก้าวเข้ามา เด็กสาวทั้งสองจึงยืนประจันหน้ากัน
ความสูงที่ไล่เลี่ยกัน
ความงดงามน่ารักที่ใกล้เคียงกัน
ทำให้ทั้งสองคล้ายกันดั่งพี่น้องคลานตามกันออกมา
/ไม่ชอบเลย ไม่ชอบมากๆ ทำไมก็ไม่รู้แต่ข้าไม่ชอบนางเอาเสียเลย!/
แม้จะได้ยินความในใจเช่นนั้น แต่เยว่ชื่อก็ยังฉีกยิ้มกว้างอย่างมีไมตรี
แอบแค่นหัวเราะกับความในใจของเด็กหญิงวัยแปดหนาว เป็นความในใจที่ไม่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
ศัตรูของข้าในชาตินี้คือเด็กแปดขวบงั้นหรือ ช่างน่าขันเสียจริงเชียว!
“เพราะข้าปล่อยปะละเลยไม่ดูแลสุขภาพจึงทำให้ข้าเป็นลม หวังว่าคุณหนูกงจะไม่ถือสาและอภัยให้กับข้าที่เสียมารยาทด้วย”
“ข้าจะถือสากับความเจ็บป่วยได้อย่างไรกันเล่า ว่าแต่คุณหนูหลี่อาการดีขึ้นแล้วหรือเจ้าคะ”
“แน่นอนว่าดีขึ้นมากแล้ว”
“ข้าได้ยินเช่นนั้นก็เบาใจเจ้าค่ะ”
“และนี่เป็นช่อดอกไม้ที่ข้าตั้งใจนำมาฝากเจ้า ต่อจากนี้เราสองคนมาสนิทกันเถอะนะ ข้าฝันอยากมีน้องสาวมานานแล้ว”
พูดพลางส่งช่อดอกไม้ยื่นไปให้ จงใจยื่นไปใกล้แทบชิดใบหน้าอีกฝ่าย สาวใช้หลายคนเริ่มรามือจากการทำงานแล้วแอบมองเจ้านายน้อยกำลังยื่นช่อดอกไม้ให้กับแขกใหม่ผู้มาเยือนด้วยความเอ็นดู
/คุณหนูของข้าช่างมีน้ำใจเหลือเกิน สมแล้วที่เกิดมาพร้อมกับช้อนทองเช่นนี้/
ผลัวะ!
แต่ทุกคนกลับต้องตกใจเมื่อจู่ๆ กงลี่อินก็ยกมือขึ้นตบช่อดอกไม้สุดแรง พลางส่งเสียงหวีดร้องออกมาเสียงหลง
“กรี๊ด! เอาออกไปนะ! เอาออกไป!”
ช่อดอกไม้แสนหวานกระจัดกระจายคนละทิศละทางด้วยสภาพบอบช้ำ กลีบดอกร่วงหล่นเกลื่อนพื้น
ทุกคนนิ่งเงียบราวกับถูกสาปให้แข็งเป็นหิน ด้วยไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น กว่าทุกคนจะได้สติก็เมื่อได้ยินเสียงเครือคล้ายจะร้องไห้ของนายหญิงตัวน้อยดังขึ้น
“ดะ...ดอกไม้ของข้า พังหมดเลย...”
หลี่เยว่ชื่อเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำ หยาดน้ำตามากมายไหลอาบแก้มอิ่มด้วยความสะเทือนใจ ก่อนจะยอบกายลงค่อยๆ เก็บเศษซากดอกไม้เหล่านั้นราวกับหัวใจที่แหลกสลาย
มือหนึ่งยื่นเก็บ อีกมือหนึ่งยกขึ้นปาดน้ำตา
ช่างเป็นภาพที่น่าสงสารบีบคั้นหัวใจของประมุขหลี่และเหล่าสาวใช้บริเวณนั้นเสียเหลือเกิน
“นี่มันอะไรกันลี่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงทำกิริยาต่ำทรามกับบุตรสาวของข้าเช่นนี้!”
ผู้เป็นบิดาถึงกับโกรธจัดจนควันออกหู ด้วยรับรู้มาตั้งแต่ต้นว่าบุตรสาวที่ร่างกายอ่อนแอตั้งใจเก็บดอกไม้มามอบให้เพื่อสานสัมพันธ์ไมตรี แต่กลับถูกปัดทิ้งเหยียดหยามราวกับเป็นสิ่งปฏิกูลก็ไม่ปาน
"มะ...ไม่ใช่เช่นนั้นนะ ขะ...ข้า"
กงลี่อินหน้าซีดเผือด ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่อาจแก้ต่างให้ตนเองได้ดั่งใจนึก อีกทั้งเมื่อเห็นว่าสายตาของทุกคนกำลังมองมายังนางด้วยสายตาตำหนิก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก ตัวเย็น มือเย็น ชาวาบไปทั้งสรรพางค์กาย
“ท่านพ่ออย่าโกรธน้องเลยนะเจ้าคะ เป็นข้าที่ผิดเอง ข้าไม่รู้ว่าน้องไม่ชอบดอกไม้ หากข้ารู้ข้าคงไม่ทำให้น้องขุ่นเคืองใจเช่นนี้”
“โถวชื่อเอ๋อร์ เจ้าไม่ควรต้องได้รับกิริยาเลวทรามเช่นนี้เลย เจ้าป่วยอยู่แท้ๆ แต่ก็ยังมีน้ำใจลงมือเก็บดอกไม้เหล่านี้ด้วยตนเองทีละดอก แต่ดูสิ่งที่เจ้าได้รับสิ...”
บิดาวางฝ่ามือลงบนหลังและไหล่อย่างปลอบโยน กัดฟันกรอด มองบุตรที่เกิดจากชู้รักด้วยสายตาตำหนิ
ด้วยไม่ได้เลี้ยงดูไม่ได้ผูกพันกับกงลี่อิน เคยอุ้มชูเพียงครั้งเดียวเมื่อแรกคลอดเท่านั้น เมื่อมีเหตุการณ์ที่ต้องเลือกฝ่าย หลี่ซือฉีก็ย่อมต้องเลือกบุตรที่ตนอุ้มชูป้อนข้าวป้อนน้ำมาตั้งแต่เล็กจนโตเป็นธรรมดา
/น่าสงสารชื่อเอ๋อร์เหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าลี่เอ๋อร์จะเป็นเด็กก้าวร้าวเช่นนี้ นางเติบโตมากับอาม่านที่ติดสุราจึงทำให้มีอารมณ์แปรปรวนสินะ/
เยว่ชื่อได้ยินความคิดของบิดาดังนั้นก็แค่นหัวเราะในใจ ก่อนจะเดินไปกุมมือบิดาเอาไว้แล้วส่งสายตาวอนขอ
“ท่านพ่อได้โปรดอย่าโกรธน้องเลยเจ้าค่ะ ดอกไม้พวกนี้เป็นเพียงสิ่งของเท่านั้น ขะ...ข้าไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ”
“โถ่ชื่อเอ๋อร์”
หลี่ซือฉีคลายความโกรธลงกว่าครึ่งเมื่อเห็นว่าบุตรสาวทำใจได้แล้ว กระนั้นคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนใบหน้าหวานกลับทำให้เขารู้สึกขุ่นมัวขึ้นมาอีกคำรบ
“คุณหนูของพวกเราจิตใจดีเหลือเกิน”
ในขณะที่สาวใช้บริเวณนั้นล้วนชื่นชมในความใจเย็นของคุณหนู เด็กหญิงที่แสนซุกซนดื้อรั้นจนสาวใช้ต่างหัวหมุน ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ รู้จักยับยั้งอารมณ์ รู้จักการให้อภัย แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ควรได้รับมันเลยก็ตาม
ดูเถิด!
เป็นเพียงผู้อาศัย เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ได้รับการอุปถัมภ์จากตระกูลหลี่ แต่กล้าทำกิริยาหยาบช้าต่อบุตรสาวคนเล็กของเจ้าของจวน ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง
เห็นทีต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นๆ ให้รู้กันทั่ว!
“มะ...ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านลุง ข้าชอบดอกไม้ แต่ว่าในดอกไม้มี...”
กงลี่อินพยายามจะแก้ตัว แต่ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค เยว่ชื่อก็เดินโซซัดโซเซแล้วเป็นลมล้มพับไปอีกครา
“ในดอกไม้มีหนอน...”
“ชื่อเอ๋อร์!”
คำพูดของนางในตอนท้ายประโยคถูกกลืนหายไปเสียสิ้น ประมุขหลี่รีบอุ้มบุตรสาวกลับเรือนนอน สาวใช้ทุกคนวิ่งวุ่นรีบไปตามหมอ ทุกคนหนีหายไปจากกงลี่อินจนหมดเหลือเพียงสาวใช้คนสนิทที่ติดตามมาจากจวนเดิม