ปรารถนา ที่ 5
โรงละคร ณ สกุลหลี่
ข้าจะเสแสร้งแย่งทุกสิ่ง
หัวสมองน้อยๆ คิดคำนวณแผนการที่จะเป็นประโยชน์กับนางมากที่สุดอยู่ภายในใจ
‘ข้ามีเวลาอยู่ที่จวนสกุลหลี่อีกเพียงสองปีเท่านั้น ทันทีที่สงครามจบสิ้นลง สามีของข้า ‘แม่ทัพจ้าวซีห่าว’ จะนำชัยชนะอันยิ่งใหญ่มามอบให้แด่องค์ฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานจนพระราชทานการสมรสเป็นรางวัล เพียงอายุสิบสองปีนางก็ต้องจากบิดามารดาไปอยู่กับสามีในฐานะภรรยาพระราชทาน เฝ้าปรนนิบัติสามีจนกว่าจะพ้นวัยปักปิ่นเพื่อเข้าหอทำหน้าที่ภรรยาร่วมหลับนอนกับเขา
ดังนั้นภายในสองปีนี้ ข้าต้องริดอำนาจทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นกับลี่อิน สร้างความบาดหมางเกลียดชังระหว่างบิดาและลี่อินให้มากที่สุด ต้องป้องกันไม่ให้จิงเหอถูกขับออกจากจวนจนต้องไปจบชีวิตอยู่กลางถนนอย่างน่าสังเวชใจ
และที่สำคัญที่สุดต้องหาสาเหตุการเจ็บป่วยของข้า มารดา และแม่นมเพราะหลังจากที่ข้าเดินทางไปอยู่กับสามีไม่นาน มารดาก็จะทรุดหนักจนจากโลกใบนี้ไป’
เวลาเพียงสองปี แต่กลับมีเรื่องราวมากมายที่ต้องสะสาง แค่คิดก็หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงให้จมลงไปยังก้นบึ้งแห่งทะเลสาบที่แสนมืดมิด
เมื่อตกผลึกความคิดได้แล้ว นางจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสร้งทำเป็นเพิ่งรู้สึกตัวตื่นด้วยอาการงัวเงีย ก่อนจะร้องเรียกบิดาด้วยน้ำเสียงหวานใสกังวานอย่างออดอ้อนอยู่ในที
“ทะ...ท่านพ่อ”
“ชื่อเอ๋อร์ลูกรัก เจ้าฟื้นแล้วหรือ”
ผู้เป็นบิดาฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ รีบประคองบุตรสาวที่กำลังลุกขึ้นนั่งด้วยสัมผัสอ่อนโยนแผ่วเบา ก่อนจะวางมือลงบนหน้าผากของบุตรสาวเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิของร่างกายด้วยความห่วงใย
“กะ...เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ เหตุใดข้าจึงมานอนอยู่ในห้องเช่นนี้ ขะ...ข้าจำได้ว่าลูกยืนต้อนรับท่านพ่ออยู่ที่หน้าจวนนี่นา”
“เจ้าเป็นลมหมดสติไป พ่อกับแม่เป็นห่วงเจ้ามากเลยนะชื่อเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง ยังเจ็บป่วยตรงไหนบอกพ่อมาได้เลย พ่อจะให้คนไปตามหมอมาตรวจดูอาการเจ้าอีกรอบเพื่อให้แน่ใจ”
“ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ แล้ว...น้องที่เพิ่งมาใหม่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ โถ...น้องคงตกใจแย่เลย ที่จู่ๆ ข้าก็เป็นลมไปเช่นนี้ หากน้องคิดว่าข้าไม่มีใจต้อนรับขับสู้ ข้าจะทำอย่างไรดีเล่า”
พูดพลางก้มหน้างุด บีบมือเข้าหากันแน่นราวกับกำลังกังวลจนทำให้ผู้เป็นบิดาถึงกับนึกเอ็นดู
/ชื่อเอ๋อร์ลูกข้าช่างมีน้ำใจยิ่งนัก/
“เจ้าอย่ากังวลไปเลยชื่อเอ๋อร์ น้องย่อมเข้าใจแน่ เห็นท่านหมอบอกว่าที่เจ้าเป็นลมไปนั้นอาจเกิดจากได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง หรือไม่ก็มาจากความเครียดความกังวล พักผ่อนน้อย กินอาหารน้อย สาเหตุเหล่านี้ล้วนทำให้เจ้าล้มป่วยได้ทั้งสิ้น”
“คงเพราะข้าเอาแต่คิดถึงท่านพ่อท่านแม่ ช่วงนี้เป็นฤดูมรสุมจึงยิ่งเป็นห่วงความปลอดภัยในการเดินทางของท่านพ่อท่านแม่จนนอนไม่หลับ กินอะไรก็ไม่ค่อยลง ข้าช่างแย่เหลือเกิน หลงลืมไม่ใส่ใส่ใจดูแลร่างกายของตนเองจนล้มป่วย ท่านพ่อได้โปรดให้อภัยลูกด้วย”
“โถ...ชื่อเอ๋อร์ลูกพ่อ พ่อจะโกรธเจ้าลงได้อย่างไรกัน มีแต่จะห่วงใยเจ้ามากขึ้นไปอีก”
พูดพลางดึงบุตรสาวมากอดปลอบอย่างแสนรัก ยิ่งเห็นว่าบุตรสาวคิดถึงตนจนล้มป่วย ก็ยิ่งสะเทือนใจเจ็บจุกอยู่ในอก แต่ไม่สามารถระบายความทุกข์ออกมาให้ใครช่วยรับฟังได้
/ที่แท้ชื่อเอ๋อร์ก็แค่ป่วย นางไม่ได้รังเกียจน้อง แต่เป็นเพราะร่างกายอ่อนแอพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงได้แสดงสีหน้าท่าทางเช่นนั้นออกไป/
ความคิดที่ผุดขึ้นในใจ พร้อมๆ กับท่าทางลอบถอนหายใจของบิดา ทำให้หลี่เยว่ชื่อที่กับลอบหยักยิ้มที่มุมปาก
นางตั้งใจให้บิดาเข้าใจเช่นนั้น เข้าใจว่านางคือบุตรสาวที่อ่อนโยน ใจกว้างดั่งมหาสมุทร มีเมตตาเปี่ยมล้นดั่งมหาโพธิสัตว์
‘ข้าจะเปิดโรงละครขึ้นที่จวนสกุลหลี่ ถึงบิดาจะเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจเพียงใดแต่เขาก็ยังเป็นบิดาของข้า บิดาซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดทางสายเลือดที่ไม่มีวันตัดขาดความสัมพันธ์ บิดาผู้เป็นขุนนางระดับสูง มีฐานะมั่งคั่ง มีอำนาจล้นเหลือ มีเส้นสายมากมายไปทั่วทุกแว่นแคว้น สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้ข้า พี่ชาย และมารดาสุขสบาย
ข้าจะไม่ทำตัวงอแงผลักไสบิดาให้ไกลห่างดั่งคนไร้หัวคิด เพราะนั่นจะเป็นการเปิดโอกาสให้กงลี่อินครอบครองบิดาและกอบโกยผลประโยชน์จากบิดาแต่เพียงผู้เดียว
ในโรงละครแห่งนี้ข้าจะเล่นบทเป็น ‘พี่สาวแสนดี’ ที่ถูกรังแก และจะผลักไสบท ‘น้องสาวผู้เอาแต่ใจ’ ให้แก่ลี่อินผู้มาใหม่ ข้าจะทำให้บิดาได้ตระหนักว่าไม่ควรนำลี่อินเข้ามาในจวนที่แสนสงบสุข ในขณะเดียวกันนั้นข้าก็จะเหยียบย่ำชีวิตของลี่อินให้จมหายลงไปใต้ฝ่าเท้าของข้าทีละน้อยๆ กว่าจะรู้ตัวนางก็ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาเทียบชั้นกับข้าได้อีกต่อไป!’
“ท่านพ่อเจ้าขา…”
“มีอะไรหรือชื่อเอ๋อร์”
หลี่ซือฉีมองใบหน้าเล็กป้อม ดวงตากลมโต ปากนิด จมูกหน่อยของบุตรสาว ยิ่งยามที่นางทำท่าออดอ้อนราวกับลูกแมวยิ่งทำให้เขาเอ็นดูนางมากขึ้นอีกหลายส่วน
“ข้าอยากไปหาน้องเจ้าค่ะ ท่านพ่อช่วยพาข้าไปหาน้องหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิลูกสาวพ่อ เรื่องแค่นี้เองเหตุใดจะไม่ได้เล่า”
/ครานี้บุตรสาวทั้งสองของข้าก็จะได้พูดคุยแนะนำตัวต่อกันเสียที หวังว่าทั้งสองจะสนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวกัน/
เยว่ชื่อแอบแค่นหัวเราะในใจเมื่อได้ยินความคิดของบิดา เตรียมตัวผิดหวังได้เลย เพราะจะไม่มีความกลมเกลียวเกิดขึ้นเด็ดขาด
“ท่านพ่อเจ้าขา...ข้ารู้สึกไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่ ท่านพ่ออุ้มข้าไปหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
เด็กหญิงออดอ้อนด้วยดวงตากลมวาว ยิ่งทำให้ผู้เป็นบิดาใจอ่อนยวบไปกับความน่ารักน่าชัง
“ได้สิ พ่อจะอุ้มเจ้าเอง”
ตอบรับพลางอุ้มบุตรสาวตัวน้อยแล้วออกเดินไปจากเรือนนอนอย่างอารมณ์ดี จังหวะที่กำลังเดินผ่านสวนนั้นเอง หลี่เยว่ชื่อก็เอ่ยความต้องการขึ้น
“ท่านพ่อข้าอยากเก็บดอกไม้งดงามเหล่านั้นไปฝากน้องเจ้าค่ะ”
“เด็กดีช่างมีน้ำใจนัก ได้สิ...”
หลี่ซือฉีปล่อยบุตรสาวลงจากอก แล้วเดินทอดฝีเท้าไปรอบๆ เพื่อรอให้บุตรสาวบรรจงเด็ดดอกไม้ด้วยความตั้งใจ
/ชื่อเอ๋อร์ยิ่งโตก็ยิ่งงดงามและอ่อนหวานเฉกเช่นมารดา นางมีน้ำใจและรู้จักใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่น เป็นบุตรสาวที่สามารถเชิดหน้าชูตาได้อย่างไม่อายใครเลยจริงๆ/
ในขณะที่หลี่เยว่ชื่อกำลังเลือกดอกไม้อย่างตั้งใจ พลางส่งเสียงหวานขับบทเพลงอย่างไพเราะน่าฟัง
“เจ้าดอกไม้แสนสวย...
เจ้ากำลังจะมีเจ้าของเป็นเด็กหญิงตัวน้อยผู้มาจากแดนไกล
จงทำให้แขกผู้มาเยือนของข้ามีความสุขด้วยความสวยงามของเจ้าเถิด
จงทำให้แขกผู้มาเยือนของข้าคลายจากความทุกข์โศกที่ต้องสูญเสียบิดามารดาเถิด
จงโอบกอดแขกผู้มาเยือนของข้าเอาไว้ดั่งแสงแดดอบอุ่นโอบกอดมวลหมู่ดอกไม้เถิด”
ประมุขหลี่ถึงกับชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงหวานขับขาน ก่อนจะหมุนกายไปมองจึงเห็นว่าบุตรสาวกำลังตั้งใจเด็ดดอกไม้จัดเข้าช่ออย่างขะมักเขม้น
/ชื่อเอ๋อร์ดูมีความสุขมากถึงกับแต่งบทเพลงขับขานเชียวหรือ ช่างเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์เสียจริง จะว่าไปแล้วเมื่อสองปีก่อนชื่อเอ๋อร์ก็เคยบ่นว่าอยากมีน้อง พอลี่เอ๋อร์มาอยู่ที่จวนชื่อเอ๋อร์เลยยิ่งตื่นเต้นสินะ/
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าจัดเป็นช่อดอกไม้สวยงาม เลือกสีเหลืองทองกับสีชมพู หวังว่าน้องจะชอบนะเจ้าคะ”
ประมุขหลี่โน้มกายลงไปอุ้มบุตรสาวมาแนบอกแล้วออกเดิน พลางพูดชมว่า
“ช่อดอกไม้ของเจ้าช่างงดงามนัก แน่นอนว่าน้องต้องชอบมากแน่ๆ”
“ข้าตื่นเต้นจังเลยเจ้าค่ะ อยากเห็นรอยยิ้มของน้องยามเมื่อได้รับดอกไม้จากข้า”
เมื่อได้ยินบุตรสาวบอกความรู้สึกออกมาเช่นนั้น ซือฉีก็ถึงกับหัวเราะร่วนออกมาด้วยความเอ็นดู
หลี่เยว่ชื่อแสร้งทำเขินอายกระมิดกระเมี้ยนที่ถูกบิดาหัวเราะขบขัน ก่อนจะซ่อนรอยยิ้มร้ายเกินวัยเอาไว้ภายใต้ใบหน้าใสซื่อ