ชานนท์เลื่อนใบหน้าคลุกเคล้าลงบนร่างกายเปลือยเปล่าของคนรัก ความกำหนัดซ่านไปทั้งตัว เลือดในกายชายหนุ่มเดือดพล่าน ความสุขใจสมใจได้ก่อกำเนิด เขารักเธอมาก ชานนท์บอกกับตัวเองอย่างนี้ คงไม่มีใครที่จะสุขได้เท่ากับเขาในวันนี้อีกแล้ว
ปลายจมูกแนบเรือนกายงาม สูดหาความหอมของกลิ่นกายสาวไปทั่วทั้งตัว สองมือหนาลูบไล้สะโพกกลมมนขยำมันอย่างเบามือ แต่ก็เร่งปลุกเร้าอารมณ์อยากรู้อยากลองให้กับสาวใต้ร่างอย่างรุนแรง สองมือบางลูบไล้ตามลำตัวเขาเป็นไปตามครรลองธรรมชาติ
ชายหนุ่มคลุกใบหน้าลงไปบนเนินเนื้อที่มีขนอ่อน ๆ ปกคลุมพองาม กลิ่นกายสาวช่างหอมยวนใจ ปลายลิ้นที่ฉวัดเฉวียนทำให้ใบบอนถึงกับรู้สึกสยิวแขม่วเกร็งหน้าท้องร้อนวูบวาบไปทั่วตัว เธอปล่อยให้ชายหนุ่มทำอย่างที่ใจอยากทำ แต่มันก็ช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรมานเสียเหลือเกิน
“หมัดรักใบบอน ตัวเองเป็นของเขานะ” เขาพูดข้างติ่งหู ก่อนจะขบเม้มมันเบา ๆ ใบบอนลืมตามองหน้าคนรักที่ยกหน้าลอยอยู่ไม่ห่าง สองมือสอดรั้งท้ายทอยลูบไล้ปอยผมของเขา
“หมัดอยากทำอะไรก็ได้ ใบบอนยอมหมดทั้งใจเลย” เธอเอ่ยอนุญาต ชายหนุ่มยิ้มกว้าง กดริมฝีปากปิดปากอวบสวยนั้นอย่างไม่รู้จักเบื่อ
ฝ่ามือหนารั้งสอดขาขาว ๆ ขึ้นไว้บนข้อพับ เขาค่อยเคลื่อนกายแกร่งทาบทับลงมา แนบแน่นชิดกลีบอวบอูมเป็นพูที่ปิดสนิท ใบบอนปิดตาสนิท ขบฟันแน่น ทำใจให้พร้อม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็ยินดี
“โอ๊ะ... โอ้ยหมัด... เขาอือ... เจ็บอู้ย” เธอผวาสุดตัว ใช้มือดันหน้าท้องคนรักให้ยกขึ้น ร้าวตรงใจกลางร่างเหมือนถูกฉีกร่างจะแยก
“เจ็บมากไหม หื้อ” เขาถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ก้มลงไปจูบปลอบใจที่ข้างแก้มใส
“เจ็บ... อี๊... หมัดจ๋า... อื้อ... เบา ๆ กว่านี้ได้ไหม” เธอลืมตาขึ้นมองเขา น้ำตาเริ่มไหล เขาก้มลงไปจูบพรมเช็ดน้ำตาให้ สองมือตระกองประคองใบหน้าของเธอเอาไว้ มองจ้องสบสายตาใบบอนที่ตอนนี้ทำหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
“หายเจ็บบ้างแล้วบอกนะ หมัดจะได้ต่อ” เขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงอาทร ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองแทบจะทนไม่ไหวเช่นกัน รู้สึกช่องทางนี้คับแคบรัดท่อนลำจนเขาอึดอัดไปหมด อยากจะขยับตัวเองใจแทบขาด แต่ก็ห่วงคนรักสาวว่าเธอจะทนไม่ได้
เขาฉกริมฝีปากไปเย้ายั่วปลุกอารมณ์ของเธอใหม่ สองแขนตวัดรั้งสองขาสวย ๆ ให้อ้ากว้าง ดันตัวเองเข้าไปข้างหน้าเบา ๆ เสียงครางของใบบอนอืออาอยู่ในลำคอ เธอได้แต่จิกเล็บบนหลังของเขาและขยุ้มหัวไหล่ของหมัดจนเจ็บมือไปหมด
เมื่อสิ้นสุดปลายทาง หมัดถึงกลับถอนลมหายใจออกมาแรง ๆ ก้มลงหยอกเย้ากับสองเต้าอวบเด้งที่อยู่ตรงหน้า
“ใบบอนจ๋า รักหมัดมากไหม” เขาถามเธอเสียงทุ้ม จ้องสบตา
“รัก รัก รัก รักมาก ใบบอนรักหมัดมาก” เธอบอกเขาย้ำคำว่ารักอยู่หลายครั้ง ชายหนุ่มยิ้มดีใจลิงโลดความสุขล้นเต็มหัวใจ ความรักแผ่ซ่านแล่นไปทั่วร่างกาย
“หายเจ็บบ้างหรือยัง” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มองหน้าเธอด้วยความห่วงใย
“อือ” เธอตอบพยักหน้าให้ทำเอียงอาย ยิ้มให้ชานนท์นิด ๆ แบบเขิน ๆ
“เขาขยับนะ” ชายคนรักบอก เธอสูดลมหายใจเข้าแรง ๆ พยักหน้าอนุญาตไปพร้อมกัน พอเขาเริ่มขยับเธอถึงกับกัดฟันแน่น เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง เจ็บร้าวเพียงใดก็ต้องทน
ชายหนุ่มไม่ขยับไม่ได้แล้ว เพราะช่องทางคับแน่นที่รัดจนเขารู้สึกเจ็บแกนเนื้อไปหมด จังหวะที่เขาขยับเนิบนาบช่วงแรกอย่างลำบาก ผ่านไปชั่วครู่ช่องทางเริ่มขยายกว้าง และมีน้ำหล่อลื่นให้ทางสะดวกขึ้นตามครรลองของธรรมชาติ และร่างกายสาวที่ตอบสนองตามความเสียดเสียว
ใบบอนชักไม่แน่ใจว่าที่เธอรู้สึก คือ เจ็บหรืออะไรกันแน่ แต่ในใจตอนนี้มันอิ่มใจอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เธอรักเขามาก อยากมอบความสาวที่เธอภูมิใจให้ชานนท์เพียงผู้เดียว
น้ำตาที่เริ่มไหลริน เมื่อรู้ว่าวันข้างหน้าชีวิตของเธอกำลังจะเปลี่ยนไป เธอรั้งรอบคอและโอบแผ่นหลังของเขาเอาไว้แน่น ชายหนุ่มชักขยับเพิ่มจังหวะขึ้นไปเรื่อย ๆ เสียงเขาครางสุขสมออกมาตลอดเวลา
ใบบอนกลั้นอารมณ์เต็มที่ ยอมเจ็บถ้าเขาจะรู้สึกดี เธอเผลอแอ่นตัวรับสัมผัสของเขาบ้างเป็นบางครั้ง ความรู้สึกร้อนผ่าวที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ทำให้เธอสนองตอบรับร่างของเขาออกมาแบบไม่รู้ตัว
“ใบบอนจ๋า ผมไม่ไหวแล้ว” เขากระซิบบอกเธอเสียงกระเส่า ยันแขนเกร็งขึ้นตัวลอย เด้งสะโพกใส่หญิงสาวเพิ่มจังหวะรุนแรง เธอคว้าเพียงหมอนที่หนุนหัวเอาไว้แน่น ตอนนี้ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวใดที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
จุดเสียดเสียวโดนเขาเน้นย้ำบ่อย ๆ เธอตอบตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้คืออะไร รู้สึกตัวเธอเองลอย ๆ หัวสมองขาวโพลนว่างเปล่า รู้สึกตัวเบาเหมือนขนนก เสียวซ่านรัญจวนจนแทบทนไม่ไหว หัวใจกระตุกเต้นแรงระรัวตามจังหวะกระแทกลงมาของชานนท์
“อะ... หมัด อื้อ... เขา...อ้า... อื้อ... อี๊” อารมณ์และความรู้สึกของเธอถูกชายหนุ่มเหวี่ยงขึ้นสวรรค์ไปโดยไม่รู้ตัว ใบบอนน้ำตาไหลซึม ทิ้งตัวลงแนบที่นอนแน่น แต่ส่วนล่างก็ยังแอ่นรับแรงกระแทกของคนรักหนุ่มที่ทุ่มลงมาอย่างสุดตัว ตอกย้ำความรักที่เขามีต่อเธอให้ลึกที่สุด
เสียงหมัดคำรามลั่น เกร็งตัวฉีดความรักเข้าไปในกายสาว เกร็งขาแก้มก้นสั่นระริก รับรู้ถึงช่องทางคับแคบที่บีบรัดเขา รีดเค้นเอาความรักออกจากเขาจนหมดตัว
ชานนท์ทิ้งร่างทับลงมาทันที กอดปลอบประโลมร่างบางที่ยังสั่นเทิ้มไว้แน่น ปากก็พรมจูบไปทั่วใบหน้างาม พูดพร่ำคำรักที่ฟังเมื่อไรก็ชื่นใจเมื่อนั้น
สองแขนของใบบอนยังโอบรัดรอบตัวของเขาเอาไว้แน่น ความสุขซ่านเต็มไปทั้งสองหัวใจ เมื่อเขาเลื่อนริมฝีปากมาปิดปากนุ่มนิ่ม เธอจูบตอบรับจุมพิตของเขาที่ส่งใจมาให้เธอทั้งดวง ราตรีนี้ยังอีกยาวนาน สองคนต่างพร่ำพูดคำหวาน บอกรักกันทั้งคืน
"อ้าว หายไปไวจัง หายไปไหนแล้วหนอ" ครูอ้อหันหน้ามองข้าง ๆ พูดพึมพำเพราะครูชานนท์หายตัวไปเสียแล้ว
"ขอบคุณมากค่ะครูอ้อ รบกวนทุกวันพุธเลย ต้องพาคุณพ่อไปทำกายภาพน่ะค่ะ สามโมงครึ่งถึงสี่โมงครึ่ง เลยมารับน้องยิมช้ากว่าคนอื่น ขอบคุณจริง ๆ นะคะ" เธอเอ่ยขอบคุณ โค้งหัวลงอยู่นั่นแหละ
"ไม่เป็นไรค่ะ อ้อก็มีสอนพิเศษเด็กเหมือนกัน ที่พ่อแม่เลิกงานช้า แล้วคุณพ่ออาการดีขึ้นบ้างไหมคะคุณใบบอน" ครูอ้อถามถึงบุพการีของเธอด้วยความเป็นห่วง
"ค่ะ ถอดเฝือกเกือบสองเดือนแล้ว เดินได้ดีแล้วด้วยค่ะ คงไปกายภาพอีกสักเดือน คุณหมอว่ายังงั้นนะคะ" เธอเล่าเรื่องคุณพ่อต่อ
ครูทุกคนก็พอจะทราบในเรื่องการเกิดอุบัติเหตุของคุณเจต เพราะคุณเจตก็เป็นที่รู้จักและเป็นที่นับหน้าถือตาของคนแถบนี้อยู่พอสมควร ท่านเดินพลัดตกบันไดพลาดท่าไหนไม่รู้ กระดูกที่ส้นเท้าแตก และกระดูกหน้าแข้งร้าว ซึ่งก็เป็นภาระที่ใบบอนต้องพาท่านไปหาหมอ และดูแล เนื่องจากคุณแขไขขี้เกียจไปนั่งรอ และยังขับรถยนต์ไม่เป็นอีกด้วย ทั้งลูกสาวคนเล็กที่ทั้งพ่อและแม่ห่วง ไม่ยอมให้เรียนขับรถ
สามคนที่ยืนคุยกันอยู่ที่สนามเด็กเล่น หน้าห้องเรียน ไม่พ้นสายตาของชานนท์ที่แอบมองอยู่ห่างไปพอสมควร แต่ก็เห็นเธอได้อย่างชัดเจน สายตาของเขาจดจ้องมองหน้าของใบบอน ด้วยหัวใจเจ็บปวดจนต้องขบกรามขึ้นเป็นสันโปนปูด
("ผู้หญิงใจร้าย") หมัดคร่ำครวญอยู่ในใจ เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมนิ่ง มองสองแม่ลูกที่ร่ำลาคุณครูอ้อ และเดินไปขึ้นรถยนต์ที่จอดอยู่ไม่ไกล เขายกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปป้ายทะเบียนรถที่พอจะเห็นได้ชัดเจน ชานนท์คิดว่าเขาจดจำทั้งสี ทั้งรุ่นได้ขึ้นใจแล้วตอนนี้
"นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีกค่ะ" เสียงครูอ้อทัก เมื่อเดินถือกระเป๋าสะพายออกมาตามทางเดิน เพื่อกลับบ้านพักครู ชานนท์ยิ้มกว้างให้
"ได้ยินน้องยิมบอกพ่อของแกเสียชีวิตแล้วหรือครับ" เขาถามในสิ่งที่เขาข้องใจใคร่รู้
"ค่ะ เสี่ยม้งสามีของคุณใบบอนรวยมาก (ทำเสียงสูง) นะคะ น่าจะรวยที่สุดในอำเภอเมืองนี้ก็ว่าได้ค่ะ เสียไปได้สองปีกว่า ๆ แล้วค่ะ ได้ข่าวว่าเป็นมะเร็ง แต่เสี่ยม้งก็อายุเกือบจะเจ็ดสิบแล้วนะคะตอนที่เสีย คุณใบบอนเลยกลายเป็นแม่ม่ายทรงเครื่องไปเลย" เธอเล่าจ้อตามนิสัยคนชอบเมาท์ ก่อนจะหัวเราะร่วนในตอนท้าย
ชานนท์ยิ้มหยันที่มุมปาก
("อ้อ... แต่งงานกับเศรษฐี มันก็คงดีกว่าแต่งกับไอ้คนที่ยังเรียนไม่จบ บ้านช่องก็ไม่ร่ำรวยสินะ") ใจนึกหยันเธอไปแบบนั้น แต่มันช่างเป็นอะไรที่ตอกย้ำความเจ็บร้าวให้กับตัวเองลึกลงไปอีก
"คุณใบบอนเธอขยันนะคะ แถมไม่พอยังเป็นคนไม่ถือเนื้อถือตัว ติดดินมาก ๆ เธอเปิดร้านขายกาแฟและอาหารที่หน้าบ้านด้วยนะคะ อยู่หลังที่ว่าการอำเภอค่ะ หาได้ไม่ยากหรอก คุณใบบอนอยู่กับลูกชายแค่สองคนเองค่ะ เป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ตกแต่งร้านก็น่ารักเชียว
ถ้าคุณครูว่าง วันเสาร์อาทิตย์เราไปทานกันไหมคะ อ้อเคยไปกินแล้ว เธอลงครัวเองด้วย เมนูข้าวราดไข่เจียว มีถ้วยแกงส้มชะอมทอดเสิร์ฟคู่กันอีกด้วย รสชาติหาทานแถวนี้ได้ยาก อ้อว่าครูชานนท์ต้องชอบแน่ ๆ ค่ะ จัดจ้านเหมือนรสชาติอาหารปักษ์ใต้บ้านของคุณครูเลยค่ะ" เธอพูดทำท่ายั่วน้ำลายไปพลาง
หอพักของหมัดเมื่อหกปีก่อน
"หมัดอร่อยจังค่ะ วันหลังสอนใบบอนทำบ้างนะคะ แกงส้มแบบนี้รสชาติจัดจ้านดี ไว้ใบบอนจะทำให้หมัดกินไง ดีไหม" เธอยกนิ้วหัวแม่โป้งกลางถ้วยแกงส้ม ก่อนจะยกน้ำขึ้นซด ทำเสียงซี้ดซ้าดว่าอร่อยอย่างไร ชานนท์ยิ้มให้คนรัก
"กินอีกสิ ถ้าใบบอนชอบ วันหลังเราทำด้วยกันอีก เนี่ยพริกแกงแม่ทิ่มเองส่งมาให้จากบ้านเลยนะ ถ้าแม่รู้ว่า ว่าที่ลูกสะใภ้น่ารักแบบนี้ แม่ต้องดีใจแน่ ๆ” เขากระเซ้าเย้าแหย่ หยอดคำหวาน
"ใบบอนจะแต่งกับหมัดเหรอ ฮึ... อึ๋ย... คิดเองเออเองหรือเปล่า" เธอเย้าตอบเขา หลุบตามองต่ำ ทำท่าขวยเขิน
"ไม่รู้แหละ ถ้าชาตินี้ไม่ได้ใบบอนเป็นเมียนะ หมัดขออยู่เป็นโสดไปจนตายดีกว่า" เขาพูดทำสีหน้าจริงจัง แต่ก็ยังทำหน้ายิ้ม กระเถิบเข้ามานั่งใกล้ ๆ กระแซะไปข้าง ๆ ตัวใบบอน ก้มหน้าหอมลงที่ผมของเธอ
"หมัด ดูทำสิ ปากตัวเองเปื้อนน้ำแกงอยู่นะ” ใบบอนรีบยกมือผลักใบหน้าของเขาออก และหยิบทิชชูที่วางอยู่ใกล้ ๆ มาเช็ดปากที่เลอะแต่ที่จริงก็ไม่ได้เลอะอะไร แค่ไม่อยากให้เขาฉวยโอกาสแบบนี้
"เห็นไหม เดี๋ยวเขาต้องกลับไปสระผมไหมเนี่ย อ้าวกิน ๆ เร็วเข้า ใบบอนหิวจะตายแล้ว เดี๋ยวต้องออกไปทำรายงานกลุ่มบ้านปิงอีก อย่าช้า" เธอรีบตักแกงราดบนข้าวให้หมัด และตักไข่เจียวให้อีกด้วย ตอนนี้ใบหน้าของเธอออกสีแดง สองคนกินข้าวกะหนุงกะหนิง กินเสร็จก็ช่วยกันเก็บล้าง