ก่อนที่นางจะพูดมากไปกว่านี้แล้วหัวสวย ๆ จะอยู่ไม่ติดร่าง พระอนุชาของฮ่องเต้เช่นเขาคงต้องสั่งสอนสตรีนางนี้ให้รู้จักสงบปากสงบคำเสียแล้ว
“อะแฮ่ม!” มู่เลี่ยงหรงกระแอม พร้อมก้าวเดินออกมาจากข้างต้นหลิว
“ว้าย...” นางตกใจหันมาทันที
ภาพที่เยี่ยนเย่วฉีเห็นคือบุรุษลึกลับในชุดคลุมสีดำหรูหรา เขาดูสูงส่งและเย็นชา ทว่าทันทีที่สบตาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นระรัว สีแดงค่อย ๆ ไล่ฉาบไปบนใบหน้านวล นางรู้สึกขวยอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ขออภัยด้วยที่ทำให้คุณหนูท่านนี้ตกใจ” มู่เลี่ยงหรงยืนเอามือไพล่หลังไว้ ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาเข้มลึกจ้องมองสตรีเบื้องหน้า ริมฝีปากบางเหยียดตรง
“มิได้ ผู้น้อยต่างหากต้องขออภัยใต้เท้า เสียมารยาทแล้ว เป็นเพราะผู้น้อยไม่ทราบว่าท่านยืนพักผ่อนอยู่ตรงนี้” นางยอบกายลงขอขมาด้วยท่วงท่าอันอ่อนช้อย
“ไม่เป็นไร เราเองก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” มู่เลี่ยงหรงส่งยิ้มเย็นยะเยือก สีหน้าบ่งบอกว่าเขาได้ยินทุกอย่าง “คุณหนูท่านนี้คงลืมกระมังว่าเวลานี้เจ้ากำลังยืนอยู่ที่ใด”
ชายหนุ่มดูน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน เมื่อรอยยิ้มในตอนแรกหายไป
“ใต้เท้าพูดเรื่องอันใด ผู้น้อยไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” เยี่ยนเยว่ฉีปรายตาขึ้นสบกับบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้า คิ้วงามขมวดเล็กน้อย ในเมื่อไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไยเขาต้องทำราวกับนางกระทำเรื่องไม่สมควร
“ข้าคงจะเสียดายหากหัวสวย ๆ ของเจ้าจะหลุดกระเด็น”
ตุ้บ! นางกับสาวใช้ทรุดตัวคุกเข่าลงทันที
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เยี่ยนเยว่ฉีตัดสินใจอ่อนข้อลงก่อน หญิงสาวรู้สึกคิดถึงบิดาขึ้นมาทันที
‘เสียงดังขนาดนั้นคงเจ็บเข่าทีเดียว’ มู่เลี่ยงหรงขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเจ็บแทน
สีหน้าของเยี่ยนเยว่ฉีซีดเผือด นางแหงนหน้าขึ้นมองเขา สบนัยน์ตาเข้มลึกนั้นด้วยคลางแคลงใจ ริมฝีปากสีแดงระเรื่อสั่นด้วยหวั่นใจ
‘ช่างน่าจูบ’ ความคิดอกุศลผ่านเข้ามาให้หัวของมู่เลี่ยงหรง ชายหนุ่มชะงักไปชั่วครู่ น่าอายสิ้นดี ให้ตายเถอะเขาไม่เคยเสียการควบคุมเช่นนี้
“ผู้น้อยไม่ทราบว่าใต้เท้ามีโทสะด้วยเรื่องใด” เยี่ยนเยว่ฉีพยายามถามหาต้นสายปลายเหตุ
“คุณหนูอย่าทำเป็นไขสือ เมื่อครู่เจ้าพูดเรื่องถวายตัวอยู่ไม่ใช่หรือ ซ้ำยังกล้าวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้เท่ากับลบหลู่เบื้องสูง โทษหนักสถานใดข้าคงไม่ต้องสาธยายกระมัง”
“เรียนใต้เท้า ท่านคงเข้าใจผิดแล้ว ผู้น้อยมิได้กล่าวถึงฮ่องเต้แม้แต่ครึ่งคำ” เยี่ยนเยว่ฉีอธิบายอย่างใจเย็น พอจะเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้แล้ว
“อย่าได้พูดเป็นอันขาดว่าข้ากำลังปรักปรำเจ้า” มู่เลี่ยงหรงจ้องหน้านางเขม็ง เขาพยายามรักษาท่าทีเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ด้วยนัยน์ตาดอกท้อนั้นช่างหวานล้ำนัก ท่าทีนุ่มนวลและเยือกเย็นนั่นอีกเล่า นางไม่เหมือนสตรีใดที่เขาเคยพานพบมาก่อนเลย
“มิได้ เพียงแต่ใต้เท้าคงเข้าใจผู้น้อยผิดไป เช่นนี้แล้วท่านพอจะเมตตาปล่อยพวกเราสองคนไปได้หรือไม่” เยี่ยนเยว่ฉีอ้อนวอนเสียงเครือ ในดวงตาคู่สวยเริ่มหยาดเยิ้มไปด้วยหยดน้ำตา หากใครเห็นท่าทางน่าสงสารนี้เข้าคงแทบจะรีบก้มลงไปประคองนางแล้วปลอบโยน
ที่หญิงสาวต้องคุกเข่าขอความเห็นใจเพราะโทษของการล่วงเกินเบื้องสูงคือตาย หากสิ่งนี้จะเกิดกับนางเพียงผู้เดียวก็คงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้มีซูจิ้งอยู่ด้วย แล้วยังครอบครัวของนางอีก คงพลอยเดือดร้อนจากเพลิงพิโรธของฮ่องเต้ไปด้วย และที่สำคัญเนื้อคู่ที่นางว่าก็ไม่ได้หมายความถึงโอรสสวรรค์เสียหน่อย บุรุษผู้นี้กำลังเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง
มู่เลี่ยงหรงยังคงทำหน้าถมึงทึงราวกับไม่มีความเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อย ความจริงไม่ใช่เขาไม่เชื่อ ด้วยเมื่อครู่นางก็ไม่ได้เอ่ยออกมาตรง ๆ คุณหนูผู้นี้กิริยามารยาทดีย่อมต้องรู้กาลเทศะอยู่บ้าง แต่ในหัวใจยังอยากรั้งให้สตรีผู้นี้อยู่ต่ออีกสักเล็กน้อย ถึงแม้จะดูใจร้ายและต้องกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลเช่นนี้ก็ตาม
เยี่ยนเยว่ฉีเห็นบุรุษในชุดสีดำยังคงไม่อ่อนข้อ และไม่มีทีท่าจะปล่อยตนเองไป แต่ผู้ฉลาดต้องรู้จักเอาตัวรอด ในเมื่อนางเป็นหญิงสาวที่งดงามเหนือสตรีทั่วไปอยู่บ้าง คงไม่ยากหากตนเองจะแสดงความอ่อนแอออกมา ใต้เท้าท่านนี้ก็เป็นบุรุษผู้หนึ่งมีหรือจะต้านทานเสน่ห์ของตนเองได้
นางจะลองสู้ดูสักตั้ง
“ผู้น้อยบริสุทธิ์ ไม่เคยคิดล่วงเกินฮ่องเต้แม้สักน้อย ขอใต้เท้าโปรดไตร่ตรองด้วย”
“งั้นเจ้าพูดถึงผู้ใดกันเล่า”
“ผู้น้อย…ก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ” นางจะตอบได้อย่างไร ด้วยไม่กระจ่างใจว่าเนื้อคู่ที่พี่ชายบอกนั้นชื่อแซ่อะไร “ผู้น้อยไม่รู้จริง ๆ ว่าชายที่เป็นคู่หมายคือผู้ใดเจ้าค่ะ”
“ไม่รู้รึ แก้ตัวง่ายเสียจริง สงสัยข้าคงต้องส่งตัวเจ้าไปให้กรมอาญาไต่สวนกระมัง” มู่เลี่ยงหรงปั้นหน้าเคร่งขรึม เขาหันหลังให้กับนางอย่างไม่แยแสต่อคำอ้อนวอน
“ใต้เท้า ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย ผู้น้อยไม่มีทางใจกล้าลบหลู่ฮ่องเต้อย่างแน่นอน อย่าส่งพวกเราเข้ากรมอาญาเลยนะเจ้าคะ” นางแสดงอาการหวาดกลัว ตัวสั่นเทาเป็นลูกนก “หากใต้เท้าละเว้นพวกเราในครั้งนี้ ผู้น้อยยินดีจะตอบแทนท่านทุกอย่าง” นางยื่นข้อเสนอให้บุรุษผู้หล่อเหลาตรงหน้าหวังว่าเขาจะอ่อนไหวบ้าง
“ยินดีตอบแทนข้า...ทุกอย่างเลยงั้นรึ” มู่เลี่ยงหรงผินหน้ากลับมามองสตรีในชุดสีชมพู
“เจ้าค่ะ ทุกอย่างเลย” เยี่ยนเยว่ฉีโล่งอกเมื่อเห็นชายหนุ่มมีท่าทีอ่อนลง นางลอบยิ้มในใจ บุรุษผู้ใดเจอลูกอ้อนของสตรีมีหรือจะไม่ลังเล
“เจ้าจะไม่เสียใจแน่นะ” เขาย้ำถามแล้วหันกายกลับมา
“ไม่เสียใจเจ้าค่ะ” นางรีบพยักหน้ารับทันที จนปิ่นปักผมลายดอกโบตั๋นสั่นไหวน้อย ๆ นัยน์ตาดอกท้อปรากฏแววแห่งความหวัง
“ถ้าอย่างนั้น จงบอกชื่อแซ่ของเจ้ามา” มู่เลี่ยงหรงแสร้งทำเสียงให้ขึงขัง
‘ข้าจะได้รู้เสียทีว่าเจ้าเป็นใครสาวน้อย’
“ข้าน้อยแซ่เยี่ยน นามเยว่ฉี”
มู่เลี่ยงหรงขมวดคิ้ว ที่แท้นางคือว่าที่หวางเฟยของเขา สวรรค์กำลังเล่นตลกอะไรกันนี่ ช่างบังเอิญเหลือเกิน
“ดี เยี่ยนเยว่ฉี จงจำเอาไว้ว่าเจ้าติดค้างข้าแล้ว”
“ข้าเยี่ยนเยว่ฉี ติดค้างใต้เท้า...เอ่อ”
‘ข้าจะได้รู้เสียทีว่าท่านเป็นใคร’ เยี่ยนเยว่ฉีลอบคิดในใจเช่นกัน
“นามข้าคือ มู่-เลี่ยง-หรง” เขาบอกนางช้า ๆ ชัด ๆ ทุกคำพูด แอบซ่อนความขบขันยามเห็นใบหน้าคนงามกำลังซีดเผือด
‘นางคงพอรู้เลา ๆ อยู่บ้างกระมัง’
“ทะ...ท่านคงมิใช่ฉินอ๋อง” นางถามขอความมั่นใจด้วยเสียงอันสั่น ในใจก็ได้แต่ภาวนา เพราะหากเป็นท่านอ๋องผู้ได้ชื่อว่าเข้มงวดเป็นที่สุดผู้นั้น แผนสาวงามอาจจะไม่ได้ผล ยิ่งเขาเข้าใจผิดเช่นนี้นางอาจจะไม่รอดชีวิตแล้ว