เริ่มต้นงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยแผนการ

1349 คำ
มู่เลี่ยงหรงเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงงานเลี้ยงโดยเร็วที่สุด เขาต้องการพบอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาถึง พอขันทีน้อยผู้ทำหน้าที่นำทางในงานเห็นพระอนุชาก็รีบกุลีกุจอเชิญผู้สูงศักดิ์ไปยังที่นั่งในกระโจมทันที ด้วยบรรดาศักดิ์ชินอ๋อง [1] ที่นั่งของมู่เลี่ยงหรงจึงถูกจัดให้อยู่ลำดับแรกในหมู่เชื้อพระวงศ์ฝ่ายชายถัดจากที่ประทับของฮ่องเต้ ทำให้เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงใส่พระทัยพระอนุชาคนโปรดเป็นอย่างยิ่ง เริ่มตั้งแต่ มู่เลี่ยงหรงอายุสิบสองชันษาก็แสดงให้เห็นชัดถึงความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ เริ่มอุทิศแรงกายแรงใจแบ่งเบาราชกิจ อ๋องน้อยมีวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างมากจนเป็นที่รู้กันถึงความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา เพียงไม่นานผลงานก็ประจักษ์ไร้ข้อกังขา บรรดาขุนนางทั้งหลายต่างยกย่องเชิดชูอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เวลาผ่านไปไวราวกับติดปีก ท่านอ๋องน้อยเติบใหญ่เป็นบุรุษองอาจ ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยจึงแต่งตั้งมู่เลี่ยงหรงเป็นฉินอ๋อง พร้อมให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนพระองค์อยู่มิได้ขาด ส่วนหน้าที่หลักคือการตรวจสอบเชื้อพระวงศ์และขุนนางในราชสำนัก นับได้ว่าอยู่ใต้ผู้หนึ่ง แต่อยู่เหนือคนนับพัน ด้วยบุคลิกจริงจังเคร่งขรึม กอปรกับความเด็ดขาดในการลงโทษผู้กระทำผิดแบบไม่ไว้หน้าผู้ใด ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางน้อยใหญ่มิกล้าเสี่ยงกระทำการทุจริตกินสินบน ราษฎรทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญฉินอ๋อง พอเข้ามาถึงมู่เลี่ยงหรงก็มองหาอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย เมื่อแลเห็นนสหายก็ส่งสายตาพร้อมพยักหน้าทีหนึ่งเป็นสัญญาณ ถางซือเซินรู้งานรีบเดินไปหาผู้เป็นอ๋องในทันที “กระหม่อมถางซือเซิน คารวะท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี ข้ามีเรื่องด่วนจะคุยกับเจ้า” “ท่านอ๋องมีสิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้” “คุยตรงนี้คงจะไม่สะดวก เจ้าจงตามเรามา” มู่เลี่ยงหรงเดินนำถางซือเซินไปไม่รอช้า ทั้งสองมุ่งหน้ามายังศาลาหลบร้อนในสวนซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณงานเลี้ยงไม่ไกลนัก บุรุษทั้งคู่นั่งลงคนละฝั่งของโต๊ะหินกลางศาลา ผู้ร้อนใจไม่รอช้ารีบพูดธุระทันที เพราะใกล้เวลาฮ่องเต้จะเสด็จแล้ว “เจ้าบอกเรามาเดี๋ยวนี้เลยว่า เหตุใดจึงแนะนำเยี่ยนเยว่ฉีมาให้” “เหตุผลก็คือ ซือเซินเห็นว่านางเป็นสตรีที่เพียบพร้อมเหมาะสมกับท่านอ๋องที่สุดแล้ว” “บังอาจ! เจ้ากล้ามุสาเปิ่นหวาง [2] ” มู่เลี่ยงหรงเดือดดาล กระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะหินจนสั่นไหว เพลิงโทสะแทบจะแผดเผาถางซือเซินให้มอดไหม้ไปตรงนั้น น้ำเสียงก็เข้มขึ้นหลายส่วน เปลี่ยนสรรพนามแทนตัวอย่างผู้เป็นนายในทันที “ดูเจ้าอยากถูกเราสับร่าง แล้วโยนให้ปลาในบ่อกิน” “กระหม่อมมิบังอาจ ท่านอ๋องโปรดลดโทสะด้วย” ถางซือเซินไม่ชอบเลยเวลาที่มู่เลี่ยงหรงกดดันเขาด้วยสรรพนามแบบผู้เป็นนาย เห็นทีต้องยอมถอยก้าวหนึ่ง มิเช่นนั้นก่อนที่แผนจะสำเร็จเขาคงต้องเป็นอาหารปลาอยู่ตรงนี้ “มิบังอาจ แต่โกหกเราหน้าตาเฉย ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายคงเห็นฉินอ๋องเป็นเด็กอมมือกระมัง” มู่เลี่ยงหรงยังคงประชดประชันถางซือเซินต่อไป มาถึงป่านนี้ยังไม่ยอมรับว่ามีแผนการ ดวงตาคมเข้มยังคงฉายเพลิงโทสะแผดเผาคนตรงหน้า นึกอยากจะยกเท้าถีบสหายสักสองสามที “กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว...ท่านอ๋องปรีชายิ่ง” ถางซือเซินลอบปาดเหงื่อบนใบหน้า “ปรีชาหรือ เจ้านี่เหลือเกินนัก สามารถลุกมาประจบประแจงทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ ความสามารถช่างล้นเหลือ สมกับฉายาเพียงพอนข้างบัลลังก์เสียจริง” มู่เลี่ยงหรงหงุดหงิดขึ้นทุกขณะ การจะเปิดปากอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายไยต้องลำบากถึงเพียงนี้ นี่เขาไม่คิดจะพูดแบบตรงไปตรงมาบ้างหรือไร “มิกล้า มิกล้า” “บอกจุดประสงค์อันแท้จริงของเจ้ากับพระเชษฐามาเดี๋ยวนี้ หากไม่พูดเราจะไม่ให้ความร่วมมือใดอีก” “ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีจอมเจ้าเล่ห์ทำยิ้มกริ่มอย่างไม่กลัวตาย ทั้งที่ในใจร่ำร้องว่าแย่แล้ว “ฝ่าบาทต้องการผูกสัมพันธ์กับแม่ทัพใหญ่ให้แน่นแฟ้น ส่วนกระหม่อมเห็นนางงดงามหยาดฟ้ามาดิน เป็นสตรีในแบบที่ท่านอ๋องเคยกล่าวเอาไว้ว่าอยากได้เป็นพระชายา เลยคิดว่าท่านน่าจะโปรดปรานนาง” “หญิงงามในแบบที่เราใฝ่ฝันงั้นหรือ ท่านอัครเสนาบดี เราไม่ใช่พวกลุ่มหลงอิสตรี” มู่เลี่ยงหรงคิ้วกระตุก นี่เจ้าเพียงพอนเห็นเขาเป็นพวกมักมากหรืออย่างไร “แต่การได้พระชายาโฉมงามดั่งเทพธิดาก็ดีมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” ถางซือเซินยกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผู้เป็นอ๋อง เพราะมั่นใจว่าตนเองรู้นิสัยของสหายผู้สูงศักดิ์ดีที่สุด “ท่านอ๋องเห็นด้วยกับกระหม่อมสินะ” ‘ให้ตายสิ เจ้ามานั่งในใจข้าหรือไร’ มู่เลี่ยงหรงรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกรู้ทัน เขาไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่เคาะนิ้วเป็นจังหวะลงบนโต๊ะหิน ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นฉินอ๋องนั่งนิ่งไม่ยอมตอบรับใด ๆ อัครเสนาบดีจำต้องเปิดการสนทนานี้ต่อ หากมู่เลี่ยงหรงไม่ให้ความร่วมมือ เขาคงต้องถูกลงพระอาญาเป็นแน่ “ท่านอ๋อง อีกสักครู่ท่านก็จะได้พบนางแล้ว กระหม่อมรับประกัน นางคือหญิงที่งดงามที่สุดในเมืองหานจี อาจจะงามที่สุดในเมืองหลวงเสียด้วยซ้ำ” “หยุดชมโฉมคุณหนูเยี่ยนเสียที เพราะเราพบนางแล้ว” เมื่อเห็นมู่เลี่ยงหรงปรายสายตาเย็นชาใส่ อัครเสนาบดีรู้สึกขนลุกขนชัน ‘หรือว่าฉินอ๋องจะไม่ชอบนาง’ แต่อย่างไรถางซือเซินต้องถามให้มั่นใจ “แล้วท่านอ๋องคิดเห็นเป็นเช่นไรเล่า” “ในเมื่อเสด็จพี่ทรงเห็นว่านางเหมาะสมกับเรา เช่นนั้นก็ทำตามพระประสงค์เถิด เพียงแต่เราไม่ยินดีที่เจ้าไม่พูดแบบตรงไปตรงมา ไม่คิดบางหรือว่ามันเสียเวลา” มู่เลี่ยงหรงหยุดเคาะนิ้วแล้ว เขาไม่มีทางยอมรับว่าตนเองยินดีทำตามแผนของพระเชษฐากับสหายเด็ดขาด ถึงแม้จะรู้สึกพึงใจในสตรีนางนั้นอยู่ไม่น้อย “ซือเซินขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องล่วงหน้า” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายยิ้มกล่าวอย่างประจบกระแจง “ยินดีเรื่องอะไร ที่เราตอบตกลง เพราะนางเป็นศิษย์ของไป่หลงจิว เราคงต้องคอยจับตาดูเอาไว้ ทั้งหมดนี้เราทำเพื่อฮ่องเต้ทั้งสิ้น มิใช่แค่ต้องการกกกอดสตรีจนหน้ามืด” เมื่อได้ยินคำตอบของมู่เลี่ยงหรงอัครเสนาบดีจอมวางแผนก็โล่งอก เห็นทีการปล่อยข่าวเรื่องคุณหนูเยี่ยนเป็นศิษย์ปรมาจารย์ขลุ่ยโลกันต์คงได้ผลแล้ว ในฐานะสหายตั้งแต่วัยเยาว์เขารู้นิสัยของฉินอ๋องเป็นอย่างดี หากไม่คิดจะบังคับยัดเยียด ก็ต้องหาอุบายทำให้เรื่องส่วนตัวกลายเป็นเรื่องของบ้านเมืองไปเสีย เพียงเท่านี้บุรุษขี้ระแวงก็พร้อมจะกระโจนเข้ามาในหลุมพรางที่เขาขุดเอาไว้แล้ว “กระหม่อมยินดีรับใช้ท่านอ๋อง เพื่อฝ่าบาทและบ้านเมือง ซือเซินจะรีบไปดำเนินการตามที่ท่านอ๋องรับสั่งทันทีพ่ะย่ะค่ะ” “ดีมากซือเซิน ในราชสำนักมีไม่กี่คนที่เราไว้ใจ และหนึ่งในนั้นก็คือเจ้า” “นั่นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ข้าออกจะรู้ใจท่านอ๋อง” ถางซือเซินยิ้มกว้าง ‘เชอะ! เอาความดีใส่ตัวได้ในที่สุด สมเป็นขุนนางเสียจริง’ อ๋องหนุ่มลอบด่าพระสหายในใจอย่างอดมิได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม