หลวงพี่ภัทร

2348 คำ
คนถูกรังแกคิดอย่างพาลๆ แต่จะทำกลับก็ไม่กล้า เพราะถ้าเกิดเขาโมโหขึ้นมา เธอคงได้ถูกฆ่าหั่นศพหมกห้างหาไม่เจอจริงๆ แน่ ถ้อยคำพึมพำนึกสาปส่งดังก้องในใจตลอดทางระหว่างอยู่ในรถ ก่อนคิ้วเรียวจะขมวดขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อรถสภาพกลางเก่ากลางใหม่ขับออกมาได้ไม่ถึงห้านาทีอยู่ๆ กลับหยุดลงเสียดื้อๆ ซวยแล้วไง “รถเสียเหรอ” เจ้าของร่างบางหันไปถามคนขับด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรนัก เธอเห็นเขาเหลือบมองกลับมา ทำสีหน้าเรียบ ตอบแล้วก็เดินลงไปจากรถหน้าตาเฉย “น้ำมันหมด เธอคงต้องลงไปเข็นแล้วล่ะ” กว่าเธอจะรู้ตัวว่าถูกอำเข้าให้อีกแล้วก็ตอนที่เดินตามลงมาแล้วเห็นเขาเดินตรงดิ่งเข้าไปในร้านอาหารร้านหนึ่ง เพราะพยาธิในท้องเริ่มร่ำร้องหาอาหาร เฟญารินจึงไม่รอช้าเดินตามเข้าไปทันที พอเห็นเขานั่งลง เธอจึงนั่งตาม ตากลมกวาดมองสำรวจไปรอบๆ ร้านอาหารตามสั่งโลเคชั่นริมถนน แล้ววกกลับมามองคนนั่งฝั่งตรงกันข้ามอีกรอบ แม้ที่นั่งที่เต็มหมดทุกโต๊ะจะเป็นตัวการันตีรสชาติอาหาร แต่เธอคิดไม่ถึงว่าเขาจะพามาที่นี่ “ทำไมไม่กินในห้างล่ะ” สำหรับเธอไม่ใช่ไม่คุ้นชินหรือกินไม่ได้ ออกจะถูกใจและชอบเสียด้วยซ้ำ แต่ในห้างมีแอร์ อาหารถูกหลักอนามัยและเย็นสบายกว่า เธอเคยได้ยินมาว่าหมอส่วนใหญ่มักจะรักสุขภาพ ด้วยเหตุผลหลายอย่างทำให้พวกเขามีรสนิยมสูงมากกว่าคนปกติ “ก็เอาเงินให้เธอไปหมดแล้วไง เลี้ยงด้วย” ภัทรดนัยเงยหน้าขึ้นมาตอบ แล้วก้มลงไปให้ความสนใจกับเมนูอาหารตรงหน้าต่อ “แต่หมอเงินเดือนเยอะไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวออกความเห็น ระหว่างนั้นสายตาก็จดจ้องอยู่กับภาพอาหารประกอบเมนูหลากหลาย เธอกำลังเลือกว่าจะกินสุกี้น้ำเพื่อลดความอ้วน หรือข้าวปลาหมึกผัดพริกเผาร้อนๆ ให้อ้วนสะใจไปเลยดี “เยอะที่ไหน โรงพยาบาลรัฐบาลนะครับไม่ใช่เอกชน” “แต่ฉันเคยได้ยินเพื่อนพูดกันนะว่าต่อให้เป็นโรงพยาบาลรัฐบาล แต่เงินเดือน ค่าเวร บวกอะไรต่อมิอะไรรวมแล้วก็ปาไปตั้งหลายหมื่น” …ซึ่งก็คงมากกว่าพนักงานกินเงินเดือนทั่วไปหลายเท่า ยิ่งถ้าเขาบอกว่าจบเฉพาะทางแล้วอย่างนี้ ต่อให้อยู่โรงพยาบาลสังกัดรัฐบาล บางทีอาจเลยไปถึงเลขหกหลักแล้วด้วยซ้ำ “พี่ต้องใช้หนี้น่ะ” ภัทรดนัยตอบส่งๆ โดยเลือกที่จะไม่อธิบายให้มันมากความถึงเศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่ ตลาดหลักทรัพย์ทำเขาขาดทุน เขากำลังยืนอยู่บนดอยอันหนาวเหน็บ แถมยืมเงินพี่ชายมาลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อนติดหนี้พี่หนึ่งอีกมหาศาล “ว่าแต่เราเถอะ มีเพื่อนเป็นหมอกับเขาด้วยเหรอ” …เยอะแยะมากมาย แต่เธอจำต้องเก็บคำตอบของตัวเองกลืนลงคอไปเงียบๆ เพราะตาคมกริบที่หรี่มองมาอย่างจับผิด “ก็พูดให้ดูดีไปอย่างนั้นล่ะ ความจริงก็เดาไม่ยากนี่นา หมอรวยออกจะตาย ใครๆ เขาก็อยากเป็นลูกเป็นเมียหมอกันทั้งนั้น” คนร้อนตัวลอยหน้าลอยตาแก้ตัวออกไปเสียยาวเหยียด พอดีกับพนักงานเข้ามาเสิร์ฟน้ำเลยช่วยชีวิตเธอไว้ได้ทัน หญิงสาวลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นเขาคนละความสนใจจากเธอ แล้วไปวุ่นวายกับการเทน้ำอัดลมใส่แก้ว ทว่าประโยคเสียงเรื่อยๆ ที่เขาถามกลับมา ทำเอาคนถูกถามแทบสำลักน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไป “แล้วเธออยากเป็นบ้างไหมล่ะ เมียหมอน่ะยัยตัวยุ่งเหยิง จะได้รู้ว่านรกมันมีจริง” เฟญารินใจสั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เธอพยายามบังคับสายตาไม่ให้มองขึ้นไปด้านบนเพราะกลัวไปสบกับสายตาของเขา เธอตอบเขา ตามด้วยการหัวเราะกลบเกลื่อนเสียงดัง “นรกเพราะมาจับได้ทีหลังว่าสามีของตัวเองเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันเหรอ” แนบเนียนมาก ต่อให้คุณหมอเคยเรียนจิตวิทยามา แต่เจอซ้อนแผนแบบนี้จับไม่ได้แน่ว่าเธอโกหก สายตาทะมึนทึงของคนถูกกล่าวที่ถลึงมองกลับมาทำให้เฟญารินยิ่งขำ “ไม่ใช่พี่โว้ย ลองมาตรวจคนไข้ไม่หยุดแล้วอดนอนสักสามวันติดกันดูบ้าง จะได้รู้ว่ามันเพลียร่างขนาดไหน” …หลังจากนั้นเธอจึงต้องฟังคุณหมอสาธยายถึงงานอันหนักหน่วงของเขาจนอาหารมาเสิร์ฟ “แต่มันดูท้าทายแถมน่าสนุกดีออก แล้วทำไมถึงเลือกเป็นหมอสูติฯ ล่ะ แล้วก็แปลกนะ หมอสูติฯ ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชายทั้งที่เป็นเรื่องของผู้หญิงแท้ๆ” หญิงสาวตั้งข้อสันนิษฐานระหว่างแอบมองไปทางจานกะเพราไก่กับไข่ดาวหน้าตาจืดชืดเพราะไม่มีพริกของเขา …ไม่น่าเชื่อว่านิสัยเถื่อนขนาดนี้ แต่กินอะไรได้คุณหนูมาก “เธอก็ลองมาดึงหัวเด็ก ยืนผ่าตัดติดต่อกันเป็นสิบชั่วโมงบ้างไหมล่ะ จะได้รู้ว่าไหวหรือเปล่า” คุณหมอว่าพลางตักอาหารหลักมื้อแรกของวันเข้าปาก หลังจากตลอดหนึ่งวันที่ผ่านมาเขาดำรงชีวิตโดยมีแค่น้ำเปล่า กาแฟ กับขนมปังที่ยัดเข้าปากไปได้ไม่ถึงสองคำก็ถูกตามตัวไปผ่าตัดด่วนเพราะคนไข้มีปัญหาต้องผ่าคลอดฉุกเฉิน ไม่ผิดจากที่เขาพูดเลย สูตินรีเป็นส่วนผสมระหว่างอายุรศาสตร์ ศัลยศาสตร์ สูตินรีเวชและการดูแลทารกในครรภ์ เป็นความแตกต่างอย่างสุดขั้วในการใช้ไหวพริบความรู้และการตัดสินใจเด็ดขาดเฉียบพลันในการแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าให้หนึ่งชีวิตซึ่งเป็นผู้ให้กับอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลกปลอดภัย และในขณะเดียวกันก็ต้องมือนิ่ง มีความใจเย็นมากพอในการเข้าใจผู้หญิงเมื่อยามต้องรักษาหรือให้คำปรึกษากับคนไข้ ภัทรดนัยยอมรับว่าถ้าให้เลือกเขาคงถนัดอย่างแรกและค่อนข้างปฏิเสธอย่างหลัง แต่จะให้เลือกเรียนเป็นศัลยศาสตร์ผ่าๆ เย็บๆ โดยตรงอย่างเดียวก็คงไม่เอา มันเหมาะกับนิสัยมากเกินไป จนดูเป็นเรื่องไม่ท้าทายเท่าที่ควรสำหรับเขา ลองคิดดูสิ ว่ามันเป็นเรื่องชวนให้ตื่นและหนวกหูดีขนาดไหน ที่ได้ทำให้เด็กออกมาแหกปากร้องวันละหลายๆ คนด้วยมือตัวเอง เป็นความเถื่อนที่อ่อนโยนและเสี่ยงต่อการเอาขาเข้าตารางมากๆ ปริวัตรเพื่อนหมอรุ่นเดียวกันกับเขาซึ่งเลือกไปเรียนต่อเฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์เคยให้คำนิยามไว้ว่าอย่างนั้น หลังจากผัดกะเพราไม่ใส่พริกหมดไป ภัทรดนัยก็ตามด้วยผัดพริกแกงที่ยังคงความเผ็ดน้อยไว้เหมือนเดิมอีกจาน กินจุอย่างนี้มิน่าตัวถึงได้โตจัง เฟญารินคิดเรื่อยเปื่อยระหว่างนั่งมองเขาตักข้าวจานที่สองเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย แต่ด้วยความอยากรู้จึงอดถามไม่ได้ “คุณไม่กินเผ็ดเหรอ” “อืม” ส่วนคำตอบที่ได้ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรมากมายกว่าที่เธอเห็น!! ทีอย่างนี้ล่ะสงบปากสงบคำซะเหลือเกิน สงสัยน้องหมาในปากคงไม่ชอบรสชาติจัดจ้าน… คนตัวเล็กแอบย่นจมูกใส่แล้วหาข้อสรุปให้กับตัวเองว่าอย่างนั้น ก่อนก้มลงไปจัดการกับปลาหมึกผัดพริกเผาที่พร่องไปไม่ถึงครึ่งในจานของตัวเองบ้าง ระหว่างนั้นก็ลอบพิจารณาคนนั่งฝั่งตรงข้ามไปด้วย ท่าทางของเขาเป็นธรรมชาติ ตอนเธอถามเขาก็ตอบออกมาเลย สายตาเคลื่อนที่ไปทางซ้ายบนเป็นพฤติกรรมท่าทางสัมพันธ์กับสมองซึ่งจะแสดงออกมาเวลารื้อฟื้นความจำ ไม่มีตอนไหนที่เธอเห็นตาคู่นั้นมองลงมุมขวาล่าง แสดงว่าเขาไม่ได้โกหก นี่ถ้าเขาไม่บอกว่าตัวเองเป็นหนี้ เธอจะไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าเขาจน เพราะดูจากรูปร่างหน้าตา ผิวขาวออร่า แล้วยังหน้าที่การงาน ให้มองอย่างไรความสมบูรณ์พร้อมในตัวภัทรดนัยก็ดึงเขาให้ห่างออกมาจากคำนั้นลิบลับ แต่ก็นั่นล่ะ พอมาคิดดูอีกที กินข้าวข้างทาง อยู่บ้านพักของโรงพยาบาล ขับรถสภาพกลางเก่ากลางใหม่… หากจะมองว่าใช้ชีวิตเรียบง่าย ระดับคนอย่างเขาเธอก็มองว่ามันดูจะง่ายเกินไปสักหน่อย แต่เอาเถอะ บางทีหนี้สินของเขาสร้างอาจเกิดจากน้ำหอมชาแนล กระเป๋าแอร์เมสใบละหลายแสน ไหนจะค่าเทอมเด็ก หรือคอนโดเอาไว้เลี้ยงดูอีหนูในสังกัด อาจเป็นอย่างนั้นมันก็ไม่แน่ หลังจากเขากินข้าวสองจานหมดเกลี้ยงอย่างรู้คุณค่าของอาหาร และถ้าแบ่งปลาหมึกผัดพริกเผาที่เธอกินไปไม่ถึงครึ่งไปกินต่อได้เขาคงทำไปแล้ว ภัทรดนัยก็พาเธอเดินมาซื้อกาแฟรอบดึก แถมเขายังซื้อขนมติดมือไปถุงใหญ่ โดยอ้างว่าต้องอยู่เวรดึกและขนมส่วนหนึ่งจะเอาไปติดสินบนพยาบาลด้วยเรื่องอะไรสักอย่างที่ตอนนั้นเธอฟังไม่ค่อยถนัด แต่ระหว่างทางกลับเธอก็เห็นเขาหยิบขนมสินบนเข้าปากตัวเองจนหมดไปเป็นถุง “ขอบคุณนะที่มาส่ง” เป็นครั้งแรกที่ยัยตัวแสบยกมือไหว้ และนั่นทำให้คนถูกให้ความเคารพต้องรีบรับไหว้กลับแทบไม่ทัน อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองแก่ถนัดผิดวัยสามสิบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “เอาขนมของเธอไปด้วย มีแต่ช็อกโกแลตอย่างนี้ เก็บไว้กินพรุ่งนี้นะถ้าไม่อยากเตี้ยสั้นและตันไปมากกว่านี้” ภัทรดนัยก้มลงพิจารณาชนิดของขนมในถุงที่เอื้อมไปหยิบมาจากเบาะหลังเพราะตอนซื้อเขาปล่อยให้เธอเลือกเองตามใจชอบ แล้วส่งให้ใครอีกคน …ถ้าไม่ใช่คำเตือน เขาก็กำลังประณามว่าเธออ้วน พอรวมเข้ากับสายตายิ้มกวนประสาทของอีกฝ่าย เธอจึงสรุปได้ว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า “น่าเกลียด ลองให้ฉันสูงเท่าคุณบ้างสิ ไม่สูงบ้างก็แล้วไป” มันเป็นกรรมของผู้หญิงน้ำหนักสี่สิบเก้าแต่สูงได้แค่เฉียดร้อยหกสิบเซนติเมตรแถมน้ำหนักมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นในขณะที่ส่วนสูงหยุดอยู่กับที่ไม่กระเตื้องไปไหน นี่ถ้าตอนเด็กไม่แอบแม่กินช็อกโกแลต แล้วตั้งใจกินนมให้สูงกว่านี้อีกสักห้าเซน เธอคงไม่ต้องโดนไอ้คนสูงจัดไม่น่าต่ำกว่าร้อยแปดสิบห้ามองด้วยสายตาตั้งคำถามประมาณว่าเธอชอบนักหรือไงกับการสูดอากาศบนพื้นที่ข้างล่างแบบนี้ หารู้ไม่ว่าคนมองไม่ได้คิดอย่างที่คนถูกมองมโนเลยสักนิด มือใหญ่เคาะพวงมาลัยรถเล่นพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ความจริงเขากำลังสงสัยว่าเมื่อไรยัยเด็กแสบจะเลิกปีนเกลียวแทนตัวเองว่า ‘ฉันอย่างนู้น ฉันอย่างนี้’ สักที “แต่เอาเถอะ แล้วอยู่บ้านคนเดียวอย่าช๊อกตายไปซะก่อนล่ะ” …แต่เพราะรู้ว่าพูดไปคงไร้ประโยชน์ คนตัวโตเลยแกล้งรวนเปลี่ยนไปเป็นอีกเรื่องถือเป็นการเอาคืนเบาๆ แล้วก็สำเร็จ ภัทรดนัยแสร้งตีหน้าเรียบโบ้ยไปทางผ้ายันต์สีแดงที่ติดไว้หน้าประตูบ้านขณะกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจเมื่อได้เห็นท่าทางกลัวขึ้นมาทันใดของใครอีกคน “แต่ไม่ต้องกลัวหรอก ถึงมิ้นท์เขาเคยเจอผีหลอกจริงๆ แต่เขาหาผ้ายันต์มาติดหน้าบ้านไว้แล้ว” เสียงทุ้มอ่อนโยนเหมือนปลอบ แต่สายตาอมยิ้มของเขานี่มันร้ายกาจมาก แต่คนกลัวก็คือคนกลัว ความกลัวไม่เคยเข้าใครออกใคร เฟญารินมองตามสายตาคมไปยังผ้ายันต์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดงลงอาคมด้วยตัวอักษรดูขลังหน้าประตูบ้าน แล้วอดไม่ได้ที่จะถามเขาเพื่อความแน่ใจอีกประโยค “ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หรือเปล่า” “อือ สบายใจได้ หลวงพี่ภัทรศักดิ์สิทธิ์มาก” คนถูกถามตอบออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังเต็มที่ ถึงบ้านนี้จะไม่เคยมีเหตุการณ์หลอน แต่เพราะมินตราเป็นคนกลัวผีขึ้นสมองมาแต่ไหนแต่ไร จึงขอร้องให้เพื่อนอย่างเขาไปหาของขลังจากวัดดังมาติดเป็นพร็อพไว้หน้าบ้านเพื่อความอุ่นใจ ตอนนั้นเขาจำได้ว่ายอมทำตามเพราะโดนอีกฝ่ายตื้อจนรำคาญ รวมถึงสินบนที่มินตราสัญญาว่าจะยอมเป็นสะพานทอดให้เขาเหยียบไปสานสัมพันธ์เพื่อนของเธอที่เขาถูกตาต้องใจ ส่วนยันต์ที่ว่าก็ไม่ได้หามาจากที่ไหนไกล เกิดจากวันนั้นเขากลับบ้านแล้วนึกครึ้มอกครึ้มใจเลยชวนภัทรพลพี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาช่วยละเลง เพราะอีกฝ่ายก็ต้องการนำไปติดไว้หน้าห้องพักบนชั้นสิบสามของโรงแรมหลอกให้แขกที่เข้ามาพักอาศัยได้อุ่นใจเหมือนกัน “จริงๆ นะ” คนกลัวจัดยังไม่วายถามย้ำ พอเห็นหน้ายัยแสบซีดเผือดขนาดนั้นมันก็ตลกดี ความจริงแล้วเขาอยากแกล้งเธอต่ออีกสักหน่อย แต่พอเหลือบดูนาฬิกาก็ต้องลอบถอนหายใจเฮือก “เอาน่า มียันต์ที่หลวงพี่ภัทรปลุกเสกเองกับมืออยู่บ้านตั้งผืนจะกลัวอะไร” คนขี้แกล้งพูดบอกด้วยใบหน้ากลั้นยิ้ม …หลวงพี่ภัทรที่ว่า ก็ไม่ใช่ภัทรไหน ภัทรพลกับภัทรดนัยนี่ล่ะ นี่เขาเล่นแรงไปหรือเปล่า หลอกผียังไม่พอ แล้วยังผ้ายันต์นั่นอีก มีหวังถ้าคนกลัวจัดรู้ขึ้นมาได้ช๊อกตายคาบ้านแน่ๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม