ที่รัก
สวัสดี ฉันชื่อ ที่รัก ใช่ ที่รักเนี่ยแหละถูกแล้ว ตอนนี้เรียนอยู่มหาลัยปี 2 เอกวิจิตรศิลป์ พูดถึงเรื่องชื่อ เพื่อน ๆ ไม่ค่อยเรียกที่รัก หรือรักเฉย ๆ หรอก ไม่เรียกเจ้าที่ก็เรียกอัปลักษณ์ ตามนั้นแหละ ‘หน้าตาของฉันมัน ‘แย่’
แรก ๆ ก็ไม่โอเคนะ หลัง ๆ มันเริ่มจะชินไปเอง จริง ๆ ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่มัธยมแล้ว แต่ก็ยังดีที่ข้างบ้านมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก อันที่จริง... มันก็ล้อนะเรื่องหน้าตาอะ แต่มันไม่เคยล้อฉันแบบจริง ๆ จัง ๆ เหมือนกับที่คนอื่นทำเลย แบบ... อืม มันรู้สึกได้ว่าแค่ล้อเล่น หรือฉันคิดไปเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
แต่คิมมันอยู่ข้างฉันมาตลอด จนบางทีฉันก็แอบคิดว่า... มันอาจจะรู้สึกแบบเดียวกับฉันก็ได้ แต่ก็นะ มันทั้งหล่อ ทั้งเป็นตัวท็อป แถมยังเจ้าชู้อีกต่างหาก ตั้งแต่มัธยมจนตอนนี้เราเรียนมหาลัยแล้ว ถ้าให้ฉันนับจำนวนแฟนมันบอกตรง ๆ ว่านับไม่ได้เลย เยอะจนบางทีก็ลืมว่าใครบ้าง ฉันมันก็เป็นได้เท่านี้แหละ คนที่อยู่ข้างมันเวลาที่มันไม่มีใคร เป็นทุกอย่างยกเว้นอย่างที่อยากจะเป็น....
-ที่หน้าตึกคณะ-
ฉันมานั่งรอ ไอ้คิม เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉันตั้งแต่บ่ายสาม จนตอนนี้มันก็ห้าโมงกว่าแล้ว แต่มันยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเลย
-สายเรียกเข้า-
-คิม-
“เออ” ฉันกดรับสายก่อนจะพูดไปอย่างไม่พอใจนัก ก็แน่ล่ะรอตั้งนานขนาดนี้ ทั้งที่งานก็เป็นงานของมัน คนที่นัดฉันมาก็มัน แต่เจ้าตัวไม่รู้ไปซุกหัวอยู่ที่ไหน
“มึงอยู่ไหน” ทำเป็นมาถามเสียงตื่นตกใจนัดกันในไลน์ โทรมาในไลน์ ไม่เห็นจริงเถอะ!!
“มึงนัดกูที่ไหน” ฉันเลยย้อนถามมัน
“ใต้ต้นไทรข้างตึกวิทย์” พอฉันได้ยินคำตอบ ตาก็กลอกขึ้นไปบนฟ้าโดยอัตโนมัติ
“ตึกคณะเถอะ!!”
“เชี่ย จริงเหรอ กูมารอมึงเป็นชั่วโมงเลยนะเนี่ย”
เชื่อก็บ้าแล้วล่ะ คนอย่างมันน่ะเหรอจะรอฉันได้เป็นชั่วโมง
“ตอแหล ไม่เนียนด้วย” ฉันต่อว่ามันทันที อย่างที่ฉันบอก นัดกันดิบดีในไลน์ถ้ามันย้อนกลับไปอ่านแชทนิดหน่อยก็น่ารู้แล้วว่านัดกันที่ไหน และตึกคณะกับตึกวิทย์ก็ไม่ได้ไกลกันขนาดนั้น ถ้ามันอยู่ในเขตรั้วมหาลัยจริงแค่ขับรถมาอีกหน่อยก็ถึงตรงที่นัดกันแล้ว ฉันไม่น่ามาเสียเวลากับมันเลยจริง ๆ
“เออๆ กูเพิ่งไปส่งจอยที่หอ ตอนแรกก็กะว่าจะดูหนังเฉยๆ จบแล้วก็ไปส่ง แต่เขาชวนกูขึ้นไปกินขนมอะเราก็เลย...”
ฉันกดวางสายทันที คนรอก็รอไปเถอะ มันไปมีความสุขอยู่ไหนก็ไม่รู้ ฉันเก็บของที่เตรียมมาช่วยมันทำงานใส่กระเป๋าอย่างโมโห ไม่ใช่โมโหธรรมดานะ โมโหแล้วทำอะไรเขาไม่ได้เพราะไม่มีสิทธิ เก็บของเสร็จก็เตรียมตัวกลับหอทันที ไม่ต้องทงต้องทำมันแล้ว งานใครก็ทำเอาเองเถอะว่ะ โมโห!!! ฉันต้องเดินจากมหาลัยไปยังหอของตัวเอง ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก เดินประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้วมั้ง
“อ้าว...เจ้าที่ไปไหนมา” ระหว่างเดินกลับหอ ก็ดันไปเจอ เจน (เพื่อนที่คณะ) เนี่ยแหละคำทักทายของเพื่อน ๆ เมื่อไหร่จะเลิกเรียกแบบนี้วะ ฟังดูขนลุกยังไงไม่รู้ เรียกอัปลักษณ์ซะยังดีกว่าอีก บางทีเดิน ๆ อยู่ได้ยินคนเรียกเจ้าที่ ๆ แล้วขนหัวมันก็ลุกเหมือนกันนะ
“ไปตึกคณะมาอะ”
“ไปทำอะไรอะ?”
แหม! ไอ้เรื่องสอดรู้สอดเห็นนี่ไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยนะ
“ไปเอาของ กำลังจะกลับ มีอะไรไหม?” ฉันล่ะไม่อยากเสียเวลาคุยกับยายนี่เลย กลัวไอ้คิมมันจะมาเจอเข้าก่อน แล้วเดี๋ยวจะใจอ่อนยอมกลับไปช่วยมันทำงานง่าย ๆ
“ไม่มีนะ แค่ทักทายตามประสาเพื่อน” จ้า... ฉันพยักหน้าพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ ให้มันไป เพื่อนกับผีอะไรล่ะ ตั้งแต่เรียนด้วยกันมา ได้ยินแม่นี่นินทาฉันเรื่องไอ้คิมนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ไหนจะที่ชอบเปลี่ยนฉันให้เป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นอีก ถ้าถามว่าในรุ่นใครแกล้งฉันเก่งที่สุด เจนมันคือคำตอบเดียวที่มีอยู่ในหัวฉันเลย
-19:04 น ที่หอพักหญิงวราลี-
ฉันกำลังวาดรูปไปพร้อมกับเปิดฟังเพลงเก่าๆ ได้อารมณ์ดีนะ
Line!! -คิม-
คิม :ลงมาหน่อย
ฉันกดเข้าไปอ่านแต่ไม่ได้ตอบกลับไป โกรธจริงจังอะ ไม่มาหรือมาสายทำไมไม่บอกก่อนวะ แล้วแทนที่จะโกหกให้มันดูดีหน่อยยังจะมาพูดถึงแฟนให้ฟังอีก
คิม :งอนเหรอวะ
ฉันยังคงกดอ่านและไม่ตอบเหมือนเดิม
คิม :ขอโทษจริง ๆ
คิม :ลงมาหน่อยนะที่รัก
สกิลเรียกชื่อเต็ม เหอะ! ลูกไม้เดิม ๆ ไม่ได้แดกกูหรอก อยากเรียกเจ้าที่ก็เรียกให้ได้ตลอดดิวะ ฉันหันมองหน้าจอโทรศัพท์ทุกครั้งที่เสียงแจ้งเตือนดัง
คิม :มึงตอบกูหน่อยดิรัก
ฉันแอบมองลงไปที่หน้าต่างเห็นไอ้คิมมันนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์กดโทรศัพท์อยู่นอกรั้วตรงกับหน้าต่างห้องฉันนี่แหละ
คิม :ไหนบอกเพื่อนกันไง
เพื่อน คำนี้ปักทะลุเข้ากลางอกซ้ายอย่างเต็มแรง ไม่รู้สิ... จริง ๆ สถานะของฉันกับมันก็คือเพื่อนมาโดยตลอดแต่ไม่รู้ทำไม หลาย ๆ ครั้งที่มันพูดทำนองว่าเราเป็นเพื่อนกัน มันทำร้ายคนฟังอย่างฉัน....ครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉัน :อืม เดี๋ยวลงไป
สุดท้ายฉันก็ยอมแพ้มันทุกที พอตอบแชทเสร็จ ก็เดินลงไปหามันที่นอกเขตรั้วหอพัก พอไปถึงมันก็ยิ้มดีอกดีใจใหญ่
“มีอะไร จะให้ไปช่วยทำงานเหรอ” ฉันแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ แต่ก็รู้อยู่หรอกว่ามันคงไม่แคร์อยู่แล้ว
“โห กูหลอกใช้มึงบ่อยขนาดนั้นเลยหรือไง”
ยังจะมีหน้ามาถามอีกเหรอ กี่งานแล้วที่กูทำให้มึงเนี่ย อย่าใช้คำว่าบ่อยเลยเหอะ ใช้คำว่าตลอดเลยดีกว่า
“ถ้าไม่ใช่เรื่องมาหลอกกูไปช่วยทำงาน แล้วมีอะไร”
“กินข้าวหรือยัง”
“กินแล้ว”
ฉันไม่ได้โกหกกินไปแล้วจริง ๆ หงุดหงิดงุ่นง่านเลยซัดข้าวไปเต็มอิ่ม พูดแล้วก็อยากจะฟาดอีกสักชาม
“โกหก”
“กูไม่ได้โกหก” ฉันเถียงเสียงดังลั่น
“อ่า ๆ งั้นไปกินเป็นเพื่อนกูหน่อย”
อะไรก็เพื่อนๆๆๆจำได้แล้วโว้ย จำได้ขึ้นใจเลยด้วยว่าเป็นได้แค่เพื่อน!!
“ไม่ชวนเมียมึงไปอะ” ฉันเลยพูดประชดมันไป
“เพิ่งไปดูหนังด้วยกันมา แล้วก็....”
“ไม่ต้องพูด ไม่ได้อยากจะรู้ว่าไปฮึฮะอะไรกันมา” ฉันรีบแทรกขึ้นทันที คนยิ่งโมโหเรื่องนี้อยู่ยังจะมาย้ำอีก
“ทะลึ่งนะมึงเนี่ย กูจะบอกว่าแล้วก็กินขนมกัน มาฮึฮะไรวะ”
“ไปชวนคนอื่นเถอะ กูง่วงแล้ว อยากนอน” เพราะยังโกรธอยู่นั่นแหละอารมณ์ยังไม่ปรับสภาพเลย อยากอยู่คนเดียว ฟังเพลงเก่า ๆ สมัยพ่อยังหนุ่ม ๆ
“ง่วงอะไรวะ ยังไม่สองทุ่มเลย กูเห็นมึงนอนตีสองตีสามทุกวัน”
“ตกลงคือจะเอากูไปเป็นเพื่อนให้ได้? ว่างั้นเถอะ”
“หรือมึงจะลองไปเป็นแฟนล่ะ” มันพูดพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้าฉันอย่างไม่รังเกียจ เฮ้ย อย่ามาทำแบบนี้นะ กูคิดจริงนะ ฉันเอามือผลักหน้ามันออกไปพร้อมกับหันหน้าหนี
“จะไปก็ไปอย่าลีลา” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่อง ถึงหน้าจะดำ ไฟจะสลัว แต่ก็กลัวมันจะดูออกว่าฉันเสียอาการ
“อ้าวงั้นก็ขึ้นรถดิ”
ฉันซ้อนท้ายไอ้คิมไปที่ร้านข้าว ระยะทางก็ค่อนข้างไกลจากหอพักอยู่พอสมควร
-ร้านข้าว-
มันก็นั่งกินไปเราคุยกันไป จนมันกินเสร็จสักพัก เสียงโทรศัพท์ของไอ้คิมก็ดังขึ้นมา มันยกขึ้นมาดูชื่อคนโทรเข้า แล้วก็วางกลับที่เดิมอย่างไม่สนใจไยดีสักนิด
“อ้าวไอ้นี่ ทำไมไม่รับอะ” ฉันพูดขึ้นเพราะเห็นว่ามันดังหลายรอบแล้ว คนโทรมาอาจจะมีธุระสำคัญก็ได้
“จอยโทรมาอะ ขี้เกียจคุย เดี๋ยวพอรู้ว่าอยู่กับมึงก็ทะเลาะกันเปล่า ๆ”
ได้แล้วก็เบื่อล่ะสิ มึงเนี่ยนะ
“นิสัยมึงนี่นะ”
“กูไม่ชอบคนจู้จี้จุกจิก เพิ่งวางสายก่อนจะมาหามึงเนี่ย จะโทรมาเอาอะไรอีก วันนี้ก็เจอกันแล้ว” เสียงโทรศัพท์ยังคงดังไม่หยุดจนในที่สุด ไอ้คิมมันต้องกดปิดเสียง
“มึงจะกลับห้องเลยหรือเปล่า” ไอ้คิมถามขึ้น
“มึงจะไปไหนต่อล่ะ” ฉันเลยย้อนถามมัน ก็ตอนแรกมันบอกว่าจะให้มาเพื่อนกินข้าว อิ่มแล้วก็ต้องกลับห้องสิ
“อืมถ้ามึงจะกลับกูจะไปส่ง แล้วเดี๋ยวจะเลยไปทำงานต่ออะ”
“ยังไม่เสร็จอีกเหรอวะ”
พอรู้ว่างานมันไม่เสร็จ ก็หลุดปากถามไปจนได้
“กูทำคนเดียวไหมล่ะ จะเสร็จทันส่งได้ยังไง” มันแก้ตัวไปข้าง ๆ คู ๆ
“กูก็ทำคนเดียว” ฉันรีบเถียงกลับทันที งานเดี่ยวใครก็ทำคนเดียวกันทั้งนั้นที่จะเสร็จไม่ทันเพราะมันดองงานแล้วเอาเวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่า
“มึงทำตั้งนานแล้วนี่ แต่กูยังไม่ได้เริ่มสักนิดเดียว”
“ก็มึงไม่ทำเอง มีเวลาตั้งนาน เอาไปทำอะไรหมดล่ะ” ฉันถอนหายใจพร้อมกับส่ายหัว เอาเวลาไปอยู่กับผู้หญิงจนไม่มีเวลาทำงานทำการ พ่อแม่ส่งให้มาเรียน ตั้งใจหน่อยสิวะ ฉันก็อยากจะบอกมันแบบนี้นะ แต่กลัวจะล้ำเส้นมากเกินไป
“เออ ๆ ทีหลังจะทำพร้อมมึงก็แล้วกัน แต่เอายังไง จะกลับใช่ไหม หรือว่าอยากไปไหนก่อนไหมจะพาไป มึงไม่มีรถนี่”
“ก็...ไปช่วยมึงก็ได้ ส่งพรุ่งนี้ก่อนเที่ยงแล้วนะเดี๋ยวก็ไม่มีงานส่งหรอก”
“มึงนี่มันน่ารักจริง ๆ มาจุ๊บทีดิ๊” คิมพูดพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างมาจับที่หัวฉันแล้วดึงเข้าไปจูบที่หน้าผาก ฉันเลยต้องผลักหน้ามันออกไป เขินเป็นบ้า คิดอะไรวะเนี่ย มันก็แค่หลอกให้ไปช่วยทำงาน
“มึงจะทำไหม งานเนี่ย” เพราะคำว่างานทำให้ฉันมีอำนาจเหนือมันอยู่ ฉันเลยเลือกจะหยิบเอาคำนี้ขึ้นมาข่มขู่
“ครับ ๆ ขึ้นรถครับ”
เฮ้อ... สุดท้ายฉันก็ยอมขึ้นรถไปกับมันจนได้สินะ
-ที่ห้องพักชมรม-
ฉันเดินตามคิมไปในห้อง ข้าวของกระจัดกระจายเต็มไปหมด มีเพียงโปรเจ็คที่จะส่งในวันพรุ่งนี้ของมันที่ตั้งเด่นและดูไม่เป็นขยะอยู่ตรงจุดกลางห้อง
"ทำไมมันเละเทะแบบนี้ล่ะ" ฉันก้าวขาเข้าไป ก่อนใช้เท้าเขี่ยพวกกระดาษและแก้วพลาสติกที่ล้มอยู่บนพื้น
“ก็บอกไปแล้วไง... กูทำคนเดียว" ไอ้คิมหันมาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"ไหน งานถึงไหนแล้ว"
ฉันมองดูภาพวาดบนผ้าใบ มันเหมือนจะเสร็จแล้วในมุมของคนทั่วไป แต่สำหรับเด็กที่เรียนสายนี้โดยตรง ฉันว่ายังมีอีกหลายจุดที่มันยังเติมได้อีกเพื่อความสมบูรณ์
"สัก 80% กูว่ามันน่าจะเสร็จแล้ว เหลือแค่ลงดีเทลนิดหน่อย" ฉันพยักหน้ารับ คิมมันเริ่มลงมือทำงานต่อ ฉันเลยช่วยเดินเก็บข้าวของที่กระจายตามพื้น พอเสร็จงานจะได้กลับเลย
ครืดดด ครืดดด
เสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นเป็นระยะ ๆ ท่ามกลางความเงียบระหว่างฉันกับไอ้คิม ไม่บอกก็รู้ว่าใครที่เป็นคนโทรเข้ามา
แกร่ก แอ๊ดดดด....
หลังจากที่เสียงโทรศัพท์สั่นเงียบไปแล้วก็มีเสียงประตูเปิดดังขึ้น เสียงนั่นทำให้ฉันต้องละมือจากการเก็บของแล้วหันไปมองว่าใครมา
"อ้าว มาทำอะไรเจน"
ไอ้คิมเองก็คงหันไปมองเหมือนกับฉันแต่ปากมันไวกว่า มันเอ่ยทักคนที่เปิดประตูเข้ามาอย่างเบามือ แม่นั่นได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แทนคำตอบ ดูท่าทางมีพิรุธยังไงก็ไม่รู้ เจนที่ว่านี่ก็คือ คนเดียวกับที่ฉันเจอเมื่อเย็นนี่แหละ
"เราเห็นไฟเปิดอยู่นึกว่าใครลืมปิด เลยมาดู"
โคตรไม่เนียน น้ำหน้าอย่างยายนี่น่ะเหรอจะมาปิดไฟ แต่ไอ้คิมก็พยักหน้าตอบรับแล้วหันกลับไปลงมือทำงานต่อ
"แล้วคิม...ทำอะไรอยู่เหรอ ทำไมยังไม่กลับล่ะ”
"เคลียร์งานไง" ไอ้คิมว่าพร้อมกับใช้พู่กันชี้ไปที่งานของมัน ก็จริง ไม่รู้จักแหกหูแหกตาดูบ้างสักแต่จะถาม
"อ๋อ ว้ายยยย!!!! "
นางเพิ่งเห็นฉันล่ะ แล้วแหม!! เล่นใหญ่โต!!! ร้องอยากกับเห็นอนาคอนด้านอนขดอยู่ในห้องนี้แบบนั้นแหละ
"เจ้าที่ก็อยู่ด้วยเหรอ ตกใจหมดเลย"
ดูมันพูดสิ เดี๋ยวเข้าก็สิงซะเลยนี่ ฉันก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อปล่อยให้ยายผีบ้ามันโหวกเหวกโวยวายไปคนเดียว สักพักพอไม่มีใครสนใจ เจนก็กลับไป ฉันกับไอ้คิมก็อยู่ต่อกันจนประมาณเที่ยงคืนได้
"เสร็จสักที รอสีแห้งก็พร้อมส่งแล้ว" มันลุกจากเก้าอี้แล้วมองดูผลงานตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
"มึงจะทิ้งไว้นี่เหรอ" ฉันเอ่ยปากถามขึ้น เพราะห้องพักชมรมปกติแล้ว
"แล้วจะแบกกลับหรือไง สียังแฉะ ๆ อยู่เลยเนี่ย"
"ตามใจมึงนะ"
ปังงงง!!
เสียงประตูกระทบผนังห้องดังสนั่น ทำให้รับรู้ได้ถึงความแรงที่ถูกเหวี่ยง
"โทรศัพท์ทำไมไม่รับ ไลน์ก็ไม่ตอบ" และนี่ก็คือจอย แฟนคนปัจจุบันของไอ้คิมมัน ซวยแล้วกู ซวยแน่ ๆ
"ทำงานไงจอย เราก็บอกจอยไปแล้วนะ"
"ไหนงาน เห็นแต่ตัวเองกับอีผีนี่นั่งอี๋อ๋อกันอยู่"
อ้าวเฮ้ย มันพาลค่ะ อยู่ ๆ ก็ลากกูเข้าไปเกี่ยวเฉยเลย แล้วก็ไม่ได้อี๋อ๋อกันด้วย อยู่กันคนละมุมเลยด้วยซ้ำ พูดอะไรก็ให้มันมีหลักฐานหน่อย ถ้าเข้ามาเจอฉันนั่งติดกับมันหรือทำอะไรที่สื่อไปในทางที่เรียกว่าอี๋อ๋อได้จริง ๆ ฉันจะไม่ว่าเลย
"กลับหอไปซะจอย นี่มันดึกแล้ว"
"ไม่กลับ เอาคำว่าเพื่อนมาบังหน้าแล้วก็แอบกินผัวกูใช่ไหม อย่างมึงถ้าไม่เอาตัวเข้าแลกก็คงอดแดกไปตลอดชีวิตสินะ"
ดูแล้วนางจะไม่จบกับฉันนะ มาชี้หน้าด่ากราดยกใหญ่เลย
"จอย!!!! " ไอ้คิมก็ตะคอกดังลั่นพร้อมกับกำมือแน่น อย่ามาตีกันเพราะกูเลยเพื่อนเอ๊ย
คิมดึงแฟนมันให้ถอยห่างจากฉันเพราะกลัวมีเรื่อง แต่นางก็ยังยืนชี้ หน้าด่าฉันอย่างบ้าคลั่ง
"รักมันเพื่อนเรานะเว้ย"
"ทำไมต้องเข้าข้างมันด้วยอะ จอยก็แฟนคิมนะ"
"ก็แยกแยะดิวะ เพื่อนไง เราคบกันมาตั้งนานแล้ว ถ้ามันจะเอาเราอะ ไม่เหลือมาถึงจอยหรอกเว้ย"
ฉันควรจะรู้สึกดีไหมวะที่ได้ยินคำพูดแบบนี้
"กรี๊ดดดดดด"
เสียงกรีดร้องพาให้แสบแก้วหูมาก ยัยจอยคนสวยของไอ้คิมสติแตกคุมตัวเองไม่ได้แล้วขว้างปาข้าวของใส่ฉันใหญ่ พู่กันเอย กระดาษเอย แก้วเอย จับอะไรได้ก็ปามาหมด
"โอ๊ย"
นั่นแหละมันต้องมีสักอย่างที่โดนแล้วสร้างความเจ็บได้ และนั่นคือ น้ำล้างพู่กันที่สาดมาเต็มแรง เจ็บยังไงน่ะเหรอ? เข้าเต็มเบ้าตาเลยน่ะสิ น้ำข้นขนาดนี้ แสบขั้นสุดเลยจ้า
"ไอ้รัก... เฮ้ย" ฉันทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น มือทั้งสองข้าวยกขึ้นปิดตา มันซี้ดมากอะ แสบๆ คิมพยายามแกะมือฉันออกเพื่อจะดูตาให้
"เป็นอะไรมากไหมมึง"
"กูแสบตา"
"แป๊บ กูเอาน้ำเปล่...."
ซ่าาาา
เสียงน้ำเทกระทบพื้นดังขึ้น ฉันว่าน่าจะเป้นผลงานของคนที่กำลังหึงอย่างบ้าคลั่งนั่นแหละ
"เฮ้ยจอย นี่มันถึงตาบอดได้เลยนะ"
"บอดก็ดี จะได้จำว่าความรักทำให้คนตาบอด ยิ่งรักผัวคนอื่นด้วยเนี่ย นอกจากตาบอดแล้วจะตกนรกด้วย" คิมถอนหายใจอย่างแรง
จะเอาไงก็เอา ตากูจะบอดจริงๆ แล้วโว้ย เหวอออออ ฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกยกขึ้นจากพื้น คิมมันอุ้มฉันขึ้นส่วนฉันยังคงปิดตาอยู่
"คิมจะทำอะไร"
"หลบไป!!! " ไอ้คิมไม่ฟังเสียงจอยที่แหกปากเรียกมันสักนิด
"คิมมม!!! "
"กูบอกให้หลบไง" เสียงโวยวายของจอยดังเบาลงแล้ว ตัวฉันลอยจากพื้นแกว่งไปมาจากการอุ้มแล้วเดินกึ่งวิ่งไปไหนสักที่
“มึงจะพากูไปไหน" ฉันเอ่ยถามขึ้น ก็มันเดาไม่ออกว่ามันจะพาไปโรงพยาบาลหรือไปไหน
"ห้องน้ำ"
"กูไม่ไหวแล้วกูจะไปโรงบาล ฮืออออ" พอฉันได้ยินคำตอบว่าเป็นห้องน้ำ บอกตรง ๆ อยากด่ามันมาก จะพาไปทำมะเขืออะไร ความอดทนที่กลั้นไว้ก็พังทลายลง ตามันทั้งปวดทั้งแสบ จนไม่อยากจะเปิดตาขึ้นแล้ว
"เออ ไปล้างตาก่อนแล้วค่อยไปโรงพยาบาล" หลังจากล้างตาเสร็จ คิมก็พาฉันไปที่โรงพยาบาลทันที ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่เพราะอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยนัก
-ในห้องตรวจ-
"คุณเป็นญาติคุณธีรฎาใช่ไหมครับ"
"ผมเป็นเพื่อนเขาครับ"
"หมอล้างตาให้คนไข้แล้วนะครับ แต่มันยังมีสารบางตัวจะตกค้างอยู่รอเวลาระเหย"
"เพื่อนผมจะตาบอดไหมครับ"
"ถ้าช้ากว่านี้สักหน่อยคงไม่แน่นะครับ แต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว คนไข้ต้องปิดตาไปสักระยะจนกว่าจะดีขึ้น"
กว่าจะมาถึง กว่าจะรอคิว แสบก็แสบ ง่วงก็ง่วง เฮ้อออออ พอหาหมอเสร็จแล้ว คิมก็มาส่งฉันที่หอ
"ให้กูไปส่งบนห้องไหม มึงปิดตาอยู่ขึ้นไปเองไม่ได้หรอก"
"เออ แต่เดี๋ยวพากูไปเคลียร์กับยามก่อน" ฉันไปบอกยามหน้าหอว่าจำเป็นต้องพาผู้ชายขึ้นห้อง (ก็แหงดิวะ ปิดตาอยู่เนี่ย) ส่วนคิมมันก็บอกว่าคงต้องเข้ามาดูแลเรื่อยๆ พี่แกก็บอกไม่ยอม อธิบายไปอธิบายมาสุดท้ายก็ก็โอเค แต่ต้องแต่งตัวเป็นผู้หญิงมาเพราะกล้องมันจับ เดี๋ยวเจ้าของจะด่า นึกภาพตามแล้วก็ ฮ่าฮ่าฮ่า