ต่อไปถ้าเขาต้องเป็นเกษตรกรชาวนาในอนาคต ที่สืบทอดมาจากพ่อแม่ ข้าวแต่ละเม็ดเขาจะไม่ให้กระเด็นไปถึง เถ้าแก่โรงสี เจ้าของโรงสีทั้งหลายแหล่ ที่พวกมัน ชอบกดราคาข้าวให้ต่ำลง
แต่เขาจะเอาไปบริหารจัดการ โดยแปรรูปขายเอง
แดดแผดเปรี้ยงอย่างนี้ ทุกคนฝึกดำนาตามครูสอน
รังหงส์เองทนอยู่กับพื้นดินที่เฉอะแฉะเป็นโคลนเลนได้ไม่นานนัก อีกอย่างเธอห่วงสวย
ใบหน้าที่เห็นจึงเหมือนกับผะอึดผะอมเหมือนถูกบังคับ
แต่เมื่อเตลานมองจ้องมา
เธอก็พยายามฮึดสู้ โดยการที่เธอพยายามเชิดหน้า
นี่ถือว่าเข้าหน้าฝนแล้ว และอีกไม่นานนัก ความแปรปรวนของอากาศก็เกิดขึ้น
จากท้องฟ้าที่เคยสดใส บัดนี้เริ่มมัวหม่นขมุกขมัว
เหมือนบ่งว่าอีกไม่นานฝนจะตก
ทั้งๆที่ครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมานั้นแดดแผดเปรี้ยง
“ฝนตกอีกแล้ว”
ประภารัศศิบ่น
เมื่อฝนที่กระหน่ำตกอย่างหนัก ก็ทำให้เกิดความหนาวยะเยือก
เม็ดฝนที่โปรยพรมลงมา พร่างพรมไปทั่ว
กลุ่มนิสิตที่ทดลองดำนาในแปลงข้าว ก็รีบขึ้นจากที่นามาพักอยู่ในกระท่อมที่จัดให้
ยังดีมีกระท่อมให้ แต่ทุกคนก็หนาว
เหล่านิสิตชายเห็นว่าข้างล่างมีกองฟืนอยู่ และมีร่องรอยของการก่อไฟมาก่อนแล้ว
จึงจุดไฟก่อผิงให้ร่างกายเกิดความอบอุ่น
ประภารัศศิคิดถึงบ้าน ยิ่งมาอยู่ไกลอย่างนี้
อยากให้กิจกรรมทุกอย่างผ่านหมดไปอย่างเร็ว
แม้จะมาเพื่อทำความดี สร้างสรรค์คุณประโยชน์ให้แก่ชนบท
แต่ก็อดคิดถึงความสะดวกสบาย ตามที่เคยชินไม่ได้
แต่ที่นี่ไม่มีสักนิด
มีแต่ป่า แล้วก็หมู่บ้าน
ค่ำสนิทเช่นนี้แล้ว เตลานมาหาหล่อนที่ห้องพัก ซึ่งเป็นโรงเรียนชั้นประถม ที่ใช้เป็นที่พักผ่อนของเหล่านิสิตหญิง
เขาพยายามมองหาหล่อนและเห็นเอ่ยบอก
“ผมเอาผ้าห่มมาให้ เพราะคิดว่า คืนนี้ คงจะหนาวจัด นี่เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากคนบ้านป่า”
และรังหงส์ก็รับไปอย่างงง แต่คิดว่าก็ดีเหมือนกัน จะได้มีผ้าห่มให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
เพราะมาที่นี่พวกหล่อนลืมเตรียมผ้าห่มมาด้วย
“ขอบใจนาย”
“ไม่เป็นไรครับ เอ้อผมต้องไปก่อน”
เตนกำลังจะผละจากไป
“เดี๋ยวก่อน”
รังหงส์เรียกเขาอีก
“ว่ายังไงครับ”
“แล้วนี่ นายจะไปไหน?”
“ผมก็จะกลับไปบ้านผม นอนที่บ้านดีกว่านอนที่นี่ครับ ใกล้ครอบครัวอุ่นใจดี”
เขาพูดเพื่อยั่วความรู้สึกของหล่อน
“เอาเปรียบเพื่อนนี่”
“บ้านนายอยู่ไกลไหมนี่?”
“ไม่ครับ เอ ทำไมหรือ อยากจะไปบ้านผมหรือ””
“ไม่อยากไปหรอก”
รังหงส์ตอบเสียงสะบัดในทันที
“แต่ว่า ผมกำลังจะไปทานส้มตำที่ญาติตำไว้รอนะครับ แล้วก็ทำของหวานกล้วยบวดชีด้วย ของโปรดของผม”
เมื่อเขาพูดคำว่ากล้วยบวดชี หล่อนก็นึกอยากกินเสียด้วย
“คงอร่อยนะ กล้วยบวดชี ฉันก็อยากจะกิน”
“งั้นก็ไปที่บ้านของผมสิ”
“ไม่เอาหรอก แล้วฉันจะไปได้ยังไง ฉันไม่กล้าหรอก”
“นี่กลัวผม จนตัวสั่นหรือไง”
“ฉันไม่กลัวนาย แต่ฉันไม่มีเพื่อน”
“ไม่ต้องห่วง ขากลับ ผมจะให้กลับกับไอ้พู่ น้องสาวของผม”
หล่อนรู้จักเดือนชมพู น้องสาวของเตลานด้วย ก็รับปาก
“ก็ได้ ถ้างั้น ฉันต้องพารัศศิไปด้วยนะ ฉันไม่กล้าไปกับนายคนเดียวหรอก”
รังหงส์ต่อรอง ทั้งๆที่อยากกินกล้วยบวดชี ก็อยากเหลือเกิน
“ไม่ต้องห่วงหรอก เราไปกันก่อน เดี๋ยวนายแต็งค์ น้องชายผมก็มารับไป”
“งั้นเหรอ”
รังหงส์พยักหน้า ก่อนรับคำ
“ก็ได้ เดี๋ยวฉันขอเดินไปบอกพี่สาวหน่อยนะ”
เมื่อไปถึงที่บ้านของเขา จึงรู้ว่า มันไม่ใช่กระต๊อบเล็กๆอย่างคิด แต่เป็นบ้านไม้สองชั้นครึ่งตึกอย่างเห็นได้ชัด
ประภารัศศิกับรังหงส์ไปเห็นถึงกับอึ้ง
ที่เคยดูถูกเขาไว้มาก
และอีกทางด้านหนึ่งเห็นรถไถขนาดใหญ่ของเขาจอดไว้ กับรถยนต์อีกคัน
ตอนแรกนึกว่า บ้านของเขาจะใช้เกวียนเป็นพาหนะเสียอีก
อิ่มส้มตำในยามดึกกันแล้ว ไม่นึกว่าจะมีขอลาภปากยามดึกอย่างนี้
ปกติเขาไม่ค่อยกินส้มตำกันในเวลานี้
เพราะไม่ปลอดภัยแก่ท้องไส้
เพราะความหิวจัดที่สองพี่น้องต้องร่วมวงกับคนในครอบครัวของพวกเขา
ทั้งเตลานกับเตชิตมองหน้าสองสาวที่กินรสชาติที่เผ็ด อย่างล้มตำมื้อนี้ ดีที่มีข้าวเหนียว กับไก่ย่าง พร้อมกับกากหมู และผักสดด้วย
น้ำหูน้ำตาไหลออกมา พวกเขามองสองสาวอย่างนึกขัน
ที่เธอคงไม่เคยทานเผ็ดรสจัดแบบนี้มาก่อน
“ผมลืมบอกคุณไปว่า ที่นี้ เขาทานกันอย่างนี้ล่ะ พริกเป็นกำ”
ถึงเผ็ดแต่ก็รสชาติอร่อย จนต้องซู๊ดปากเพราะความเผ็ด
นี่ถ้ารสชาติไม่ได้เรื่อง เอคงไม่ช่วยกินจนเกือบหมดถาดหรอก
“เผ็ดมากหรือไง”
เตลานถาม
“เผ็ดสิ”
หนึ่งในสองสาวตอบ
แต่ว่ายังคงเห็นเดือนชมพูกินแบบธรรมดา ทั้งๆที่กินส้มตำด้วยกัน
แต่ดูเหมือนจะไม่เผ็ด
“อ้าว อย่าเพิ่งรีบดื่มน้ำสิ เดี๋ยวจะเผ็ดหนักกว่าเดิม เพราะฤทธิ์ของความเผ็ดจะกระจายทั่วลิ้น”
จึงชะงักที่จะยกน้ำขึ้นดื่ม อย่างที่เขาพูด
“เอ้านี่ค่ะ ขนมปังทาเนยเหลืออยู่สองชิ้น คงจะช่วยอาการเผ็ดได้บ้าง”
เดือนชมพูส่งชิ้นขนมในถุงที่เธอซื้อมาเผื่อ ส่งให้สองชิ้น
“ขอบคุณนะ”
ประภารัศศิตอบ
และคืนนั้นก็ทำให้เธอปวดท้องทั้งคืน เพราะความหิวไม่เลือกเวลา ยิ่งมาตบท้ายด้วยของหวานกล้วยบวชชี
ซึ่งอร่อยใครจะไปรู้ว่า อาหารที่กินไปเมื่อคืนจะพ่นพิษอย่างนี้
เป็นผลให้ทั้งสองสาวต้องมานอนล้มป่วยอยู่บนเตียง เพราะอาหารเป็นพิษเมื่อคืน
แต่ไม่คิดโทษอะไรเป็นเพราะความหิวของทั้งคู่
เตลานกับเตชิตได้ทราบเรื่องนี้ ก็เข้ามาเยี่ยมด้วยความเป็นห่วง
“เอ้อ ผมต้องขอโทษด้วย ที่ทำให้คุณทั้งสอง ต้องล้มป่วยลงอย่างนี้”
เตลานและเตลานกล่าวออกมาพร้อมกันจากใจ
แต่กลับทำให้สองสาวที่นอนซมยิ้มได้ แม้ใบหน้าจะเซียว ผิดหูผิดตา
แต่ว่าหล่อนก็ยังสะสวยเท่ากันเหมือนเดิม
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็มีส่วนผิด ที่ตะกละเพราะความหิวเหมือนกัน”
เมื่อรังหงส์ตอบ ทำให้เตชิตยิ้ม
“ถ้าหายดีแล้ว ผมจะพาไปเที่ยวนะครับ”
เขาบอก
“ได้ยังไงคะ ฉันไม่มีเวลาหรอก กิจกรรมของพวกเรายังไม่หมดด้วยซ้ำ”
รังหงส์แย้งถึงความจริง ที่นิสิตอาสา ต้องทำให้จบ
เขายิ้ม
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีทางก็แล้วกัน คุณจะได้เห็นว่า บ้านป่าเมืองไกลอย่างผมก็มีที่น่าเที่ยวเยอะเหมือนกัน”
รังหงส์ยิ้ม เมื่อเขาพูดเช่นนั้น
“ได้ค่ะ”
“แต่ว่ากิจกรรมที่ทุกคน จะต้องทำต่อในวันนี้ ก็คือ การถอนกล้า ดำนา แล้วก็ไถนาด้วยครับ พวกเราทุกคนอาสาช่วยชาวนาทำนากัน จะได้รู้ว่าอาชีพนี้ เขาทำกันยังไง”
ทั้งสองสาวทราบ เพราอยู่ในโปรแกรมปฏิบัติ มีมติว่าทุกคนต้องทำตามนี้ ถ้าใครไม่ทำตาม ก็แล้วแต่ เพราะไม่ได้มีการบังคับ
แต่นิสิตหลายคนก็สมัครใจทั้งหนุ่มและสาวเพราะเห็นว่า เป็นอาชีพแปลก
“แต่ว่า คุณทั้งสอง คงไม่ได้ไป”
ประภารัศศิตอบขึ้นบ้าง เธอรู้สึกดีกับพวกเขา อย่างมาก ที่เป็นห่วงเป็นใยเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ ถึงพวกเราจะลงแข่งไม่ได้ แต่ก็จะเป็นกองเชียร์ให้ค่ะ”
ทำให้หนุ่มทั้งคู่ยิ้มออกมา
“ขอบคุณครับ”