ครืน...
เปรี้ยง!
หวันยิหวาสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะเสียงฟ้าผ่า ความง่วงและอ่อนเพลียจากการออกไปข้างนอกมาเกือบทั้งวัน กลับมาก็เล่นรักกับสามีในห้องครัว รวมถึงในห้องน้ำ และบนเตียงนอนนี่ด้วย... จัดกันไปกี่รอบไม่ได้นับ ทำเอาเธอเพลียจนเกือบผล็อยหลับไปอีกหน
แต่เพราะสัญชาตญาณความเป็นแม่ ทำให้หญิงสาวขืนตาตื่น หยิบชุดนอนกระโปรงที่ตกอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวม คิดว่าจะไปดูลูกทั้งสองคนว่ากลัวฟ้าร้องกันหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันลุกจากเตียง ประตูห้องก็ถูกเปิดออก พร้อมเสียงร้องไห้จ้าของเด็กชายที่ถือหมอนยืนอยู่ตรงประตู
“คุณป๋า คุณป๋า ใส่กางเกงเร็วค่ะ”
หวันยิหวารีบเขย่าร่างใหญ่โตของผัวรักให้ตื่น ซึ่งอัครวินทร์ก็ตื่นงัวเงียและได้ยินเสียงร้องของลูกชาย เขาลุกขึ้นนั่งมองร่างบางลุกจากเตียงเดินไปคุกเข่าตรงหน้าอนุวรรษ์ เหมือนจะซื้อเวลาให้ ชายหนุ่มก็รีบมองหากางเกงชุดนอนของเขา ก่อนจะเจอมันพาดอยู่บนหัวนอน ใกล้ ๆ ศีรษะของเขานี่แหละ
อัครวินทร์รีบหยิบมาสวมใต้ผ้าห่ม ก่อนจะลุกขึ้นเปิดโคมไฟและหยิบเสื้อมาสวม หวันยิหวาก็อุ้มลูกมาถึงเตียงนอนพอดี
“นุกลัว ฮือ ๆ นุกลัว”
เด็กชายร้องโยเยอยู่ในอ้อมกอดของพ่อกับแม่อยู่นาน จนเขาเริ่มรู้สึกดีขึ้นจากไออุ่นของผู้ใหญ่ทั้งสองที่กอดเขาอยู่คนละฝั่ง หวันยิหวาก็ลูบอกลูกรัก แล้วกระซิบกับเขาอย่างอ่อนโยน
“นุนอนกับคุณพ่อไปก่อนได้ไหมคะ? แม่จะไปดูพี่หนูอรหน่อย คืนนี้ฟ้าผ่าดังมากเลยไม่รู้ว่ากลัวอยู่หรือเปล่า”
เด็กชายสะอื้นฮึก ๆ ก่อนจะเล่าให้แม่ฟัง
“พี่หนูอรร้องไห้ด้วยครับ” เขาเล่าไป ขมวดคิ้วไป “วันนี้เล่นซ่อนหากัน พอนุหาเจอ พี่หนูอรก็ร้องไห้”
“ทำไมล่ะ? พี่หนูอรเสียใจที่นุหาพี่หนูอรเจอเหรอคะ?”
อนุวรรษ์ส่ายหน้า
“นุไม่รู้ครับ” เขายังคงสะอื้นอีกสองสามครั้ง ก่อนจะเล่าต่อ “พี่หนูอรแปลก ๆ เมื่อตอนเย็นก็เดินออกไปหน้าบ้าน ตากฝน เล่นน้ำฝนคนเดียว นุจะออกไปเล่นด้วยก็ไม่ให้นุตามออกไป”
อัครวินทร์เงยหน้า สบตากับภรรยาด้วยสายตาของความสงสัยไม่ต่างกัน
“พี่หนูอรเล่นยังไงครับลูก วิ่งเอามือรองฝนเหรอ?”
อนุวรรษ์ส่ายหน้า
“พี่หนูอรยืนเฉย ๆ” เขาเล่าอย่างไร้เดียงสา “ไม่เห็นน่าสนุกเลยครับ นุงง”
อนุวรรษ์เริ่มคลายสะอื้นแล้ว หวันยิหวาจึงชวน
“งั้นเราไปนอนห้องพี่หนูอรกันมั้ยครับ?”
อนุวรรษ์พยักหน้า ก่อนหันไปหาอัครวินทร์
“พ่ออุ้มนะ นุกลัว”
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ และคิดถึงตัวเองตอนเด็กว่าเขาก็เคยเป็นน้องชายคนเล็กที่อ้อนพ่อกับแม่แบบนี้เหมือนกัน อัครวินทร์ตอบรับลูกชายด้วยการอุ้มอนุวรรษ์ที่กอดหมอนอยู่ลุกขึ้นจากเตียง ก่อนที่หวันยิหวาจะหอบหมอนสองใบเดินตามมา และเธอเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไป
ห้องนอนของอรวีเงียบ เย็น และมืด หวันยิหวาเดินตรงไปที่เตียง วางหมอนลง ในขณะที่อัครวินทร์ปิดประตูแล้วอุ้มลูกชายคนเล็กเดินตามมา
“หนูอร”
หวันยิหวาเรียก และเห็นว่าอรวีเงยหน้าขึ้นลืมตามอง แต่ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะลืมได้แค่ครึ่งเดียว เธอจึงคิดว่าลูกสาวกำลังง่วงสุด ๆ
“พ่อแม่กับนุขอนอนด้วยได้มั้ยคะ ฟ้าร้องดังมากเลย แม่กลัว”
อรวีไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว เธออายุสิบสามแล้วปีนี้... เด็กสาวเดาออกว่าหวันยิหวาไม่ได้กลัวฟ้าร้อง แต่หวันยิหวากลัวว่าตัวเธอจะกลัวต่างหาก
ยิ่งแม่เลี้ยงดีกับเธอมากเท่าไหร่ อรวีก็ยิ่งรู้สึกอยากร้องไห้โดยไร้เหตุผล
เธอรู้สึกขอบคุณหวันยิหวาที่ไม่ได้เปิดไฟ ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาและบวมเป่งจากการร้องไห้อย่างหนักวันนี้ จึงไม่ถูกเปิดเผยออกมา เด็กสาวตอบรับเสียงเบา และใช้การพยักหน้าเป็นภาษากาย
“ค่ะ”
เสียงของอรวีสั่นเล็กน้อย ไม่ได้หลุดจากการสังเกตของหวันยิหวา แต่เพราะหวันยิหวารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาจะคาดคั้นอะไรจากลูกสาวนอกสายเลือด เธอจึงเลือกจะเงียบ แล้วทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ อรวี
อัครวินทร์วางตัวลูกชายคนเล็กไว้ข้าง ๆ เด็กสาวอีกฝั่งหนึ่ง เขารักษาระยะห่างกับอรวีมาสามปีแล้ว หนึ่งเพราะเธอเป็นเด็กผู้หญิง สองเพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าเขาและเธอไม่มีสายเลือดใด ๆ เกี่ยวข้องกัน
การไม่แตะเนื้อต้องตัว หอมแก้ม กอดเธอเหมือนตอนเธอเป็นเด็ก ๆ ก็เป็นการปกป้องเธอในแบบของพ่ออย่างเขา ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่เคยมองอรวีเป็นผู้หญิงที่กำลังโตเป็นสาวก็เถอะ
ในสายตาของเขา อรวียังคงเป็นเด็กหญิงวัยสี่ขวบ ดวงตาสีเทาควันบุหรี่เฉดเดียวกับเขาในตอนนั้นอยู่เสมอ
ชายหนุ่มเอื้อมมือผ่านลูกชาย ลูบหัวทุย ๆ ของอรวี ใช้ภาษากายบอกราตรีสวัสดิ์ ก่อนที่เขาจะหลับไปจริง ๆ โดยไม่รู้เลยว่าสัมผัสนั้นทั้งอบอุ่น และเสียดแทงความรู้สึกของเด็กสาวไปพร้อม ๆ กัน
อรวีรู้ว่าอัครวินทร์และหวันยิหวาทำเพื่อเธอเสมอ
แต่ความเสียใจในเรื่องจริงที่เพิ่งได้เห็นเต็มสองตา... มันไม่อาจเลือนหายไปได้ง่าย ๆ เลย
เสียงหอบหายใจแรง ปลุกให้หวันยิหวาลืมตาตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เธอกะพริบตางง ๆ เอื้อมมือไปจะกอดสามีที่ปกติก็นอนอยู่ข้าง ๆ แต่ฝ่ามือเย็น ๆ กลับสัมผัสต้นแขนที่ร้อนจัดจนรับรู้ได้จากนอกแขนเสื้อ
“หนูอร หนูอร!”
อัครวินทร์สะดุ้งตื่นเพราะเสียงนั้น เขาลุกขึ้นนั่งมองหวันยิหวาที่กำลังพยายามปลุกอรวีด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ก่อนจะรีบลุกไปเปิดไฟเพดาน แล้วเดินเร็ว ๆ กลับมาเห็นว่าลูกสาวของเขากำลังนอนหอบ หน้าแดงก่ำ
“หนูอรตัวร้อนจี๋เลยค่ะคุณวินทร์”
หวันยิหวาหันมาบอก ก่อนที่ชายหนุ่มจะสะบัดผ้าห่มแรงจนร่วงไปข้างเตียง แล้วเขาก็ช้อนร่างอ่อนปวกเปียกของอรวีขึ้นอุ้มแล้วรีบออกจากห้องนอนไป ปล่อยให้หวันยิหวาเก็บผ้าห่มขึ้นมาห่มให้อนุวรรษ์ที่ยังคงหลับสนิท ไม่รู้เรื่องอะไรกับใครเลย
หญิงสาวเปิดประตูตู้เสื้อผ้าของอรวี คว้าเสื้อแขนยาวตัวหนึ่งมาสวมคลุมกายปกปิดชุดนอนไม่ได้นอนด้านใน ก่อนจะรีบตามสามีลงมาที่หน้าบ้าน เธอโทรหาพี่เลี้ยง โชคดีที่พี่เลี้ยงเปิดเสียงโทรศัพท์ไว้ตลอดจึงรับสาย
“พี่ปุ้ยมานอนเป็นเพื่อนตานุทีนะคะ ที่ห้องหนูอรค่ะ หนูอรไม่สบาย กำลังไปโรงพยาบาล”
พี่เลี้ยงอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ ก่อนจะรีบรับปาก แล้วสายก็ตัดไป
หวันยิหวานั่งเบาะหลังไปกับอรวี ฝนหยุดตกแล้ว แต่ถนนยังลื่นกว่าปกติทำให้อัครวินทร์ไม่สามารถขับรถด้วยความเร็วได้อย่างใจ แต่อย่างน้อยระบบเซฟตี้ของรถราคาแพงคันนี้ก็ทำให้เขาขับได้ค่อนข้างไว แม้จะไม่ทันใจตัวเองก็ตาม
“แม่หวาน...”
เสียงละเมอของอรวีในอ้อมแขนของหวันยิหวาทำให้เธอคิดว่าเด็กสาวได้สติ แต่เมื่อก้มมองก็เห็นว่าอรวียังคงหลับตาพริ้ม พึมพำ
“คุณพ่อ...” อรวีละเมอเรียกด้วยเสียงแหบระโหย น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว “หนูอรอยาก... เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของคุณพ่อ...”
หัวใจของหวันยิหวาเย็นยะเยือกราวถูกแช่แข็ง
เธอเบิกตากว้าง พูดอะไรไม่ออกอีกเลย กระทั่งรถวนเข้าไปจอดหน้าโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้าน และบุรุษพยาบาลก็อุ้มอรวีขึ้นเตียงเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไป