“ลูกน้องฉันมันไม่ใช่คนดีหรอกนะ ถ้าจู่ๆ มันเกิดหน้ามืดขึ้นมา ฉันจะไม่ช่วย” สิงหราชใช้ไม้ตายเพื่อขู่หญิงสาว “เลือกเอาว่าจะมาหาฉันดีๆ หรือจะเสี่ยงหนีออกไปทางลูกน้องของฉัน”
พรพิรุณเม้มริมฝีปาก สบตาคู่คมที่ไม่มีแววตาล้อเล่นแม้แต่น้อย หันมองชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีเข้มตามแบบฉบับชายไทยแท้ ใบหน้าดุดันน่าเกรงขาม อีกทั้งแววตาดูน่ากลัวจ้องมาที่เธอราบเรียบ
ก่อนต้องขยับตัวออกห่างอย่างระแวง โดยไม่รู้เลยว่ามีร่างสูงอีกคนโน้มตัวลงมารอรับใกล้ๆ แล้ว
มารู้ตัวอีกทีร่างของเธอก็ถูกอุ้มออกจากรถด้วยลำแขนแข็งแรงเสียแล้ว ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ รีบยกแขนขึ้นมาเกี่ยวรั้งลำคอแกร่งไว้อย่างกลัวตก
“คุณ!” เธอร้องอุทานอย่างตกใจ เมื่อเรียวแขนแข็งแรงโอบกระชับให้แน่นขึ้น
สิงหราชกระตุกยิ้มมุมปาก มองใบหน้าหวานมีสีหน้าตื่นตกใจด้วยความสนุก
“เลิกดื้อสักทีเถอะ มันดึกมากแล้วนะ ไม่เหนื่อย ไม่ง่วงนอนบ้างหรือยังไง”
“คุณหลอกหนู” เสียงหวานสวนขึ้นทันควัน
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจกับคำปรามาส เขาเลือกที่จะก้าวเดินไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องของตัวเอง พอเข้ามาอยู่ในลิฟต์ก็ก้มหน้าลงมองร่างบางที่เอาแต่ดิ้นไม่หยุด
“ถ้าไม่อยู่นิ่งๆ จะโยนเธอลงไปนอนกลิ้งกับพื้นแล้วนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ก็ทำให้คนตัวเล็กหยุดดิ้นได้ ปากหนายิ้มน้อยๆ กับดวงหน้าหวานบูดบึ้ง “อ้าว ทำไมไม่ดิ้นอีกล่ะ ดิ้นอีกสิ ไม่ดิ้นแล้วเหรอ”
ตุ้บ!
“โอ๊ย!” สิงหราชร้องเสียงดังลั่นลิฟต์
ส่วนลูกน้องก็พากันตกใจกำปั้นน้อยๆ ของผู้หญิงในอ้อมแขนเจ้านายที่ทุบลงตรงกลางอกแกร่งพอดิบพอดี ทั้งสองหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พากันยืนเสียวสันหลังวาบแทนหญิงสาวไปตามๆ กัน แต่รอจนแล้วจนเล่า ผู้เป็นนายกลับไร้วี่แววความขุ่นเคืองจนน่าแปลกใจ
พอประตูลิฟต์เปิดออก สิงหราชก็ก้าวเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองทันที
พรพิรุณถูกวางลงบนที่นอนอย่างเบามือ ดวงตาคู่หวานกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องซึ่งมีความทรงจำที่ยากจะลบออกจากใจด้วยหัวใจเจ็บแปลบ เผลอกำผ้านวมที่คลุมเตียงไว้แน่นจนยับ
สิงหราชมองมือเล็กแล้วไล่สายตาขึ้นมาสบดวงหน้าหวานซีดเผือด ดวงตากลมโตทอประกายแสงหม่น เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างขบคิดอะไรบ้างอย่าง
ในที่สุดจึงเปลี่ยนใจกลับไปอุ้มคนตัวเล็กให้มาอยู่ในอ้อมแขนตามเดิม หมุนตัวกลับเดินออกจากห้อง เดินตรงไปยังห้องนอนของน้องสาวที่อยู่ถัดไป
ภวัต และวิกเตอร์เห็นผู้เป็นเจ้านายเดินออกจากห้อง โดยมีหญิงสาวอยู่ในอ้อมแขนเช่นเดิม เดินหายเข้าไปในห้องคุณหนูเล็กของพวกเขา แล้วพากันเกาหัวแกรกๆ อย่างไม่เข้าใจผู้เป็นนาย
ร่างบางถูกวางลงบนเตียงอีกครั้งภายในห้องสีขาวสะอาดตา ยังจับจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตางุนงงปนหวาดกลัว
“คืนนี้นอนห้องนี้ไปก่อน” สิงหราชเอ่ยขึ้น
พรพิรุณถอนหายใจอย่างยอมจำนน มองตามแผ่นหลังกว้างเดินออกจากห้องไปแล้ว จึงเอื้อมมือไปดึงสูทออกจากตัว พออยู่คนเดียวก็อดนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าไม่ได้
มือบางยกขึ้นปิดหน้าแล้วปล่อยน้ำตาเม็ดเล็กไหลออกมาด้วยความโกรธกับความเห็นแก่ตัวของพี่ชายที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
สิงหราชเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เขาหยุดยืนมองคนตัวเล็กที่ร้องไห้จนตัวโยนอย่างน่าสงสาร ก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงคุกเข่าตรงหน้าคนตัวเล็ก เอื้อมมือไปจับไหล่บอบบางเบาๆ อย่างต้องการปลอบโยน
พรพิรุณรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆ ที่ไหล่ก็รีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้า มองคนที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“เข้ามาทำไมอีก” เอ่ยบอกพร้อมเอื้อมมือไปหยิบสูทมาคลุมร่างกายไว้ตามเดิม
สิงหราชมองยิ้มๆ กับคนเพิ่งคิดจะมาหวงตัว แล้วเอ่ยแซวด้วยความอยากแกล้ง “ปิดไปเถอะ มันไม่ได้ช่วยอะไรหรอก เพราะฉันเห็นมาหมดทุกซอกทุกมุมแล้ว”
“บ้า” เสียงหวานตอบสวนกลับแผ่วเบา
เขายังยิ้มเหมือนเดิมเมื่อเห็นใบหน้าหวานเขินอาย ก่อนเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นจริงจัง เอื้อมมือไปสัมผัสแผ่วเบาที่มุมปากเขียวช้ำ ดีหน่อยที่ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว
“เจ็บนะ” เสียงหวานร้องบอกขึ้นพลางสะบัดหน้าหนีสัมผัสร้อน
สิงหราชหรี่ตามองคนพยศทำหน้าเหยเก จัดการเปิดกระเป๋าพยาบาล หยิบอุปกรณ์ทำแผลออกจากกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาทำแผลให้อย่างเบามือกว่าเดิม
พรพิรุณมองคนตรงหน้าทำแผลให้อย่างอ่อนโยนจนเผลอมองการกระทำของชายหนุ่มอยู่นาน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่องตามเดิม
“เลิกร้องไห้แล้วนอนซะ” สิงหราชลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วก้มหน้าลงมาเอ่ยสั่งคนตัวเล็ก “พรุ่งนี้เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“เรื่องอะไรคะ” เสียงหวานเอ่ยถามขึ้น
“ก็บอกอยู่ว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกันไง” เขาพูดปัดแบบขอไปที
พรพิรุณเงยหน้าขึ้นสบตาสีดำสนิท เงียบไปอึดใจก็เอ่ยอีกครั้ง “ขอบคุณนะคะที่ช่วยหนูไว้”
สิงหราชพยักหน้ารับคำขอบคุณของหญิงสาวช้าๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
หญิงสาวมองตามร่างสูงไปจนลับตา พอประตูห้องปิดลงก็กวาดสายตามองรอบๆ ห้องหรูหราอีกครั้ง ค่อยๆ ขยับตัวขึ้นมานอนบนเตียงนอนขนาดใหญ่ แล้วหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าในที่สุด