หนึ่งเดือนต่อมา
หลังมือบางข้างหนึ่งยกขึ้นมาซับเหงื่อเม็ดเล็กที่ผุดออกมาตามรูขุมขนบนหน้าผากเนียน ดวงตากลมโตนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายแสงหม่น แววตาคู่นี้มีความทุกข์ร้อนอย่างเห็นได้ชัด เรียวขาสวยภายใต้กางเกงยีนทรงบอยสีซีดก้าวเดินไปยังบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านจัดสรรแถวชานเมือง
พรพิรุณหรี่ตามองบ้านจัดสรรสองชั้นสีขาวหลังหนึ่งที่กำลังมีคนขนของออกมา เห็นดังนั้นจึงรีบเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าบ้าน
“จะเอาของไปไหนน่ะลุง” เธอเอ่ยถามลุงคนหนึ่งที่กำลังยกโซฟาขึ้นรถกระบะ
ชายวัยประมาณห้าสิบกลางๆ กำลังโน้มตัวลงเพื่อยกโซฟาบนพื้นขึ้นรถ แหงนหน้ามองคนถามพร้อมกับยืดตัวยืนขึ้นหลังตรง และเอ่ยตอบหญิงสาวตรงหน้า
“ก็เจ้าของบ้านเขาจะย้ายบ้านก็เลยจ้างให้ลุงมาเก็บของน่ะสิ...แล้วเอ็งมีอะไรหรือเปล่านังหนู”
“ย้ายบ้าน!” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เสียงหวานร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ
“ฝน”
ทว่าอาการตกใจกับประโยคที่ได้ยินยังไม่ทันจางหายก็มีเสียงหนึ่งเรียกเธอเอาไว้เสียก่อน ดวงหน้าสวยหวานรีบหันไปตามเสียงเรียก ทั้งๆ ที่ใบหน้าหวานอย่างคาดไม่ถึง
“พี่ญาดา นี่มันเรื่องอะไรกันคะ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงจะย้ายบ้ายละ พี่จะย้ายไปไหนกัน” พรพิรุณก้าวเร็วๆ จนมาถึงตัวพี่สะใภ้ ซึ่งยืนอยู่ในตัวบ้านพร้อมกับคำถามมากมายๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ญาดาเบือนหน้าหนีเล็กน้อย กะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยาดน้ำตา ก่อนจะหันกลับมาสู้หน้าน้องสาวของสามีด้วยแววตาเศร้าหมอง
พรพิรุณเห็นสีหน้าของพี่สะใภ้แล้วถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลาย หัวใจดวงน้อยพลันเกิดอาการหวิวๆ ในใจแปลกๆ พอมาหยุดยืนใกล้ๆ ก็เอื้อมมือไปจับมือพี่สะใภ้ไว้อย่างแผ่วเบา ทว่าต้องเซถอยหลังเล็กน้อยด้วยไม่ทันได้ตั้งรับแรงโถมตัวเข้ามากอดจากพี่สะใภ้
“พี่ญา...” เธอเรียกชื่อพี่สะใภ้แผ่วเบา พอตั้งหลักได้ก็ยกแขนขึ้นมาลูบแผ่นหลังสั่นเทาของพี่สะใภ้อย่างปลอบโยน
“ฮึก...นุหนีไปแล้วฝน นุทิ้งพี่กับลูกไปแล้ว...ฮือๆ...”
ประโยคต่อมาของพี่สะใภ้ทำเอาหญิงสาวมึนงงไปชั่วขณะ คล้ายกับว่าโดนของแข็งฟาดลงมากลางศีรษะอย่างจัง ในหูมีเพียงเสียงอื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของพี่สะใภ้ที่ดังอยู่ใกล้ๆ หู
มือเล็กทั้งสองที่โอบกอดพี่สะใภ้ไว้กำเข้าหากันแน่นจนเกิดแรงสั่นน้อยๆ ก่อนจะดันตัวพี่สะใภ้ออกอย่างเบามือ ดวงตากลมโตเริ่มแดงก่ำประกายวาวโรจน์
“หมายความว่ายังไงพี่ญา...” เสียงหวานเบาหวิวระคนเย็นเยือก ขณะสายตาคู่หวานกลายเป็นแข็งกร้าว
ญาดาเม้มริมฝีปากแน่นยามสบสายตาแข็งกร้าว ระบายลมหายใจหนักๆ ออกมา สงสารน้องสาวของสามีที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย แต่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ต่างจากเธอ
“เดือนที่แล้วนุบอกกับพี่ว่าได้งานทำที่ต่างจังหวัด หลังจากวันนั้นนุก็ไม่ค่อยติดต่อกลับมา นานๆ ทีนั่นแหละเขาถึงจะโทร. มาหาลูกบ้าง เขาบอกกับพี่ว่าอยู่กลางทะเลไม่ค่อยมีสัญญาณ...”
พูดไปก็สะเทือนใจไป เพราะความรักคำเดียวแท้ๆ ที่ทำให้กลายเป็นคนหูหนวกตาบอด หลงเชื่อคำลวงของสามีง่ายๆ เธอเอื้อมมือไปจับมือน้องสามีที่เธอรักและเอ็นดูไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ แล้วบีบแน่นๆ
“แต่เมื่ออาทิตย์ก่อน เพื่อนพี่ที่อยู่มาเก๊าเขาเห็นนุอยู่ที่นั่น...เขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น...”
“อาจจะคนหน้าเหมือนก็ได้” พรพิรุณแทรกขึ้นอย่างยากจะเชื่อ
ญาดาส่ายหน้าช้าๆ ไม่ให้ความหวังน้องสาวของสามีเลยแม้แต่น้อย “เป็นนุจริงๆ ฝน”
คำยืนยันจากน้ำเสียงหนักแน่นของพี่สะใภ้ทำเอาน้ำตาใสๆ ไหลรินออกจากดวงตากลมโต ตอนนี้ความรู้สึกของเธอช่างหลากหลายอารมณ์ผสมปนเปกันไปหมด แต่ที่ดูจะโดดเด่นกว่าอย่างอื่นคงเป็นความโกรธแค้นที่มีต่อพี่ชายต่างบิดาเต็มเปี่ยม
ญาดาหลับตาลงแล้วตัดสินใจพูดบางอย่างออกมาด้วยความยากลำบาก
“เมื่อสองวันก่อนพี่ได้โทร.ไปเคลียร์กับนุแล้วนะฝน...เราสองคนตัดสินใจที่จะแยกทางกัน โชคดีที่พี่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนุ” ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งมาสบดวงตาคู่หวานที่มีประกายหยาดน้ำตา “นุเขาบอกกับพี่ว่าจะไม่กลับมาไทยอีกแล้ว”
“ได้ยังไง...” พรพิรุณเอ่ยเสียงแผ่วเบาราวกับคนสติหลุดลอยไปพร้อมกับประโยคที่หลุดออกจากปากของพี่สะใภ้
“นุติดหนี้พนันบอลไว้หลายล้าน ที่ไม่ยอมกลับไทยคงเพราะอาจจะกำลังหนีเจ้าหนี้ พี่เองก็กลัวโดนลูกหลงด้วยเลยจะพาลูกกลับใต้”
เพราะญาดาเป็นลูกสาวของคนมีสีคนหนึ่งในจังหวัดบ้านเกิด ถึงอย่างไรเสียการกลับไปอยู่กับครอบครัวย่อมต้องปลอดภัยกว่าอยู่ที่นี่อยู่แล้ว อีกอย่างเธอไม่มีปัญญาที่จะเลี้ยงลูกสาวได้ด้วยตัวเองแน่ๆ ฉะนั้นการกลับไปขอพึ่งใบบุญของบิดาจึงเป็นหนทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเธอในตอนนี้
พรพิรุณค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างคนอับจนหนทาง สองมือบางยกขึ้นมาปิดหน้า ปล่อยน้ำตาและเสียงร้องไห้ของความคับแค้นใจออกมาอย่างไม่อายใคร
“ทำไมพี่นุทำกับฝนแบบนี้...ฮือ...”
...วิษณุจากไปแล้วพร้อมกับเงินก้อนสุดท้ายของเธอ
พี่ชายจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าการกระทำของเขาตอนนี้ กำลังฆ่าน้องสาวคนนี้ทั้งเป็น อาทิตย์หน้าเป็นอาทิตย์สุดท้ายที่เธอจะต้องจ่ายค่าเทอม แล้วอย่างนี้เธอจะไปหาเงินจำนวนมากมาจากไหนเพื่อจ่ายค่าเทอมได้ทัน
พรพิรุณเก็บอุปกรณ์การเรียนบนโต๊ะใส่กระเป๋าอย่างเหม่อลอยหลังจากเลิกเรียนแล้ว โดยมีสายตาของเพื่อนสาวทั้งสองคนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
จริญญาเหลือบสายตามองตามมือของเพื่อนที่กำลังคว้าลมคว้าอากาศเข้ากระเป๋า จึงหันกลับมาสบตากับเพื่อนสาวอีกคน
“อ้าวๆ ถ้าจะขนาดนั้นก็เก็บเก้าอี้เลกเชอร์กลับบ้านไปด้วยเลยสิวะ” เป็นรุ่งรวินที่เอื้อมมือไปคว้าแขนพรพิรุณเอาไว้เพื่อหยุดการกระทำ
หญิงสาวได้สติกลับมาอีกครั้ง เธอหันหาเพื่อนทั้งสองที่จ้องอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตามีคำถาม แต่เพราะเหนื่อยทั้งกายและใจเกินกว่าจะเอ่ยอะไรออกมาในตอนนี้ ทำได้เพียงมองหน้าเพื่อนสาวด้วยแววตาเศร้าๆ พลางยกมือขึ้นมานวดบริเวณขมับไล่อาการปวดตุบๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าฝน ช่วงนี้แกดูแปลกๆ ไปนะ”
จริญญาเอ่ยถามขึ้น เธอลอบสังเกตเห็นว่าในช่วงนี้เพื่อนมีท่าทีแปลกไปมาก ดวงตาคู่สวยที่เคยสดใสตอนนี้กลายเป็นเศร้าซึมเหมือนมีเรื่องกังวลใจให้คิดอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งในเวลานี้ยังไม่ร่าเริงแจ่มใสเหมือนแต่ก่อน
รุ่งรวินพยักหน้าเห็นด้วยกับจริญญา เอื้อมมือไปจับหน้าผากของเพื่อนเพื่อเช็กอาการ
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่ แกมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าฝน บอกพวกฉันได้นะ” ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
พรพิรุณเห็นว่าเพื่อนรักทั้งสองมองอย่างเป็นห่วง จึงฝืนยิ้มบางๆ ไม่ให้เพื่อนไม่สบายใจตามไปด้วย ดวงหน้าหวานส่ายไปมาช้าๆ
“ฉันไม่เป็นไรแก”
จริญญาหรี่ตามองเพื่อนอย่างพินิจพิจารณาแล้วยิ้มหน่อยๆ เอื้อมมือไปตบหลังมือเพื่อนเบาๆ
“ฝน ถ้าแกมีอะไรไม่สบายใจก็บอกพวกฉันได้นะเว้ย เราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งสี่ปี ทำไมฉันกับไอ้รุ่งจะดูไม่ออกว่าแกกำลังมีเรื่องเครียดอยู่”
พรพิรุณมองเพื่อนทั้งสองด้วยความซาบซึ้งใจ ดวงตาคู่หวานสวยเริ่มมีน้ำตาปริ่มๆ ออกมา “ขอบใจนะ แต่ฉันขอแก้ปัญหาเองก่อน ฉันไม่อยากเอาภาระของตัวเองไปรบกวนพวกแก”
เพื่อนทั้งสองพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในนิสัยของพรพิรุณดี หากถ้าไม่สุดจริงๆ จะไม่ยอมเอ่ยปากร้องขอให้ใครช่วยแน่ๆ
“เออเอาแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าตอนนี้หิวมากเลยว่ะ ไปหาอะไรกินกันเถอะ” รุ่งรวินยกมือขึ้นลูบท้องตัวเองป้อยๆ ทำหน้าตาน่าสงสาร
พรพิรุณหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางน่ารักของเพื่อนสาวตัวเล็ก ก่อนรอยยิ้มจะค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้
“ฉันว่าจะกลับห้องแล้ว เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับน่ะ ตอนนี้เลยรู้สึกเพลียๆ” เพราะวันนี้มีเรียนแค่ครึ่งวัน จึงเอ่ยปฏิเสธที่จะไปกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนๆ
“เอางั้นเหรอ ไม่กินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับวะ” รุ่งรวินยื้อเพราะอยากให้เพื่อนอยู่ด้วยกันก่อน
จริญญายกนิ้วขึ้นมาดีดหน้าผากรุ่งรวินไม่เบามือนัก “นี่แน่ะ”
“โอ๊ย! เจ็บนะเว้ยไอ้จ๋า” คนถูกกระทำนิ่วหน้าด้วยความเจ็บพลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ส่งสายตาคาดโทษคนทำให้เจ็บตัว
จริญญาไหวไหล่ไม่ยี่หระต่อสายตาของรุ่งรวิน “เพื่อนมันก็บอกว่าเพลีย อยากกลับไปนอนพักผ่อน แกก็ไปยื้อมันอยู่นั่นแหละ”
พรพิรุณยิ้มระคนขำ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ฉันฝากจัดการมันด้วยนะจ๋า ฉันกลับก่อนนะ”
จริญญายกมือขึ้นโบกไปมาเป็นเชิงบอกลา แต่ก็ไม่วายพูดทิ้งท้ายติดตลก “เออได้ กลับไปก็นอนพักเยอะๆ ด้วยล่ะ รู้ตัวหรือเปล่าว่าขอบตาของแกมันดำจนจะเป็นหมีแพนด้าอยู่แล้วนะ”
“ใช่ ถ้าดำกว่านี้อีกนิดเดียว ฉันว่าจะไปตัดไผ่มาให้แกกินแทนข้าวแล้วนะ” รุ่งรวินเสริมทัพ
พรพิรุณเอื้อมมือไปตีไหล่บางของรุ่งรวินหนึ่งทีที่พูดล้อขอบตาคล้ำๆ ของเธอด้วยท่าทีงอนๆ ไม่จริงจังนัก “ฉันไปแล้วนะ ไม่คุยกับแกแล้ว”
เมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองคนพยักหน้าส่งให้แล้ว จากนั้นจึงเดินออกจากห้องเรียนเพื่อกลับคอนโดมิเนียม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก
พรพิรุณเดินถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมานั่งลงที่โต๊ะอ่านหนังสือในห้องนอน พอวางถ้วยบะหมี่ลงได้ก็เปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก มือบางกดเข้าไปอ่านข้อความหนึ่งที่ถูกส่งมาให้ไม่กี่นาทีก่อน เธอถอนหายใจออกมายาวเหยียดอย่างหนักใจ
ท้ายที่สุดแล้ว นิ้วเรียวสวยที่มีอาการสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดก็พิมพ์ข้อความตอบกลับไป
ส่งข้อความตอบกลับไปไม่ถึงเสี้ยวนาที ผู้สนทนาก็เปิดอ่านข้อความทันที ริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับเม้มเข้าหากันแน่น มือข้างหนึ่งวางทับอยู่ด้านบนจิกเล็บลงบนมือข้างล่างที่กุมประสานกันอยู่บนแป้นคีย์บอร์ด
ดวงตาคู่สวยวูบไหวยามที่จ้องข้อความต่อมา น้ำตาร้อนๆ รื้นเต็มขอบตาก่อนที่มันจะไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า เหมือนกับหัวใจของเธอกำลังแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ
(...) : น้องชื่อฝนใช่มั้ยคะ
พรพิรุณ : ใช่ค่ะ
(...) : พรุ่งนี้มีลูกค้าระดับ VVIP น้องจะรับงานมั้ย
พรพิรุณ : .......
(...) : พี่เห็นเราบอกร้อนเงิน ลูกค้าของพี่มีแต่คนกระเป๋าหนักๆ ทั้งนั้นน้องไม่ต้องห่วง แต่ถ้าน้องยังลังเลพี่จะหาคนใหม่
พรพิรุณ : รับค่ะพี่ หนูตกลงรับงานนี้